ตอนที่ 8 นายหญิงเปลี่ยนไปมากมายเหลือเกิน2
ติงยวี่ถิงหยิบกระดาษจับพู่กันมาปาดหมึกเขียนกำกับว่าตัวไหนกิน ตัวไหนใช้ทาบำรุงภายนอกแล้วใส่หีบห่อแยกให้อย่างชัดเจน นอกจากไม่ตระหนี่คำชมต่อลูกค้า นางยังไม่ตระหนี่ความรู้ มักสอดแทรกเคล็ดลับการดูแลผิวพรรณควบคู่ไปกับการบำรุงสุขภาพร่างกายอีกมากมาย ประหนึ่งเป็นหมอยาประจำบ้าน เป็นที่กุนซือประจำเรือนหลังให้สตรีทุกบ้้าน โดยไม่คิดเงินเพิ่ม
ยาทุกห่อถูกนำมาใส่กระเป๋าที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ มีเฉพาะที่โรงยาเจี้ยนคัง เป็นการนำรูปแบบกระเป๋ายุคใหม่มาตัดเย็บประยุกต์ใช้กับยุคโบราณแห่งนี้
หญิงสาวชอบงานฝีมือแต่ไม่เก่งเท่าใด แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีถุงพลาสติก นางจึงทำถุงผ้าแบบง่าย เป็นกระเป๋าแบบมีเชือกถักไม่ได้ปักลาย เอาไว้ฝึกฝนเก่งขึ้นหรือหาช่างฝีมือดีๆ มาได้ค่อยพัฒนาปรับปรุงแล้วกัน
ระหว่างขายของอยู่หน้าร้าน สายตาของติงยวี่ถิงพลันหันไปเห็นหญิงชราผอมแห้งท่าทางมอมแมมผู้หนึ่ง เดินโซซัดโซเซแล้วล้มลงตรงทางเข้าหน้าร้านพอดี
หญิงสาวตกใจนัก รีบหันไปสั่ง “เสี่ยวจิง เจ้ามาดูแลจัดสินค้าให้ฮูหยินซูทางนี้ อย่าลืมแยกใส่หีบห่อให้ชัดเจนด้วยนะ สังเกตให้ดีว่าตัวไหนกินตัวไหนทา อย่าใส่ผิด ข้าจะไปดูท่านป้าผู้นั้นสักหน่อย”
จังหวะนั้นลูกค้าคนอื่นที่เห็นหญิงชราก็ทำท่ารังเกียจ บางคนเดินออกนอกร้าน ด้วยเกรงว่านายหญิงจะเสียลูกค้า บ่าวชายที่ยืนเฝ้าหน้าร้านรีบเอ่ยไล่ให้ไปไกลๆ ทันที
“รีบไสหัวไปซะ ตัวเหม็นอย่างกับผักเน่า ไป๊!”
“หยุดนะ ห้ามทำร้ายคน” ติงยวี่ถิงรีบร้องห้าม ทำเอาบ่าวชายชะงักมือค้างกลางอากาศ
“ขอรับนายหญิง” เขารีบน้อมรับค้อมกายถอยหลังทันที
ติงยวี่ถิงเดินออกมาหน้าร้าน พยุงผู้เฒ่าคนนั้นขึ้นมา พยายามเรียกสติอีกฝ่าย ครู่หนึ่งหญิงชราก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ
“ท่านป้า เป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษแทนบ่าวด้วย มาเถิด ลุกขึ้น”
หญิงสาวเร่งสำรวจ เห็นมีคราบสีแดงคล้ายเลือดซึมออกมาจากแขนเสื้อ นางจึงยื่นมือเปิดแขนเสื้อหญิงชรา พบว่าเป็นแผลถูกทุบตีหลายที่และถูกน้ำร้อนลวกอีกด้วย
ติงยวี่ถิงตกใจ “โอว...ท่านป้า ไปโดนอะไรมาเนี่ย มาเถิด เข้ามาทำแผลก่อน”
ผู้เฒ่าเอ่ยปากเสียงสั่นพร่า ท่าทางเหนื่อยอ่อน ไร้เรี่ยวแรงอย่างยิ่ง “ข้าไม่รบกวนเจ้าค่ะ แผลแค่นี้ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวก็หายได้เองเจ้าค่ะ”
ติงยวี่ถิงโต้แย้งเสียงขรึม “กว่าจะหายเอง ท่านป้าคงกลายเป็นคนพิการพอดี แผลทั่วตัวขนาดนี้ ทำแผลก่อน ค่อยไปหาหมอ เชื่อข้า”
หญิงสาวย่อมช่วยดูแลอาการให้เบื้องต้นก่อนส่งต่อให้ท่านหมอที่ร้านอีกฝั่ง
แต่หญิงชราส่ายหน้า ปฏิเสธอย่างเดียว “ข้าไม่ไป ข้าไม่มีเงิน”
“ไม่เป็นไร ข้าช่วยจ่ายให้ มาเถอะเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า...”
ผู้เฒ่าคนนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาค่อนข้างเก่าและขาด เมื่อมองเห็นผู้คนในร้านก็ไม่กล้าเข้ามา ยิ่งไม่กล้าเอ่ยวาจา เพียงก้มหน้านอบน้อม ถ่อมตนมาก สงบปากสงบคำขั้นสุด เหมือนกลัวจะพลั้งปากหลุดคำพูดสมควรตายออกมาให้ผู้ได้ยินรู้สึกระคายหูอย่างไรอย่างนั้น
ผู้หนึ่งต้องใช้ชีวิตระแวดระวังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเคยเจอเรื่องร้ายปานใดมา
ติงยวี่ถิงมองแล้วให้รู้สึกคิดถึงแม่ตัวเองในชาติที่แล้ว ถูกสามีทิ้ง เงินไม่มี ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง พอกลับบ้านเดิมก็ไม่มีใครอยากต้อนรับ แม่ก็เลยจำต้องก้มหน้าให้ทุกคนในตระกูลเหยียบย่ำ ตำหนิด่าทอสารพัด
ตกต่ำกระทั่งพูดอะไรไปกลับไม่เคยเข้าหูพวกญาติๆ ท่าทีจึงระมัดระวังคำพูดเช่นนี้
และยังชอบทำทีเป็นแข็งแรงเช่นนี้ต่อหน้าเหมือนกัน
กระทั่งล้มป่วยและใกล้จากลานั่นแหละถึงยอมรับว่าเจ็บมากจนทนไม่ไหว
เฮ้อ...คิดถึงแม่จัง
ติงยวี่ถิงนึกพลางจับประคองหญิงชรา พาเดินเข้ามาด้านในอย่างระมัดระวัง โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากอีกฝ่าย
ท่าทางอย่างนั้นทำเอาเสี่ยวจิงที่ยังคงยืนมองอยู่ถึงกับเบิกตาโพลงประหนึ่งเจอผี
“นายหญิงเจ้าคะ แค่ขอทานเท่านั้น สกปรกยิ่ง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเจ้าค่ะ”
“ไม่ใส่ใจได้อย่างไร เจอคนลำบากก็ต้องช่วยสิ”
คำตอบของติงยวี่ถิงทำเอาเสี่ยวจิงยิ่งเบิกตาโต
นายหญิงเป็นอะไรไป? เหตุใดดูไม่เหมือนเดิมสักนิด เมื่อก่อนยังถึงขั้นไล่ตีเด็กทุบคนแก่อย่างไร้เหตุผลอยู่เลยนี่ นางจำได้ดี แค่ยายเฒ่าขอทานคนหนึ่งเดินจูงหลานมาเฉียดถูกชายเสื้อนิดเดียวยังด่ากราดไม่ไว้หน้า
ไม่พอ ยังสั่งโบยพ่อครัวชราคนหนึ่งจนมือพิการ เพียงเพราะเขาทำปลาหลุดมือแล้วน้ำโคลนกระเด็นใส่ ตอนนายหญิงเดินผ่านพอดี คนนั้นเป็นบ่าวรับใช้หลายปี ไม่มีลูกหลานดูแลด้วยซ้ำ
ครั้นกลับเรือนก็รีบสั่งให้เอาชุดนั้นไปเผาทิ้งทั้งหมด ทั้งยังอาบน้ำทำความสะอาดตัวอย่างลนลานอยู่ตั้งนาน ถามอยู่นั่นว่าคราบสกปรกจากพวกคนชั้นต่ำหมดไปหรือยัง
คิดแล้วให้รู้สึกเหมือนกลิ่นเหม็นสาบจากหญิงชราขอทานลอยเข้าจมูก เสี่ยวจิงทำปากยู่ย่นจมูกอย่างรังเกียจ
ติงยวี่ถิงเห็นเช่นนั้นพลันนิ่วหน้า ทว่าเพียงครู่ กลับค่อยๆ ยิ้มอ่อน
“เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าไม่ใช่สตรีใจร้ายเหมือนก่อนแล้ว ที่สำคัญ ข้าไม่เคยดูแลบิดามารดาเลยจนพวกท่านตายไป ตอนที่ร่ำรวยก็ไม่คิดจะบริจาค หรือทำบุญทำทานสักครา คนเราต้องสะสมบุญเสียบ้าง ทำบาปอย่างเดียวไม่ได๊”
ปลายประโยคเสียงสูงลิ่วกลัวคนฟังไม่เชื่อ
นี่คือเหตุผลที่นางมักนำมาบอกคนอื่นรอบตัวเสมอ เพื่อกลบข้อสงสัยมากมายจากความเปลี่ยนแปลงผิดแผกจากปกติวิสัยเดิมของติงยวี่ถิงคนเก่าที่เอาแต่ทำชั่วเห็นแก่ตัว ขืนทำให้ผู้อื่นเคลือบแคลงคงไม่แคล้วถูกเข้าใจว่านางคือภูตผีสิงร่างกลืนวิญญาณ เอ๊ะ! แต่นางก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่ แต่จะให้ใครรู้มิได้เด็ดขาด ไม่อยากถูกลากไปเผาไฟหรอกนะ
นางอธิบาย “ข้าแค่อยากทำดี ไม่มีอะไรมาก”
เสี่ยวจิงย่นจมูกทำปากจู๋อย่างไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก
แต่ทำดีมันเหนื่อยมาก นางชอบทำชั่วมากกว่านี่นา