[ตอนที่ 2 น้องชายแวมไพร์]
[ตอนที่ 2 น้องชายแวมไพร์]
ข้าอายุได้ 2 ปีแล้ว ปีกของข้าแข็งแรงมากพอที่จะทำให้ข้าพยุงตัวเองให้ลอยขึ้นมาได้เล็กน้อย… จะให้เรียกว่าบินได้ก็ไม่ถูกต้องเสียเท่าไหร่เพราะมันช่วยทำให้ข้าลอยขึ้นได้เล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ มันค่อนข้างน่าผิดหวัง
แต่ช่างเรื่องการฝึกบินไปก่อน สิ่งพิเศษที่ข้าให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือน้องชาย ใช่ข้าได้น้องชาย ข้าสงสัยว่าทำไมต้องเป็นน้อยชาย? ชาติที่แล้วก็มีน้องชายชาตินี้ก็น้องชายอีก ทำไมข้าไม่ได้น้องสาวบ้างนะ แต่ถึงจะบ่นอย่างนั้นข้าก็ชอบน้องชายที่น่ารักของข้าไม่น้อย
น้องชายที่เกิดมาได้สองเดือนของข้าชื่อว่า มาร์ติน ซีมัวร์ เขาดื่มเลือดตลอดเวลาอย่างที่ข้าเป็น คุณแม่เอริน่าสุดสวยบอกว่าแวมไพร์แรกเกิดต้องการสารอาหารมากกว่าปกติเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของตัวเองและเพื่อให้ตัวเองแข็งแรงโดยเร็ว มันเป็นธรรมชาติของปีศาจ ไม่ต้องถามเหตุผลมากมาย จนกว่าจะอายุ 5 ขวบร่างกายจะไม่หยุดต้องการสารอาหารตลอดเวลา แต่ถึงจะอายุเลย 5 ขวบแล้วยังไงความอยากกระหายก็จะมาเป็นบางครั้งอย่างน้อยก็ต้องดื่มวันละแก้วเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอไปขย้ำคอใครเข้า
ความกระหายจะไปโดยสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อร่างกายและพลังจะปรับสมดุลได้ หากทำได้แล้วก็จะไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดบ่อยอย่างคุณพ่อและคุณแม่ พวกท่านดื่มกันเดือนละแก้วด้วยซ้ำ ส่วนวันอื่นๆ ก็กินอาหารที่ปรุงสุกแล้วเพื่อรับรสอร่อยแค่นั้น
แล้วก็แวมไพร์ในโลกนี้สามารถโดยแดดได้ด้วย แต่ยังไงแดดก็จะทำให้แวมไพร์ที่มีอุณหภูมิในตัวต่ำแสบผิวได้อยู่ดี นั่นจึงทำให้เวลาออกไปไหนคุณแม่จะพกร่มไปด้วย ซึ่งแน่นอนร่มที่คุณแม่ใช้มันดูสวยและคุณหนูสุดๆ และแน่นอนมันกันฝนไม่ได้ ฝนมาเปียกทั้งคนทั้งร่มอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตามแวมไพร์เด็กอย่างข้าค่อนข้างรู้สึกเกลียดแสงแดด ถ้าเลี่ยงได้ข้าจึงไม่ออกไปเจอแดดเสียเท่าไหร่
ขณะนี้ข้าจึงมานั้งเล่นหลบแดดอยู่ในสวนกระจก ที่นี่บรรยากาศดีสุดๆ
และทุกคนอาจจะยังไม่รู้ว่าบ้านที่ข้าอาศัยอยู่มันควรถูกเรียกว่าปราสาทมากกว่าคฤหาสน์เสียอีก แน่นอนพื้นที่รอบบ้านใหญ่สุดๆ ถึงขนาดมีป่าในเขตบ้านเลยด้วย และคุณพ่อของข้ามีตำแหน่งเป็นดยุคด้วย มิน่าล่ะถึงรวยขนาดนี้ และอีกอย่างที่ข้าได้รู้มาไม่นานมานี้ก็คืออาณาจักรนี้มีชื่อว่า อาณาจักรซาฟา หนึ่งในอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุด ในโลกนี้อาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดมี 4 อาณาจักรและมีอาณาจักรเล็กน้อยอีกมากมาย ซึ่งข้าจำแบบผ่านตาเพราะไม่ค่อยสนใจและในโลกนี้ปีศาจแต่ละเผ่าพันธุ์จะอยู่ร่วมกัน หากเดินถนนอยู่ดีๆ แล้วไปจ๊ะเอ๋กับกิ้งกือที่ไหนไม่รู้ก็ไม่ต้องแปลกใจ
และอีกอย่าง....โลกนี้ไม่มีมนุษย์! ใช่ ไม่มีเลยข้าลองถามคุณแม่ดูปรากฏว่าคนที่นี่เขาบอกว่ามนุษย์เป็นแค่ตำนานเท่านั้น เอาแล้วไง โลกข้าบอกว่าปีศาจเป็นแค่ตำนาน แต่ที่นี่บอกว่ามนุษย์เป็นแค่ตำนาน ทำเอามึนไปสักพัก
“ลองหาที่นี่เร็ว! นายน้อยอาจจะอยู่ที่นี่ก็ได้” ขณะที่ข้ากำลังจิบชา(เลือด)นึกข้อมูลเกี่ยวกับโลกนี้เพลินๆ อยู่นั่นเองข้าก็ได้ยินเสียงตะโกนของสาวใช้ในบ้านดังขึ้น
เกิดอะไรขึ้น? เกี่ยวกับน้องชายของข้างั้นเหรอ?
“มีอะไรเกิดขึ้น?” ข้าถาม ไอร่า พี่เลี้ยงประจำตัวข้า เธอเป็นปีศาจเผ่าจิ้งจอกเลยมีหูมีหางฟูๆ เป็นสัญลักษณ์ติดตัว
“ดิข้าจะไปดูให้ค่ะ” เธอโค้งให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป
สักพักเธอก็กลับมารายงาน ปรากฏว่าน้องชายของข้าหายออกไปจากห้องของเล่นระหว่างพวกพี่เลี้ยงออกไปเอาของว่าง เขาซนจริงๆ อายุแค่สองเดือนแท้ๆ
“ไอร่า ช่วยพวกเขาตามหาน้องชายของข้าหน่อยแล้วกัน” ข้าโบกมือสั่ง ไอร่าตอบรับก่อนจะออกไปช่วยคนพวกนั้นตามหาน้องชายจอมซนของข้า ข้าหวังว่าเสียงรบกวนจะหายไปเร็วๆ
“แอ้!”
เสียงคุ้นๆ ดังขึ้นมา ข้าหันไปตามเสียงช้าๆ และก็พบกับร่างเด็กทารกที่กำลังคานมาทางข้า โอ้ นั่นน้องชายข้านี่นา
“มาร์ตินเจ้าไม่ควรหนีมาเที่ยวเล่นอย่างนี้นะ” อายุเพิ่งจะสองเดือนเองไม่ใช่รึไง!? ซนเกินไปแล้ว แข็งแกร่งเกินไป สมกับที่กินจุ
“แอ้!” น้องชายของข้ามีใบหน้าที่น่ารักมาก ผมของเขาสีขาวเหมือนกับท่านพ่อดวงตาของเขาก็สีแดงเช่นกัน ก็แวมไพร์น่ะนะ ข้าลงจากเก้าอี้แล้วเดินไปหาน้องชายที่กางแขนและส่งเสียงอ้อแอ้รออยู่
นี่จะให้ข้าอุ้มเหรอ? ร่างกายข้าก็สองขวบนะ จะอุ้มได้เรอะ!
แต่ถึงจะบ่นในใจยังไงพอเห็นดวงตาวิบวับของน้องชายข้าก็ใจอ่อนไปถึงไหนต่อไหนแล้ว โชคดีที่ร่างกายของแวมไพร์แตกต่างจากมนุษย์ เด็กอายุสองขวบอย่างนั้นก็เลยอุ้มเด็กอายุสองเดือนได้โดยไม่รู้สึกหนักอะไรมากมาย ข้าอุ้มมาร์ตินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่ข้านั่งเพราะเราตัวเล็กกันทั้งคู่เลยนั่งด้วยกันได้ไม่มีปัญหา
“กินอะไรมารึยัง” ข้าถามน้องชายที่กำลังทำท่าตื่นเต้นที่ได้นั่งเก้าอี้...
“แอ้!” น้องชายข้าตอบเสียงร่าเริง
ไม่เข้าใจ...ข้าเลยยกแก้วชาบรรจุเลือดให้เขา แต่คุณน้องชายยังถือของแบบปกติไม่ได้เลยกลายเป็นว่าข้าต้องค่อยๆ ป้อนให้
งับ!
ข้าให้ดื่มในถ้วยไม่ใช่มากัดมือของข้า ข้าถอนหายใจเมื่อคุณน้องชายงับมือและดูดจวบๆ มันคือสัญชาตญาณแวมไพร์รึเปล่านะ
ข้างัดมือของตัวเองออกจากปากของน้องชาย ฟันเขายังไม่คมเพราะงั้นเลยรอดไป สุดท้ายข้าก็เรียกไอร่ากลับมา พี่เลี้ยงของคุณน้องชายก็มาด้วย พอพวกเขาเห็นว่ามาร์ตินกำลังกัดมือข้าอย่างเมามันก็พากันหน้าซีดแล้วพาเขาออกไป ข้าไม่เข้าใจว่าพวกเธอหน้าซีดกันทำไม
นั่งไปนั่งมาข้าก็นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ขึ้นมา จะว่าไปข้าก็ยังไม่ได้ลองใช้เวทมนตร์ดูเลยเพราะไม่มีใครพูดขึ้นมาเลยไม่ทันได้นึก
“ไอร่าข้าจะสามารถใช้คาถาเวทได้เมื่อไหร่” ข้าหันไปถามไอร่าที่ยืนเป็นหุ่นอยู่ข้างๆ เธอทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“ตามแต่ต้องการค่ะ แต่จะปลอดภัยกว่าหากฝึกเมื่ออายุครบห้าปี”
ข้าพยักหน้าช้าๆ หากข้าเริ่มศึกษาตอนนี้คงไม่มีปัญหาแต่รอให้อายุครบกำหนดจะดีกว่า ว่าแต่ธาตุต่างๆ มันมีอะไรบ้างนะ แล้วข้าธาตุอะไรหวา
“จะรู้ธาตุของตัวเองยังไง” ข้าถามต่อ
“ใช้ลูกแก้ววัดพลังธาตุค่ะ หากคุณหนูต้องการทราบ ในห้องทำงานของนายท่านมีลูกแก้ววันพลังธาตุอยู่ลูกหนึ่งค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นข้าก็พาร่างเล็กๆ ของตัวเองไปที่ห้องทำงานคุณพ่อทันที
ก๊อก ก๊อก
ข้าเคาะประตูห้องทำงานของคุณพ่อเสียงเบา แต่คนในห้องได้ยินแน่นอน
“เข้ามา” เสียงทุ้มของคุณพ่อจากหลังประตูเอ่ยอนุญาต
“ท่านพ่อคะ หนูอยากวัดพลังค่ะ” เมื่อเข้าไปในห้องข้าก็บอกจุดประสงค์ทันที
“หืม? ได้สิ” คุณพ่อยิ้มอ่อนโยนแม้คุณพ่อจะเป็นคนหน้านิ่งพอสมควร แต่หากเป็นคนในครอบครัวท่านมักจะยิ้มบ่อยๆ เสมอ คุณพ่อเดินนำทางไปที่ประตูอีกบานในห้องทำงาน ห้องนั้นเก็บพวกอุปกรณ์เวทอยู่หลายอย่าง คุณพ่อเอาลูกแก้วใสออกมามันมีขนาดเท่าลูกบอลขนาดกลาง
“ท่านพ่อปกติแล้วเรามีธาตุอะไรบ้างเหรอคะ?” อยากรู้ธาตุตัวเองจนลืมศึกษามาก่อนเลย
“ก็มี ดิน น้ำ ลม ไฟ แสง และธาตุมืด และก็มีธาตุพิเศษอีกหลายอย่าง”
“ธาตุพิเศษ?”
"ใช่ ธาตุพิเศษคือธาตุที่ได้มาตามสายเลือดหรือไม่ก็นานๆ ครั้งจะเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่ง ซึ่งก็มีธาตุ สายฟ้า และน้ำแข็งเป็นต้น" คุณพ่ออธิบายข้าพยักหน้าหงึก
“แล้วท่านพ่อมีธาตุพิเศษรึเปล่า?”
“พ่อมีธาตุน้ำแข็ง ธาตุน้ำและธาตุมืด” เห๋ คนเดียวมีหลายธาตุเลยหรอเนี่ย ชักสนใจธาตุของตัวเองแล้วสิ ข้าเลยเอามือไปวางที่ลูกแก้วและทำสมาธิสักพักลูกแล้วก็เรืองแสงอ่อนสีดำและดำอย่างนั้นไปนาน
“ธาตุมืดธาตุเดียวงั้นเหรอ” ข้าเผลอขมวดคิ้ว ไหงงั้น
“ธาตุมืดบริสุทธิ์หายากนะเนี่ย” คุณพ่อยิ้มกว้าง ข้าไม่เข้าใจมีธาตุเดียวไม่ใช่ว่ามันจะทำให้ไม่สามารถใช้ความสามารถได้หลากหลายไม่ใช่เหรอ?
“หายากอย่างไรเหรอ? ท่านพ่อ” ข้าถามออกไป
“รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นปีศาจเพราะงั้นเลยมีธาตุมืดกันทุกคนแม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมี” แล้วมันหายากตรงไหนกันคะท่านพ่อ? มันมีกันทุกคนเลยไม่ใช่รึไง “หึหึหึ อย่างเพิ่งทำหน้าเช่นนั้น ถึงธาตุนี้จะมีกันเกลื่อนแต่ผู้ที่มีธาตุมืดบริสุทธิ์นั้นหายากมาก คนที่มีธาตุบริสุทธิ์ธาตุเดียวจะสามารถใช้ธาตุนั้นได้อย่างเต็มทีและพัฒนาได้ดีกว่าคนอื่นๆ อีกทั้งไม่ต้องกลัวว่าพลังธาตุที่ไม่เข้ากันตีกันมั่วในร่างยังไงล่ะ หากลูกฝึกสักหน่อยก็จะใช้ธาตุมืดได้เก่งกว่าใคร”
หลังจากวันนั้นข้าก็ใช้เวลาศึกษาธาตุมืดในห้องสมุดที่แสนจะใหญ่โตของที่บ้าน เมื่อเป็นสิ่งที่ข้าสนใจข้ามันจะทะเยอทะยานที่จะศึกษาและพยายามทำให้ดีที่สุดเสมอ นั่นทำให้ข้าใช้เวลาทั้งวันของข้าในห้องสมุดเพื่อศึกษาสิ่งที่ตัวเองสนใจ
ระหว่างอ่านหนังสือศึกษาความรู้ไปข้าก็นั่งจิบเลือดไปพลางจนกระทั่งมันหมด พอจะเรียกไอร่าให้มาเติมเลือดก็นึกขึ้นมาได้ว่าไอร่าไปทำธุระอื่นอยู่ จะให้อ่านหนังสือต่อโดยไม่มีเลือดให้จิบก็ไม่มีสมาธิพอ ข้าจึงหยุดอ่านแค่นั้นและออกจากห้องสมุดเพื่อกลับห้องของตัวเอง ซึ่งห้องนอนของข้าก็ค่อนข้างห่างจากห้องสมุดพอสมควร ข้าชักรู้สึกว่าบ้านมันใหญ่ขึ้นทุกวันเดินแต่ละทีเกือบหลงทาง ข้ายิ่งตัวเล็กขาก็สั้นอยู่ด้วย ปกติให้ไอร่าอุ้มพอมาเดินเองแบบนี้มันให้รู้สึกว่าทางมันไกลมากกว่าเดิมมาก
“ระวังหน่อย เดี๋ยวนายน้อยจะบาดเจ็บ!” เสียงโวยวายนี้มาจากพี่เลี้ยงทั้งสามของน้องชายข้าอีกแล้ว
“กรร!” นี่เป็นเสียงน้องชายของข้า เขาเหมือนกำลังคลั่งเพราะหิวเลือด ข้าจำที่ไอร่าบอกได้ว่าจะมีช่วงหนึ่งในทุกเดือนของเด็กทารกแวมไพร์จะหิวเลือดกว่าปกติ หากไม่ได้ดื่มเลือดอย่างเพียงพอจะก็จะเกิดอาการคลั่ง ซึ่งอาการนี้ข้าก็เคยเป็นแต่จำไม่ได้เพราะตอนคลั่งข้าจะไร้สติ อาการนี้จะหายไปตามอายุ แน่นอนว่าข้าที่อายุแค่ 2 ปีอาการก็เลยยังไม่หายไปอย่างสมบูรณ์ ยิ่งมาร์ตินที่อายุสองเดือนยิ่งแล้วใหญ่ ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะคลั่งขึ้นมา
ข้าแอบไปส่องดูห้องน้องชายที่อยู่ติดกับห้องของตัวเอง พี่เลี้ยงพวกนั้นกำลังจับน้องชายข้าไว้และพยายามป้อนเลือดแต่เขาทำท่าจะกัดคนอย่างเดียว ตาสีแดงเรืองแสงและจ้องเขม็งไปที่พี่เลี้ยงที่เป็นปีศาจจิ้งจอกและปีศาจแมว เขาจ้องมองราวกับจ้องเหยื่อ
ข้าเปิดประตูอีกเล็กน้อยตั้งใจจะดูให้ชัดแต่ในจังหวะนั้นเองน้องชายของข้าก็ดิ้นหลุดมาได้เพราะเหล่าพี่เลี้ยงไม่กล้าจับเขาแรงและจากนั้นเขาก็กระโจนเข้าหาข้าแล้วกัดไหล่ของข้าซะจมเขี้ยว ถึงฟันจะยังไม่แหลมดีแต่หากกัดด้วยแรงตอนกำลังคลั่งมันก็ทำให้เกิดแผลได้ หลังจากที่กัด แน่นอนว่าเขาสูบเลือดข้าทันที
เจ้าเด็กนี่ ไหงมากัดข้าล่ะเนี่ยพี่เลี้ยงนายอยู่ตรงนั้นไง!
“ว้าย! คุณหนู!” พวกเธออุทานขึ้นมาเสียงดังและเข้ามาแยกข้าและน้องชายออกจากกัน ข้ามองแผลที่ไหล่ของตัวเอง มันค่อยๆ หายไปเลยไม่ต้องทนเจ็บมาก
ข้ามองไปที่น้องชายที่สงบลงแล้วและกำลังหลับ แต่ข้าก็ต้องสงสัยเมื่อเห็นเหล่าพี่เลี้ยงทำหน้าหวาดกลัวข้า
“...ดูแลน้องชายของข้าให้ดี” ข้าเลยตัดสินใจกลับห้อง ซึ่งก่อนที่จะเข้าห้องข้าก็ได้ยินเสียง
“ข้านึกว่าจะไม่รอดแล้ว ดูสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ของคุณหนูสิ ข้าล่ะกลัว”
“ใช่ ข้าคิดเหมือนกันคุณหนูน่ากลัวจัง หากคุณหนูไม่พูดขึ้นมาสักทีข้าคงเป็นลม”
“ข้าเป็นห่วงนายน้อยมากกว่ากลัวคุณหนูจะทำร้ายนายน้อยของเรา”
อืมหืม....พวกคุณคะ ข้าน่ากลัวตรงไหนอายุของข้าแค่ 2 ขวบเองนะ และหน้าข้ามันออกจะน่ารักแค่ไม่ชอบแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามันก็ผิดแล้วเรอะ ข้าแค่เป็นพวกชอบพูดในใจไม่ได้ไม่ชอบพูดหรอกนะ
ข้าถอนหายใจ ข้าควรเริ่มแอ๊บเด็กตอนนี้จะยังทันไหมนะ?