บทที่ 5 วิญญาณเข้าร่าง
บทที่ 5 วิญญาณเข้าร่าง
“พี่ไม่ได้จะขโมยผลงานของเราหรอกใช่ไหมคะ” แต่แล้วอยู่ ๆ เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นกลางวงสนทนาและต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ ดูเหมือนเธอมีแผลในใจ เนื่องจากผู้จัดการคนเก่านอกจากโดนข้อหาฉ้อโกงแล้ว เขายังขโมยผลงานของเด็ก ๆ ในร้านไปด้วย
“เรื่องนี้ขอให้ทุกคนวางใจได้เลยค่ะ ฉันไม่จำเป็นต้องขโมยผลงานของใคร เพราะโดยปกติเงินเดือนและคอมมิชชันของผู้จัดการ ก็ได้รับส่วนแบ่งจากผลงานยอดขายในร้านอยู่แล้ว” เว่ยจิงจิงกล่าวอย่างจริงจัง พร้อมกวาดตามองไปรอบ ๆ
“อีกอย่างฉันขอเอาฐานะของยอดนักขายแห่งปีที่ได้สองปีซ้อนเป็นประกัน นอกจากจะไม่แย่งผลงานใครแล้ว ฉันยังจะช่วยเทรนด์ทุกคนและแบ่งปันวิธีขายของฉันให้กับทุกคนได้เรียนรู้โดยไม่หวงเลยแม้แต่น้อย พวกเราจะทำให้ยอดขายของร้านเติบโตไปด้วยกัน!” ว่าแล้วก็กำมือแล้วชูขึ้น ส่งผลให้คนในร้านรู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วย จึงส่งเสียงร้องเฮ่! แล้วชูมือขึ้นตาม ๆ กัน
ในร้านใหม่นี้มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ เนื่องจากห้างสรรพสินค้ากงโม่นอกจากรองรับลูกค้ามีเงินแล้ว ยังมีส่วนร้านใหญ่ที่รองรับลูกค้าทั่วไป สินค้าหลากหลายกว่ามาก
ด้วยเหตุนี้จึงมีสองส่วนแยกจากกัน และมีผู้จัดการคนเดียวที่ต้องดูแลทำให้วุ่นวายมากขึ้น
เว่ยจิงจิงทำงานจนหัวหมุนในช่วงสองสามวันแรก แต่เมื่อเงินเดือนออกก็ดีใจอย่างยิ่ง รีบไปกดเงินเพื่อเอาไปดาวน์ห้องชุดทันที หลังจากกดเงินมาหญิงสาวก็เดินอย่างระแวดระวัง ตอนนั้นเองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายจากเจ้าของห้องนั่นเอง
“สวัสดีค่ะ คุณถึงไหนแล้วคะ”
“อยู่ที่ห้องแล้วใช่ไหมคะ ฉันกำลังไปค่ะ” หญิงสาวยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข มือก็ลูบกระเป๋าข้างไปด้วย ในที่สุดเธอก็กำลังจะมีบ้านเป็นของตัวเอง และต่อไปชีวิตก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
เธอคาดหวังอย่างนั้นโดยไม่คิดเผื่อใจเลยว่า บางครั้งชีวิตก็โหดร้ายและไม่แน่ไม่นอน
ขณะกำลังเดินผ่านตรอกมืดแห่งหนึ่งริมถนนก็ถูกโจรดักปล้น ชายคนนั้นสวมชุดสีดำหลัง เห็นว่าหญิงสาวมุ่งหน้าไปทางไหนหลังจากกดเงิน ก็ไปดักหน้าและรอเวลามานานแล้ว
เว่ยจิงจิงจึงไม่ทันตั้งตัวเมื่อเขาใช้มีดจี้แล้วบังคับให้หล่อนปล่อยมือจากกระเป๋า ในนั้นมีเงินที่หามาตลอดการทำงานสองปีเธอจะยอมได้อย่างไร
หญิงสาวสะบัดตัวเพื่อขัดขืนและคิดจะเอากระเป๋าฟาดหน้าคนร้าย แต่ปลายมีดแหลมก็แทงเข้ามาไม่ยั้งเมื่อเห็นว่าเธอขัดขืน
ความรู้สึกเจ็บปวดแทรกเข้ามาในร่างกาย เจ็บจนกลายเป็นชา กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ลมหายใจขาดห้วง มือหลุดออกจากสายสะพาย ปล่อยให้เงินถูกฉกชิงไปได้สำเร็จ
“บ้าน…แค่อยาก…มีบ้าน…”
เธอแค่อยากมีบ้านเท่านั้นเอง ทำไมต้องโดนโจรปล้นแล้วตายอยู่ข้างถนนแบบนี้ด้วย
ความนึกคิดสุดท้ายของเว่ยจิงจิงดับวูบไป เธอคิดว่าตนเองตายไปแล้ว
แต่…หญิงสาวดันฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในฐานะสาวน้อยเว่ยซิ่วอิง ที่แซ่เดียวกับเธอ ทว่าร่างนี้ดันอยู่ในยุค 70 อีกด้วย!
หญิงสาวรู้สึกปวดหัวหนึบตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้น ร่างกระตุกเล็กน้อยด้วยสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด แต่กลับรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้อย่างใจ ร่างกายหนักอึ้ง
‘เกิดอะไรขึ้น’ เธอคิดเพียงเท่านั้น ก่อนเสียงของใครบางคนจะดังขึ้น
“อิงอิงตื่นแล้วเหรอลูก อิงอิง”
‘อิงอิงคือใคร หรือเราถูกส่งมาโรงพยาบาลแล้วได้อยู่ในห้องรวมงั้นเหรอ’
“อิงอิง ฮึก...ฮือ อย่าจากแม่ไปนะลูก รีบฟื้นเร็วเข้า”
“อิงอิง ลูกเป็นเด็กดี เป็นคนเก่ง ต้องฟื้นให้ได้นะลูก”
เสียงของชายและหญิงที่ดังอยู่ข้างหู ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากเตียงข้าง ๆ ขณะที่ดวงตาของเธอค่อย ๆ เปิดกว้างออก แสงสว่างทำให้ต้องรีบหลับตาลง
ทันใดนั้นอยู่ ๆ เหมือนมีความทรงจำมากมายถาโถมเข้ามาในสมอง ยากที่จะปะติดปะต่อได้ ความเจ็บปวดแล่นจี๊ดจากก้านสมองสู่ท้ายทอยจนร่างกระตุกเบา ๆ
“อิงอิง ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า”
แต่ที่แน่ ๆ ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาในสมองเหล่านี้ ทำให้นึกถึงเรื่องราวในละคร ในนิยายที่เคยอ่าน ‘ไม่มีทาง ฉันอยู่ในร่างของเด็กที่ชื่อเว่ยซิ่วอิงงั้นเหรอ’
พรึ่บ! ตาทั้งสองข้างลืมขึ้นกะทันหัน ทำให้เว่ยตงกับเหม่ยฟางที่เฝ้าอยู่ด้านข้างตกตะลึง ก่อนรีบเข้ามาดูบุตรสาว “อิงอิง ลูกเป็นยังไงบ้าง”
จิงจิงเมินเสียงของหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง ยกมือขึ้นมอง มือที่หยาบกร้านมีรอยแตกรอยดำบ่งบอกว่าทำงานหนักมาตลอดชีวิต ร่างกายที่เจ็บปวดไปทั่วตัวเพราะพิษไข้ นอกจากนี้ยังมีความทรงจำแปลก ๆ ที่เป็นของร่างนี้อีก
เมื่อมองไปยังสภาพโดยรวมของสถานที่ซึ่งไม่คุ้นตา เตียงตั่งแบบโบราณ ห้องเล็ก ๆ อับทึบผนังเป็นดินและไม้ ประตูเป็นช่องแสงเดียวที่ส่องเข้ามา นอกจากนี้ยังไม่มีเครื่องเรือนอะไรนอกจากหีบห่อเสื้อผ้าที่วางอยู่ในมุม แล้วยังมีอีกหลายส่วนวางไว้บริเวณปลายเตียง ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลอย่างแน่นอน!
พอมองไปที่ด้านข้างเตียง เห็นหญิงสาวที่ดูชรากว่าอายุจริง ผอมแห้งจนเหมือนมีเพียงหนังหุ้มกระดูกเพราะใช้ชีวิตผิด ๆ มาตลอดช่วงอายุที่ผ่านมา
“แม่...”
เมื่อสายตามองถัดไปไม่ไกล มีร่างสูงใหญ่ดำคล้ำของชายวัยกลางคน ซึ่งดูไม่แก่ชราแม้จะผ่ายผอมแต่ก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไม่ต่างจากคนที่ใช้แรงงานมาทั้งชีวิต
“อิงอิง ลูกเป็นยังไงบ้าง รู้สึกยังไง ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า”
“พ่อ…”
เด็กสาวเอ่ยถึงทั้งสองคนตรงหน้าคล้ายยืนยันว่า ความทรงจำที่เข้ามาในหัวนี้คือของจริง ร่างกายที่อยู่ในตอนนี้ก็เป็นเว่ยซิ่วอิง
‘เป็นไปไม่ได้ ฉันต้องฝันไปแน่ ๆ’ จิงจิงไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ เธอพยายามลุกขึ้นเพื่อออกไปสำรวจรอบ ๆ
แต่ร่างกายนี้อ่อนแรงเกินไป แค่พยายามจะลุกก็หายใจไม่ทันแล้ว เลยโดนผู้เป็นมารดาอย่างเหม่ยฟางพยุงพากลับมานอนเหมือนเดิม
“อิงอิงพักก่อนลูก จะไปไหน”
“ใช่ พักก่อนเถอะ ไว้หายดีค่อยออกไปทำงานต่อ”
“แต่…” เธอแค่อยากจะยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง
“หิวไหมลูก เดี๋ยวพ่อเอาอาหารมาให้” ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวกลัวว่าฟื้นขึ้นมาแล้วจะหิว จึงเอ่ยถามด้วยความกังวล แต่ผู้เป็นพ่อไม่คิดที่จะรอคำตอบ จากนั้นก็หมุนร่างใหญ่ของตนเองหายออกไปจากห้องทันที
จิงจิงมองตามหลังชายที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของร่างนี้จนลับสายตา และรู้สึกสับสนเลยไม่ได้พูดหรือสนทนาใด ๆ กับผู้เป็นแม่ เด็กสาวล้มตัวนอนก่อนจะแกล้งทำเป็นหลับ เธอคิดว่าตัวเองแค่ฝัน และอาจเป็นฝันซ้อนฝันได้หลายครั้ง นี่น่าจะเป็นผลที่เกิดจากการบาดเจ็บหรืออยู่ในอาการโคม่า จึงเริ่มสร้างโลกขึ้นมาในสมองตัวเองหรือเปล่า
“อาหารมาแล้วลูก” ไม่นานประตูห้องก็เปิดออก ผู้เป็นพ่อแทรกตัวเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ เหม่ยฟางพยุงลูกสาวให้ลุกขึ้นนั่ง แม้สีหน้าของเว่ยซิ่วอิงดูไม่ได้สดชื่นแต่ก็ไม่คิดว่าผิดปกติเนื่องจากเด็กสาวเพิ่งผ่านพ้นความเป็นความตายมา
พวกเขาลอบมองหน้ากันใจหายวูบ มีครู่หนึ่งที่บุตรสาวหยุดหายใจไป ทั้งสองคิดว่าต้องสูญเสียบุตรสาวคนเดียวของตนไปเสียแล้ว แค่คิดก็หวาดกลัวจนหัวใจหนาวเหน็บ
“นี่…” แต่เมื่อเหม่ยฟางเห็นชามข้าวตรงหน้า ก็เผยสีหน้าหม่นหมองออกมา เว่ยตงเห็นอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เม้มปาก ส่ายหน้าน้อย ๆ ให้ภรรยา
บ่งบอกว่าเขาพยายามแล้วแต่เอาอาหารมาได้เท่านี้ เห็นอย่างนั้นเหม่ยฟางก็ก้มหน้าดวงตาแดงก่ำและกลั้นน้ำตาที่ไหลลงอาบหน้าจากสายตาของลูก ยังพยายามที่จะป้อนข้าวในชาม ซึ่งดูจะไม่มีข้าวเลยแม้สักเม็ดเดียว
“นี่คืออะไร…คะ” จิงจิงเอ่ยถามพร้อมกับสายตามองชามน้ำสีขาวขุ่นตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“พ่อเอาอาหารมาให้แล้ว ซิ่วอิงลูกกินรองท้องก่อน แล้วพ่อจะลองขึ้นเขาไปหาผักป่ามาต้มให้ลูกกินเพิ่ม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเอง พี่ไปช่วยดูบ้านหนิวเถอะ ได้ยินว่าจะล้มหมู”
“ไม่เป็นไร เรื่องนั้นให้พี่รองไปแล้ว”
“แต่…” เหม่ยฟางมีสีหน้ากังวลใจ
ส่วนจิงจิงมองทั้งสองกลับไปกลับมาราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดถึง ต้องบอกว่าตอนนี้แม้เธออยากจะทำความเข้าใจ สมองของร่างนี้ก็เบลอเกินกว่าจะประมวลผลได้