บทที่ 6 ไม่ใช่ความฝัน
บทที่ 6 ไม่ใช่ความฝัน
“ซิ่วอิง ลูกกินอาหารให้หมดก่อน ดื่มยา แล้วนอน พ่อสัญญาว่าตื่นขึ้นมาลูกจะมีของกินเยอะกว่านี้”
จิงจิงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาสับสน ทำไมพ่อในความฝันช่างใจดีเหลือเกิน เธอเองก็อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้
น่าเสียดายที่ครอบครัวแสนอบอุ่นนี้กลับมีมารผจญเป็นย่าแท้ ๆ ของเจ้าของร่าง
ถ้าหากนี่เป็นความฝันและทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมา จิงจิงคงรู้สึกดีจนไม่อยากจะตื่นเลย ยิ่งหากกำจัดครอบครัวชั่วร้ายของเจ้าของร่างเดิมได้ ก็จะยิ่งดี
“ไม่ต้องห่วงนะอิงอิงลูกรัก พ่อกับแม่จะไปหาข้าวมาให้ลูกกินเพิ่ม”
“แค่นี้…ก็กินได้ค่ะ” จิงจิงก้มหน้าลงขณะพูด
ความฝันนี้เหมือนจริงเหลือเกินกระทั่งน้ำข้าวในช้อนยังจืดเย็นชืดจนแทบกลืนไม่ลง เธอยอมกินสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าข้าวด้วยความกล้ำกลืน
หากตนมาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนนี้ ซึ่งอยู่ในยุค 70 ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ เช่นนั้นก็แสดงว่าต้องใช้ชีวิตไปก่อนจนกว่าจะตื่นจากฝันอย่างนั้นเหรอ
ทั้ง ๆ ที่กำลังจะซื้อบ้านได้แล้วแท้ ๆ
ไม่รู้ว่าเจ้าโจรที่ขโมยไปจะถูกตามตัวพบหรือไม่
จิงจิงรู้ดีว่าเคสที่โจรขโมยเงินสดแบบนี้เอากลับคืนมายากมาก ดูเหมือนเมื่อฟื้นขึ้นสิ่งแรกที่หญิงสาวต้องทำคือการทำงานหนักอีกครั้งเช่นนั้นเหรอ
แล้วถ้าต้องพักรักษาตัวนานจนตำแหน่งผู้จัดการที่เพิ่งได้มาหลุดมือไปจะทำอย่างไร ความฝันที่จะมีอนาคตมั่นคงก็คงจะหลุดลอยไปก่อน
นอกจากนี้ไม่รู้ว่าบาดแผลในครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง หากกลายเป็นคนอ่อนแอ ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ได้อีกต่อไปจะทำอย่างไร
แค่คิดจิงจิงก็หวาดกลัวจนแทบกลืนน้ำข้าวไม่ลงมากกว่าเดิม
พวกนี้คืออาหารเหรอ อาหารสุนัขบ้านเธอยังดีกว่านี้มาก แค่คิดก็รู้สึกเศร้าจนอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“อิงอิง ไม่ต้องร้องนะลูก แม่อยู่นี่” ความอบอุ่นที่หลังมือทำให้จิงจิงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นบิดามารดาในความฝันยืนอยู่ข้างเตียงมองมาด้วยความเป็นห่วง
เธอก้มหน้าลงแล้วรีบกินข้าวพร้อมกลั้นใจยกยาขึ้นดื่มเพื่อจะได้รีบ ๆ นอน แล้วรีบออกจากความฝันนี้เสียที
จิงจิงแค่อยากรู้ว่าตอนนี้โลกความจริงของเธอเป็นอย่างไรบ้าง ไหนจะร่างจริงของเธอที่บาดเจ็บอีกเล่า
“อิงอิง อิ่มไหมลูก”
จิงจิงได้ยินแม่ถามอย่างนั้นก็ส่ายหน้า อยากจะบอกตามตรงว่าถ้าน้ำข้าวที่มีข้าวเพียงไม่กี่เม็ดทำให้คนอิ่มได้ก็มหัศจรรย์แล้ว แม้จะเป็นยุค 70 ก็เถอะ คนก็ไม่ได้ยากจนอดอยากขนาดนั้นนี่นา
นี่ต้องเป็นผลมาจากการกลั่นแกล้งของย่าเจ้าของร่างอีกแน่นอน
“โถ ลูกแม่” คนเป็นแม่เริ่มร้องไห้ ทำให้จิงจิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก
“ไม่ต้องร้องหรอกค่ะ ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอกินได้” จิงจิงรับมือกับลูกค้าได้ดี แค่ผู้หญิงร้องไห้คนหนึ่งย่อมไม่พลาด
“ถ้าอย่างนั้นพ่อจะออกไปหาของกินมาให้ลูกเพิ่ม” ว่าแล้วเว่ยตงก็หันหลังกลับเดินออกจากห้องไป
“เอ่อ อิงอิงขอนอนพักต่อหน่อยนะคะ”
“ได้ ๆ นอนเลยลูก นอนเยอะ ๆ จะได้หายไว ๆ”
แม้นางเหม่ยฟางจะรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของบุตรสาว แต่ยังคะยั้นคะยอให้ลูกนอนลง ช่วยห่มผ้าให้แล้วจึงออกไปข้างนอกเพื่อตั้งใจหาอะไรมาให้บุตรสาวกินเพิ่มเหมือนกัน
ทางด้านจิงจิงนั้นได้แต่ลืมตาโพลงมองเพดานด้วยความสับสน
นี่ไม่ใช่ในหนังในละคร เธอจะทะลุมิติหรือมาสวมร่างกายของคนอื่นได้อย่างไร นี่ต้องเป็นความฝันจากอาการโคม่าแน่ ๆ
ขอเพียงแค่เธอหลับสักตื่น เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งย่อมฟื้นกลับสู่โลกความจริงของตัวเองได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ความทรงจำของร่างนี้ก็น่าสงสารเหลือเกิน ราวกับได้ดูหนังอันแสนอาภัพเรื่องหนึ่ง จนคนที่อวยยศตัวเองว่าเป็นผู้ชมอย่างจิงจิง รู้สึกเหมือนครอบครัวนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรสักอย่าง
ก็มีเหตุผลอะไรที่แม่แท้ ๆ ต้องรังแกลูกชายตัวเองขนาดนี้ล่ะ
ครอบครัวนี้มีปู่กับย่าเป็นหัวหน้าครอบครัว คุณย่ามีลูกชายสองคนลูกสาวสามคน หากบอกว่าเป็นเพราะเหตุนี้เลยทำให้คุณย่ามีปมเรื่องการมีหลานสาวเป็นผู้หญิงก็ไม่น่าจะใช่
เพราะสุดท้ายแล้ว เว่ยหนานที่เป็นหลานสาวเหมือนกันกลับได้รับความชมชอบจากผู้เป็นย่าอยู่ แม้เป็นรองจากเว่ยหยางหลานชายคนโตและเว่ยจุนที่เรียนเก่งก็เถอะ
บางทีถ้านี่เป็นความฝัน เธออาจสร้างมันมาจากนิยายหรือละครเลือดสุนัขที่เคยดู ไม่แน่ว่าพ่อของเธออาจเป็นลูกชายคนสำคัญของตระกูลเก่าแก่ที่ถูกลักพาตัวมาขายโดยผู้ค้ามนุษย์ จนสุดท้ายก็มาตกอยู่ในมือของนางหวังซื่อ
หากเป็นอย่างนี้ก็พอจะเข้าเค้าไปหมด ไม่ว่าจะเป็นความรังเกียจที่มีต่อลูกชาย แล้วพาลมารังเกียจลูกสาวของเขา
บางทีไม่แน่แม้ว่าบ้านของเด็กคนนี้จะบังเอิญให้กำเนิดบุตรชายมา ก็คงจะไม่เป็นที่รักเหมือนเดิม หากทุกอย่างเป็นเรื่องจริง และพ่อเว่ยตงไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของนางหวัง
น่าเสียดายที่จิงจิงเป็นเพียงผู้ชม และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเจ้าของร่างเดิมกลับมา หรือความฝันจบลงแล้ว ครอบครัวเล็ก ๆ สามคนพ่อแม่ลูกนี้จะหลุดพ้นจากครอบครัวเฮงซวยนี่เสียที
“ช่างเถอะ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน” จิงจิงคิดเช่นนั้นขณะพยายามข่มตาลงให้นอนหลับ
แต่นอนคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นาน กว่าจะหลับสนิทในที่สุด
จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังรบกวน พร้อมเสียงโวยวายที่คุ้นหูในความทรงจำ
ปัง ปัง ปัง! “ตื่นได้แล้วนังเด็กเสียเงิน นอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนฮะ! สำออยขนาดนี้ก็หาสามีรวย ๆ แล้วไปเกาะเขากินเถอะ บ้านนี้ไม่เลี้ยงคนขี้เกียจสันหลังยาวโว้ย!”
จิงจิงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ เธอรู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนฉ่า ลมหายใจที่ถูกพ่นออกจากจมูกเองก็มีไอร้อนจาง ๆ
“ที่นี่…” มองไปรอบ ๆ หญิงสาวพบว่าตนเองยังอยู่ในฝันเหมือนเดิมก็สูดหายใจเข้าลึก ไม่อยากจะเชื่อว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น
ดูเหมือนบางทีอาจต้องให้เกิดเหตุการณ์อะไรที่น่าตกใจ หรือจุดเปลี่ยนบางอย่างถึงจะทำให้ตื่นขึ้นได้ บางทีนี่อาจเป็นนรกที่ทุกคนพูดถึง
เมื่อคิดถึงเสียงตะโกนที่ดังขึ้นหน้าห้อง ก็พลันคิดว่านี่อาจเป็นนรกจริง ๆ ก็ได้ นรกที่ใช้ทรมานผู้คนจนเกือบตาย ด้วยความร้ายกาจของผู้เป็นย่านั่นไง
ปัง ปัง ปัง! “ตื่นโว้ย ถ้าแกยังไม่ตื่น วันนี้ฉันจะตีแกให้ตาย นังผีขี้เกียจที่ชั่วร้าย ทำตัวให้มีประโยชน์อะไรไม่ได้สักอย่าง”
“หึ นังแก่ชั่วช้าสมองเลอะเลือนเอ๊ย” จิงจิงด่าอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนสะลึมสะลือมองไปรอบ ๆ เพื่อตามหาร่างของพ่อแม่ในฝัน
เมื่อเห็นว่าพวกท่านไม่อยู่ก็รู้แล้วว่าทำไมยัยย่าชั่วร้ายคนนั้นถึงมาอาละวาด เผลอ ๆ อาจใช้เวลาที่พ่อแม่เผลอและร่างกายนี้ยังอ่อนแอ จับคนส่งขายให้พ่อม่ายชราเลยก็ได้
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่เมื่อนึกว่านี่เป็นเพียงความฝัน จิงจิงก็ลุกขึ้นเดินโซเซด้วยความอ่อนแรงไปเปิดประตู
ผ่าง! จู่ ๆ ประตูก็เปิดออก ทำให้นางหวังซื่อที่กำลังจะฟาดไม้ลงยั้งมือแทบไม่ทัน โชคดีที่ไม้โดนขอบประตูด้านข้าง
ปัง! เสียงดังของไม้กระทบกันทำให้จิงจิงสะดุ้ง แต่ดวงตาที่มองตรงไปยังร่างท้วมตรงหน้ากลับเฉยเมยเฉื่อยชา
“ไม่เห็นหรือยังไงว่าคนป่วยจะตายอยู่แล้ว” นี่อาจเป็นความรู้สึกอึดอัดที่อยากจะระบายหลังจากเห็นความทรงจำมานาน
นางหวังซื่อไม่คิดว่าเด็กสาวที่เอาแต่กลัวหัวหดจะมองตรงมาที่ตนอย่างนั้น ซ้ำยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งน่ากลัว จึงอดลดไม้ลงมาที่ข้างตัวไม่ได้
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเด็กนี่ก็แค่คนขลาดเขลา นังจิ้งจอกเหมือนแม่มันที่ชอบล่อลวงผู้ชายไปวัน ๆ ก็เริ่มยกนิ้วขึ้นชี้ ด่าว่าอีกครั้งทันทีราวกับถูกตั้งโปรแกรมไว้ว่า พบหน้าคนนี้แล้วต้องด่าเท่านั้น