[ตอนที่ 5 แวมไพร์อยากชิม]
[ตอนที่ 5 แวมไพร์อยากชิม]
ข้าปิดจมูกเมื่อได้กลิ่นเลือดที่ลอยมาตามสายลม ข้ายังควบคุมความกระหายไม่ได้เพราะถ้าข้าได้กลิ่นเลือดแรงๆ ข้าอาจจะขาดสติอยากวิ่งเข้าหาเลือดอย่างไร้ปีศาจสติก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องคงวุ่นวายขึ้นมากกว่าเดิม
“คุณหนูเราออกจากที่นี่กันเถอะขอรับ” หนึ่งในผู้ติดตามพูดขึ้นมา ข้าเองก็พยักหน้าหงึกๆ เพราะข้าเองก็ไม่อยากเจอเรื่องวุ่นๆ เหมือนกัน แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัวไปไหนมันก็ได้มีปีศาจตนหนึ่งวิ่งหนีหน้าตาตื่นออกมาจากตรอกแคบที่มีกลิ่นเลือดลอยคลุ้ง
ฉับ!
และพริบตาเดียวชายคนนั้นก็โดนฆ่าตายในครั้งเดียวด้วยกรงเล็บของคนที่เดินตามหลังเขามา ร่างไร้วิญญาณล้มลงต่อหน้าต่อตาข้า ข้ามองเลือดที่ค่อยๆ ไหลไปทั่วพื้น ดวงตาของข้าเรืองแสงวาบ ไอร่าที่อยู่ข้างๆ แทบคว้าร่างของข้าที่ทำท่าจะพุ่งไปหาเลือดแทบไม่ทัน
“คุณหนู!” ไอร่ารีบร้อนหาขวดเลือดขนาดพกพามาให้ข้าแทบไม่ทัน
“โอ๊ะโอ้ว มีคนเห็นเพิ่มมาอีกกลุ่มแล้ว...” เสียงเอื่อยเฉื่อยและเย็นชาออกมาจากปากของคนที่เพิ่งฆ่าปีศาจตนเมื่อกี้ไป
ข้าที่ได้สติกลับมาเพราะได้ดื่มเลือดจึงมองไปยังคนที่ฆ่าปีศาจตนเมื่อครู่ ปีกที่คล้ายค้างคาวแต่ดูแข็งแรงกว่าปีกของแวมไพร์อย่างพวกเรามาก เขาบนหัวของเขาบ่งบอกได้อย่างดีว่าเขาเป็นมังกร ข้าคุ้นหน้าเขา เส้นผมสีเขียวแก่ที่รวบมัดไว้เป็นหางม้า ดวงตาสีเหลืองที่คล้ายกับงู และใบหน้าหล่อที่ดูอายุเพิ่มขึ้นกว่าครั้งก่อนที่ได้พบเจอกัน ข้าจำได้…ข้าจำเลือดที่แสนอร่อยของเขาได้! แค่กๆ....
เอาเป็นว่าเขาคือมังกรที่บุกเข้าห้องข้าเมื่อตอนที่ข้าอายุไม่ถึงปีดีนั่นเอง
องครักษ์รอบตัวข้าทำท่าปกป้องข้าเต็มที่ หากมังกรตรงหน้าโจมตีเข้ามาพวกเขาก็พร้อมสู้
“หืม? หนูบินตะกละ?”
“แวมไพร์ต่างหากเว้ย!” ข้าปิดปากตัวเองแทบไม่ทันเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป ก็มันอดรู้สึกฉุนขึ้นมาไม่ได้ ครั้งก่อนก็ค้างคาวตะกละ มาเจอกันอีกครั้งก็เรียกว่าหนูบินอีก!
“ตัวโตขึ้นนิดหน่อยนะ” เขาพูดออกมาด้วยใบหน้าเหมือนกิ้งก่าง่วงนอน “แต่เสียดายที่คงจะไม่ได้โตไปมากกว่านี้แล้ว” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติแฝงไปด้วยความโหดเหื้อม องครักษ์ของข้ามีท่าทีคุกคามมังกรตรงหน้าทันที ไอร่าอุ้มข้าและพาไปอยู่ด้านหลังกลุ่มเตรียมหนี
มังกรตนนั้นโจมตีด้วยมือเปล่า เขาไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเนื่องจากมือของเขามีเกล็ดปกคลุมอยู่บางส่วนและกรงเล็บของเขาดูแหลมมาก องครักษ์ของข้ารับการโจมตีด้วยอาวุธเวทของพวกเขาแต่เพราะแรงมหาศาลของมังกรเลยทำให้พวกเขาปลิวไปคนละทาง เรื่องพละกำลังแวมไพร์สู้มังกรไม่ได้
ฉับ!
องครักษ์ตนหนึ่งโดนกรงเล็บของมังกรตนนั้นไปเต็มๆ แขนของเขาขาดไปข้างหนึ่ง แต่แวมไพร์ขึ้นชื่อเรื่องอมตะบาดแผลของพวกเขารักษาอย่างรวดเร็วรวมถึงแขนที่งอกขึ้นมาใหม่ได้อย่างง่ายดาย ข้าเองก็สามารถทำได้หากมีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ แวมไพร์บางตัวที่ถูกตัดหัวแล้วไม่ตายก็มี
เผ่าแวมไพร์ร้ายกาจจริงๆ
ก่อนที่ข้าจะได้ดูทุกๆ ฉากการต่อสู้มากกว่านี้ไอร่าก็พาข้าหนีอย่างรวดเร็ว โดยมีองครักษ์ช่วยกันมังกรตนนั้นออกไปให้พ้นทาง เมื่อมาถึงเส้นทางที่มีคนมากหน่อย ไอร่าก็หยุดวิ่งและเธอก็เดินไปบอกทหารที่ดูแลเมือง
หลังจากนั้นข้าก็นั่งรถม้าบินกลับปราสาท องครักษ์ของข้ายังอยู่ครบทุกคน ส่วนมังกรนั่นก็คงกำลังโดนทหารตามจับ... โอกาสหน้าไว้เจอกันนะ ขอให้ไม่รอดไปได้
เอ๊ะ ประโยคอวยพรฟังดูแปลกๆ แฮะ?
ในที่สุดข้าก็กลับมาถึงคฤหาสน์ในเวลาต่อมา พอกลับมาถึงข้าก็โดนตัวเรียกไปพบโดยท่านแม่ทันที ตอนแรกข้าคิดว่าจะโดนเรียกไปพูดเรื่องที่เจอมังกรตนนั้นเสียอีกแต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีใครรู้เพราะคุณแม่ยังนั่งจิบชาอย่างสบายใจกับแขกจากที่ไหนอีกไม่ก็ทราบ คิดว่าคงไม่พ้นเพื่อนคุณแม่อีก
“ท่านแม่” ข้าเรียกและเดินเข้าไปด้านในห้องรับแขก
“กลับมาแล้วเหรอ? แม่มีคนที่อยากแนะนำให้ลูกรู้จัก มาสิ” คุณแม่พูด ข้ามองไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับท่านแม่ หญิงสาวคนนั้นมีผมสีเขียวฤดูใบไม้ผลิดวงตาสีเหลืองอ่อนราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้า
“สวัสดีค่ะ ดิข้า ฟีโอล่า ซีมัวร์ค่ะ” ข้าย่อตัวทักทายตามมารยาท เธอยิ้มให้ข้า
“เรา เอลซ่า บราวน์ เป็นเพื่อนสนิทของเอริน่า ยินดีที่ได้รู้จักฟีโอล่า เจ้าน่ารักอย่างที่เอริน่าพูดจริงๆ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ขอบคุณที่ชมค่ะ ท่านหญิงเอลซ่า”
“เรียกเราว่า น้าเอลซ่าก็ได้จ๊ะ” เธอบอกและยิ้มหวาน
“ค่ะ ท่านน้าเอลซ่า” ข้าว่าตามอย่างไม่ลังเล
จากนั้นเราก็ได้คุยเรื่องทั่วไปจนกระทั่งน้องชายของข้าเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กผู้หญิงที่ข้าเคยเจอตอนที่อยู่ในร้านเครื่องประดับนั่น
“มาพอดีเลย อลาโน่” ท่านน้าเอลซ่ายิ้มและเรียกอลาโน่ สองคนนี้คงจะเป็นแม่ลูกกันเพราะสีผมเหมือนกันซะขนาดนี้ ถึงว่าล่ะข้าถึงรู้สึกคุ้นหน้าท่านหญิงเอลซ่า ที่แท้เขาเป็นลูกของเพื่อนท่านแม่นี่เอง “นี่ฟีโอล่าที่น้าเอริน่าเล่าในฟังยังไงล่ะ และนี่ลูกชายของน้า อลาโน่ ยังไงล่ะจ๊ะ”
หืม? ลูกชาย? พูดอะไรผิดรึเปล่าคะ?
“เจ้านั่นเอง ข้านึกว่าชื่อซ้ำกันเสียอีก” อลาโน่ยิ้มกว้างเมื่อพบว่าเป็นข้า
“พบกันอีกแล้ว” ข้าผงกหัวทักทาย
“รู้จักกันแล้วเหรอจ๊ะ?” คุณแม่ถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“เราเจอกันที่ร้านเครื่องประดับน่ะครับ ท่านน้าเอริน่า” อลาโน่บอกพลางยิ้มกว้าง “ฟีโอล่า เราไปเล่นกันเถอะ! ท่านน้าเอริน่าท่านแม่เราขอตัว” ว่าแล้วก็ลากข้าออกไปทันทีน้องชายของข้าวิ่งตามแทบไม่ทัน
เมื่อมาถึงสวนอลาโน่ก็ทำตาวิบวับเหมือนเจอของอร่อยขึ้นมาซะเฉยๆ ข้าตั้งใจจะดึงมือกลับแต่ก็ทำไม่ได้เพราะอลาโน่จับมือข้าซะแน่น
“อลาโน่”
“อ๊ะ โทษที ข้าลืมตัว” เธอ...หรือเขาสะดุ้งก่อนจะปล่อยมือของข้า
“...เจ้าเป็นผู้ชายเหรอ?” ข้าถามสิ่งที่สงสัยออกไปพลางมองกระโปรงที่อลาโน่ใส่
“ใช่ หากเจ้าสงสัยชุดที่ข้าใส่นั่นก็เพราะท่านแม่อยากให้ข้าใส่” ข้าพยักหน้าหงึกๆ สงสัยท่านน้าเอลซ่าคงอยากได้ลูกสาว “และเมื่อครู่ข้าขอโทษด้วยที่เผลอชิมเจ้าไป” เขาพูดขึ้นมาอย่างอายๆ และรู้สึกผิด
“ชิม?” ข้าทวนอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ข้าเป็นอินคิวบัส พวกเราจะทานอาหารเสริมโดยการจับสัมผัสตัวผู้เป็นเป้าหมาย พอดีข้ายังควบคุมพลังของเผ่าไม่ได้ก็เลยเผลอชิมเจ้าไป” อลาโน่หัวเราะแหะๆ อย่างรู้สึกผิด?
“อย่างนั้นเหรอ...กินเป็นอาหารเหมือนที่แวมไพร์กินงั้นเหรอ?”
“ไม่ๆ พวกเรากินอาหารปรุงให้อิ่มท้องตามปกติส่วนการดูดพลังโดยการสัมผัสสำหรับเรามันคืออาหารเสริมน่ะ” เขารีบอธิบาย
“ท่านพี่ ผมอยากเล่นแล้ว!” มาร์ตินโวยวายขึ้นเพราะเห็นข้าสนทนากับอลาโน่อย่างเดียว น้องชายของข้าห่วงเล่นจริงๆ
“งั้นจะเล่นอะไรล่ะ?”
“เขาวงกต!” น้องชายข้าตอบด้วยดวงตาระยิบระยับ อย่างที่รู้พื้นที่บ้านข้ามันใหญ่มากเพราะงั้นเลยมีพื้นที่ว่างพอที่จะสร้างสวนเขาวงกตกุหลาบขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ น้องชายของข้าคงเพิ่งรู้ว่าที่ปราสาทมีที่แบบนั้นด้วยจึงออกอาการสนใจสุดๆ
“งั้นไปกัน” ข้าเดินไปที่ตั้งของเขาวงกตพร้อมกับอีกสองตนที่ทำหน้าสนใจสุดๆ หางลูกศรของอลาโน่ส่ายไปมา ข้าเองก็พึ่งรู้เรื่องเขาวงกตเมื่ออายุครบสามปีไม่นานมานี้เองเพราะที่นี่มันใหญ่เกินไปที่จะดูให้ครบทุกที่ ไม่รู้จะใหญ่ไปไหน
เราสามคนเดินเข้าไปในสวนอย่างไม่กลัวหลงเพราะยังไงก็มีคนดูแลที่ตามพวกเราอยู่ห่างๆ อยู่แล้ว
“กุหลาบสวยดี” อลาโน่ชม รอบด้านของเรามีต้นกุหลาบที่ถูกจัดรูปทรงให้เป็นกำแพงสูง “ว่าแต่เราจะไปทางไหนดี?”
“ข้าไม่รู้ทางเช่นกัน...เพราะงั้นช่วยกันหา....หืม? มาร์ตินหาย” ข้าพูดพลางจะหันไปบอกน้องชายว่าจะช่วยกันหาทางออกแต่ปรากฏว่าน้องชายของข้าก็หายไปอย่างไรร่องรอย
“หว๊า เขาหายไปโดยที่ข้าไม่รู้ตัวเลย” อลาโน่อุทานพลางมองหามาร์ติน
“คงไม่เป็นไรหรอก เราเองก็หาทางออกบ้าง” ข้าว่าอย่างไม่ใส่ใจเพราะแน่ใจว่าน้องชายปลอดภัยแน่นอน ก็อยู่ในเขตบ้านนี่ล่ะ
“งั้นเรามาหาทางออกให้ได้ก่อนน้องชายเจ้าดีหรือไม่?” อลาโน่ทำหน้าตาสนุกสนานข้าก็พยักหน้ารับแล้วเดินไปเรื่อยๆ เมื่อเจอทางตันก็ไปหาทางใหม่
ผ่านไปสักครู่…
“ไม่เอาแล้ว ข้าหาทางออกไม่ได้” อลาโน่เบะปากงอแงหลังจากเดินสำรวจเขาวงกตไปได้แต่นิดเดียว ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมีความอดทนสักเท่าไหร่ “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะบิน!” ว่าแล้วก็กระพือปีกพึบพับแต่บินขึ้นไปได้ไม่ถึงเมตรก็ร่วงลงมา
“.....”
“....อ่าฮะ ข้าลืมไปข้ายังบินไม่ได้” อลาโน่เคาะหัวตัวเองเบาๆ และทำหน้าน่ารักกลบเกลื่อน ข้าเลยถอนหายใจเบาๆ
“งั้นเราพักกันสักหน่อย” ข้าบอกพร้อมพาเขาไปนั่งที่ศาลาข้างหน้า ดูเหมือนว่าในสวนเขาวงกตจะมีศาลาเป็นจุดๆ ให้พัก
กึก!
“หว๊า!!” อยู่ๆ อลาโน่ก็สะดุดกระโปรงหรือไม่ก็บันไดตอนเดินขึ้นศาลาซะอย่างนั้น เขาล้มหน้าคว้าและเริ่มโอดครวญเพราะความเจ็บ
กลิ่นเลือดลอยเข้าจมูกข้า ดูเหมือนเข่าของเขาจะเป็นแผลซะแล้ว เลือดของเขาดูหอมเป็นพิเศษทำเอาข้ากลืนน้ำลาย อดทนไว้ จะให้เกิดเรื่องอย่างคราวลีโอไม่ได้...
ข้าแอบเอาขวดเลือดขนาดเล็กออกมาดื่ม
“งะ เลือดออก ฟีโอล่าาา ทำอย่างไรดี” เขาเบะปากและร้องเรียกข้า
อย่าเรียกข้า...
“เดี๋ยว มันก็หาย”
“แต่ข้าไม่สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้ทันทีอย่างแวมไพร์นะ” อลาโน่เบะปากอีกครั้ง น้ำตาเริ่มคลอ เขาชักเหมือนเด็กสาวผู้แสนบอบบางตามชุดที่สวมเข้าไปทุกที “งั้นข้าของพลังจากเจ้าหน่อยสิ แผลจะได้หายเร็ว” ว่าแล้วก็ยื่นมือมาหาข้า พร้อมทำหน้าเหมือนกำลังรออาหารว่าง
ดูเหมือนเขาจะใช้โอกาสในเป็นประโยชน์ ข้าเลยถอนหายใจและยื่นมือออกไปจับมือของเขา แต่เพราะความใกล้ชิดข้าจึงยิ่งได้กลิ่นเลือดมากขึ้น
...โอ้..จงใจเย็นฟีโอล่า.....