ตอนที่ 2 แยกบ้าน
“มาแล้วหรือ”
“ลูกมาแล้ว”
“เช่นนั้นก็ทำเรื่องแยกบ้าน”
“ดูท่านพ่อจะรีบร้อนอยากให้ข้าออกจากจวนหลังนี้เสียเหลือเกิน” ประโยคคำพูดประชดประชันทว่าน้ำเสียงกับไม่อินังขังขอบใด ๆ สายตาหานลั่วอี้มองตรงไปยังผู้ที่ได้ชื่อว่า บิดา เมื่อก่อนสายตาคู่นี้มักจะมองมาด้วยความภาคภูมิใจ มาตอนนี้แม้จะสบตาหรือมองหน้าท่านยังไม่ต้องการจะมอง
แถมในสายตาคู่นี้ยังเต็มไปด้วยความหงุดหงิดไม่ชอบใจ
“เลิกพูดมากได้แล้ว เจ้าต้องการอันใด” หานฉิงอี้ไม่ถือสาหาความ เขาไม่อยากจะถือความยาวสาวความยืด ให้ต้องยืดระยะเวลาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับบุตรชาย เพราะหวาดกลัวคำพยากรณ์จากท่านหมอดู
“มีเพียงสิ่งเดียว”
“...” หานฉิงอี้เลิกคิ้วเป็นเชิงบอกให้พูดต่อ
“ข้าจะพาหานลั่วซานออกไปด้วย”
“เหลวไหลอันใด ลั่วซานคือบุตรชายข้า เจ้าจะพาไปไม่ได้!!” คนที่กล่าวคือ มู่ฉิงเย่ มารดาเลี้ยงแสนประเสริฐ นางเบิกตากว้างจ้องหน้าหานลั่วอี้เขม็ง ความรู้สึกไม่ชอบใจฉายชัดในดวงตา
“เช่นนั้นข้าก็จะไม่แยกบ้าน ปล่อยให้พินาศกันไปทั้งครอบครัวตามคำทำนายไปเสีย” นางเม้มปาก อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องหานลั่วอี้เขม็ง สายตาเผยความเคียดแค้น
หานลั่วอี้ยกยิ้มมุมปาก มองสายตาเกลียดชังไม่ปิดบังของมารดาเลี้ยง คิดว่าเขาไม่ตะขิดตะขวงใจอันใดเกี่ยวกับนางงั้นหรือ? ในเมื่อหลังจากเขาป่วยได้ไม่นาน หานลั่วซานก็เกิดล้มป่วยกะทันหัน ทั้งยังหลับไม่ได้สติ สตรีผู้นี้ต้องทำอันใดบางอย่างกับหานลั่วซาน
หานลั่วซานคือบุตรชายคนเล็กของ หานฉิงอี้กับมู่ฉิงเย่ ภรรยาหลวงของหานฉิงอี้ ทั้งยังเป็นแม่ใหญ่ของหานลั่วอี้ ส่วนมารดาเขานั้นเสียชีวิตหลังจากชายหนุ่มเกิดได้เพียงสิบปี
ทั้งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเพียงแค่สายเลือดทางฝั่งบิดาแล้วเหตุใดหานลั่วอี้ถึงต้องการนำเด็กน้อยวัยหกขวบไปด้วย เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปอีกหลายหน้า เพราะฉะนั้นแล้วจะละเว้นเอาไว้เสียก่อน
“แม่ใหญ่ท่านจะยอมให้ ลั่วเซียง ลั่วเหมยพังพินาศเพราะข้าจริงหรือ? ข้าเพียงต้องการลั่วซาน หากท่านยินยอมต่อจากนี้ก็ให้ถือว่าข้ามิใช่คนตระกูลหานอีกต่อไป” สองคนที่หานลั่วอี้กล่าวถึงคือ บุตรชายคนโตและบุตรสาวคนรองของนาง ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายและน้องสาวของเขา
ส่วนหานลั่วซานคือน้องคนสุดท้อง
มู่ฉิงเย่มีบุตรด้วยกันสามคน คนโตหานลั่วเซียงอายุสิบแปด เป็นฝึกปราณขั้นสาม คนรองหานลั่วเหมยบุตรสาวคนรองอายุสิบสี่เป็นฝึกปราณขั้นสอง คนเล็กหานลั่วซาน ไม่สามารถฝึกปราณได้
มู่ฉิงเย่อึกอักไม่ตอบนัยน์ตาฉายแววดีใจอยู่หลานส่วนผสมปนเปไปกับความกังวลใจ หวาดหวั่น นางไม่ต้องการมอบลั่วซานให้บุรุษตรงหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยังน้อยกว่าความรู้สึกอยากขับไล่ลูกเลี้ยงออกไป
เมื่อไม่อาจแสดงเป็นมารดาผู้ร้ายกาจได้ มู่ฉิงเย่จึงใช้น้ำตาเข้าสู้
“ท่านพี่ น้องควรทำเช่นไรดี ลั่วซานคือบุตรคนเล็กของข้า ตอนนี้ก็นอนหลับไม่ได้สติ จะปล่อยให้ลั่วอี้พาไปด้วยเช่นนี้...” ประโยคหลังนางไม่ได้พูดออกมา หันหน้าไปซบไหล่หานฉิงอี้ท่าทางน่าสงสาร มือเรียวสวยยกขึ้นปิดหน้าทำทีเป็นร้องไห้
เยว่ฉีที่ยืนอยู่หลังรถเข็นตั้งแต่ต้นไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่ลอบมองคนนั้นที คนนี้ที พวกคนทั้งหลายที่นั่งมองคนเล่นละครพ่อแม่ลูกด้วยสายตาสนุกสนาน
คนครอบครัวนี้ยังไงกัน!?
ในความทรงจำของนาง โลกนี้คือโลกแห่งการฝึกปราณบำเพ็ญเพียร อีกทั้งยังมีการแบ่งแยกออกเป็นหลายระดับ ที่นางรู้มีเพียงข้อมูลคร่าว ๆ เท่านั้น ในความทรงจำเจ้าของร่างเดิมคล้ายมีเมฆหมอกบดบังความทรงจำส่วนใหญ่เอาไว้ ทำให้รู้เรื่องเกี่ยวกับการฝึกปราณไม่แน่ชัดนัก
ทว่าเยว่ฉีก็หาได้รีบร้อนถึงแม้ร่างนี้จะไม่รู้ หานลั่วอี้จะต้องรู้ ไว้ถามหลังออกจากบ้านหลังนี้แล้วก็ไม่สาย สองมือเรียวผอมแห้งจับที่เข็นรถไว้แน่น ในใจมีความรู้สึกมากมายไหลเวียนอยู่
หานลั่วอี้มองสองสามีภรรยาเล่นบทรักใคร่เอ็นดู บิดายกมือตบ ๆ ไหล่ภรรยาจ้องมาที่เขาเขม็งราวกับจะกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุทำให้สตรีของตนร้องไห้
สวรรค์!! เขายังมิได้ทำอันใดให้นางเจ็บปวด ลั่วซานแท้จริงก็ใช่ว่านางจะให้ความสนใจสมกับเป็นมารดา ความรักของนางล้วนมอบให้บุตรชายบุตรสาวทั้งสองไปหมดแล้ว
“ท่านพ่อข้าต้องการเพียงหนึ่งแลกกับคนทั้งหมด ท่านควรรีบตัดสินใจ” บ้านแบบนี้เขาเองก็ไม่อยากจะอยู่แล้วเช่นกัน
หานฉิงอี้ใช้เวลาคิดไม่นาน ระหว่างคนทั้งตระกูล บุตรชายบุตรสาวอนาคตไกลกับบุตรคนเล็กที่นอนเป็นผัก เขาย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุด
หานฉิงอี้ถอนหายใจคล้ายกับไม่ต้องการให้เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมต้องจัดการให้ดี
“เอาละข้ายอมให้เจ้านำตัวลั่วซานไปด้วย ในเมื่อเจ้าเลือกแล้วข้าก็ไม่คิดจะขัดขวางคำขอสุดท้ายของเจ้า และข้าเห็นว่าเจ้าออกไปเพียงตัวเปล่าก็ใช่ว่าจะดี คนเขาจะมองว่าตระกูลหานใจไม้ไส้ระกำ เช่นนั้นข้าจะมอบที่ดินพร้อมบ้านให้พวกเจ้า ส่วนที่นา...” หยุดคำพูดเล็กน้อยจ้องมองขาทั้งสองของบุตร กล่าวต่อ
“ในเมื่อเจ้าเดินเหินไม่สะดวก อีกทั้งภรรยาก็ร่างกายซูบผอมคงไม่มีกำลังพอในการดูแล ข้าเห็นสมควรว่าไม่จำเป็นต้องมอบให้” แม้จะชักแม่น้ำทั้งห้ามากล่าวอ้างแต่ใจความจริง ๆ เพียงไม่ต้องการกลายเป็นที่ครหาของผู้คน
ดวงตาบุรุษหนุ่มเข้มขึ้นมองบิดาด้วยสายตาผิดหวังไม่นานก็สลายหายไป
ตนยังจะคาดหวังอันใดได้อีก ในดินแดนที่การฝึกปราณถือเป็นที่สุดกับคนที่ถูกตัดสิน ให้ไม่อาจฝึกปราณต่อได้ ไม่ต่างอันใดกับคนธรรมดา ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
“แต่ท่านพี่...” มู่ฉิงเย่ยังคงทำทีเป็นไม่ต้องการ แต่เวลาที่มองมากับเผยแววตาเยาะเย้ยดูแคลน
เยว่ฉีไม่เข้าใจว่าเหตุใดหานลั่วอี้ถึงต้องการนำตัวผู้ป่วยติดเตียงไปด้วย แค่พวกเขาสองคนก็แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ทำไมต้องนำภาระไปเพิ่ม ทว่าในเมื่อหานลั่วอี้ตัดสินใจเช่นนั้นนางก็น้อมรับ เพราะมีความเชื่อว่าบุรุษผู้นี้มิใช่คนทำอะไรไม่รู้จักคิด
“เอาละน้องหญิงที่พี่ทำเช่นนี้ก็เพื่อลูก ๆ ของเรา” นางอึกอักไม่ยินยอม ซบหน้าลงกับอกสามีอีกครั้ง
หานฉิงอี้ปวดใจยิ่งนักเมื่อเห็นน้ำตาภรรยา เขาหันไปหาบุตรชายคนรองบอกกล่าวให้พามารดาไปพักเสียก่อน ทั้งยังบอกให้หานลั่วเหมยตามไปด้วย
ภายในห้องจึงเหลือเพียงท่านลุง ป้าสะใภ้ใหญ่ ป้าสะใภ้รอง ท่านอา และอาสะใภ้ ส่วนลูก ๆ ของพวกท่านล้วนถูกกันไม่ให้เข้ามา
“หานลั่วอี้ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าจะเขียนหนังสือสัญญาแยกบ้าน นอกจากข้อเรียกร้องเรื่องลั่วซานเจ้าไม่มีสิ่งใดต้องการอีกใช่หรือไม่” หานลั่วอี้กำลังจะตอบตกลงทว่ากลับถูกมือคู่หนึ่งยื่นมาสัมผัสหลังฝ่ามือเข้าเสียก่อน
เขาเงยหน้าขึ้นมอง เป็นภรรยาที่เงียบอยู่ตลอด
เขามองนางเป็นเชิงถาม น้ำเสียงสดใสไพเราะทว่ายังคงติดแหบแห้งเล็กน้อยเอ่ยขึ้น
“ท่านพี่ในเมื่อแยกบ้านแล้วเช่นนั้นก็ควรทำให้เด็ดขาด ต่อจากนี้ทั้งสองครอบครัวไปมาหาสู่กันให้น้อยหน่อย หากไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ไม่ต้องไปมาหาสู่กัน รวมไปถึงเรื่องภายในบ้านห้ามมิให้ยุ่งเกี่ยว แทรกแซงกันเป็นอันขาด ท่านคิดเห็นเช่นไร” หานลั่วอี้มองภรรยาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ไม่คิดว่านางจะมีความคิดรอบคอบถึงเพียงนี้ หลังเขาไตร่ตรองดูแล้วก็เห็นว่าสมควรจึงพยักหน้าตกลง
เมื่อก่อนรักคนในครอบครัวมากแค่ไหน มาตอนนี้เขาได้เห็นน้ำใสใจจริงจากคนที่เรียกว่าครอบครัวแล้ว ถึงจะยังรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ขีดเส้นแบ่งแยกให้ชัดเจนเสียแต่เนิ่น ๆ ย่อมดีกว่า
เขาก็ไม่อยากสนิทสนมกับครอบครัวที่ละทิ้งเขาทันทีที่ไร้ประโยชน์
หานลั่วอี้พยักหน้าเห็นด้วย มองสายตาแน่วแน่จริงจัง หลังตอบตกลงดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้นพลันถูกเคลือบด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
“ท่านพ่อเขียนลงไปตามที่นางกล่าว”
หานฉิงอี้ไม่เอ่ยแย้ง สิ่งที่นางกล่าวมาล้วนเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ต้องพูดออกไปเองย่อมดีที่สุด ผู้คนจะได้ไม่ติฉินนินทาว่าเขาทำตัวร้ายกาจต่อบุตรพิการ
หานฉิงอี้จรดปลายพู่กันเขียนตามสะใภ้กล่าว หลังสัญญาถูกเขียนขึ้นมาเรียบร้อยก็คัดลอกเป็นสองฉบับ
หานลั่วอี้อ่านทวนเนื้อหาในสัญญาอีกครั้งก่อนพยักหน้า จากนั้นคนทั้งสองก็กรีดนิ้วหยดเลือดลงบนสัญญา จากนั้นประทับลายนิ้วมือลงไป
สัญญาตรงหน้าพลันเปล่งประกายสีทองลอยขึ้นกลางอากาศไม่นานก็หล่นลงบนโต๊ะเช่นเดิม
เป็นอันเสร็จสิ้นการทำสัญญา
สัญญาถูกแยกเก็บที่หานลั่วอี้ฉบับหนึ่ง หานฉิงอี้ฉบับหนึ่ง เมื่อสัญญาที่เขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเสร็จสบูรณ์ ต่อจากนี้ก็ถึงเวลาย้ายออกเสียที
แม้ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าชีวิตจะเป็นเช่นไร ก็ได้แต่ภาวนาให้ดีกว่ายามอยู่ในจวนหลังนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนกับการเลือกปฏิบัติและสายตาดูถูกดูแคลนจากผู้ที่ได้ชื่อว่า ครอบครัว
เยว่ฉีมองท่าทางเด็ดเดี่ยวของสามีก็ได้แต่รู้สึกปวดใจ ถึงจะไม่ใช่เรื่องของนาง แต่การถูกครอบครัวหันหลังให้ไม่ว่าใครก็คงเจ็บปวด แม้จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ทว่าความรู้สึกเจ็บปวดซึ่งเคลือบอยู่จาง ๆ รอบดวงตาโศกเศร้าคู่นั้นนางกลับเข้าใจได้เป็นอย่างดี
ชาติก่อนเยว่ฉีก็มีครอบครัวถึงจะอยู่ด้วยกันได้ไม่นานทั้งสองก็จากกันไปเพราะอุบัติเหตุ แต่การจากไปของนางยังดีกว่าการแยกจากแบบที่หานลั่วอี้เผชิญ
มือเรียวสวยพารถเข็นไม้เคลื่อนตัวออกมาด้านนอกห้องโถง ตั้งใจแน่วแน่ว่าต่อให้ต้องลำบากจนตายก็ไม่คิดจะให้หานลั่วอี้กลับมายังบ้านหลังนี้ ทั้งนางยังเชื่อว่าเขาไม่คิดจะหวนกลับมาเช่นเดียวกัน
แผ่นหลังเด็ดเดี่ยวของนางบดบังแผ่นหลังงองุ้มเล็กน้อยของหานลั่วอี้ ทำให้คนในห้องมองเห็นเพียงแผ่นหลังตั้งตรงเกินกว่าที่สตรีนางหนึ่งจะมี
ไม่มีใครคาดคิดว่า คนที่พวกเขาผลักออกไปด้วยสองมือคู่นี้จะมีชีวิตที่ดีเกินกว่าพวกเขาจะยื่นมือออกไปหาได้