บทที่14
หมออู๋เขียนสัญญาขายยาห้ามเลือดกับมู่หลินโดยรับซื้อมู่หลินตลับละ สองตำลึงเงิน ก็แยกเดินทางไปก่อนเพราะต้องจัดการเรื่องเงินกับหอประมูล แล้วยังต้องติดต่อกับฉีอ๋องเพื่อส่งยาให้แต่ละกองทัพ ถ้าเทียบกับจำนวนทหารและกองทัพแต่ละทิศแล้ว ยาเพียงเดือนละ 2,000 ตลับถือว่าน้อยมาก
เช้าของการเดินทางวันนี้มู่หลินมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น และนางมักจะเชื่อความรู้สึกของตนเองเสมอ จึงนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่ท่านตาและท่านลุงให้ระวังในการเดินทางไว้
แล้วก็เป็นอย่างที่มู่หลินกังวลจริง เมื่อเข้าเขตป่าทึบก็มีนักฆ่า40-50คน ล้อมรถม้ากลุ่มของนางไว้ ทุกคนที่ได้รับคำเตือนของมู่หลินก็ระวังตัวไว้อยู่แล้ว มู่หลินที่นั่งอยู่ในรถม้าเดียวกับท่านยาย ท่านแม่ ป้าสะใภ้ พี่สาวฟางซิน และแม่นมจ้าว
มู่หลินสั่งให้ เฉินฝูกับหลิวกุ้ย คุ้มครองรถม้าคันท่านแม่ ส่วนนางโดดลงจากรถม้าวิ่งไปคันพี่ชาย ก่อนจะหยิบมีดสั้นส่งให้บุรุษทั้งสามของบ้านหวัง แม้จะเคยได้รับการฝึกในช่วงสั้นๆแต่มู่หลินยังไม่วางใจ จึงสั่งให้อยู่แต่ภายในรถม้าห้ามลงเด็ดขาดเพราะจะทำให้นางเสียสมาธิ หลังสั่งทุกอย่างเสร็จก็หันมาเผชิญหน้ากับนักฆ่า
“ฮ่า ฮ่า แม่นางน้อย สตรีเช่นเจ้าไม่เหมาะกับมีดสั้นหรอกนะ เหมาะจะเป็นของเล่นของพวกข้ามากกว่า” จากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากพวกนักฆ่าทั้งหลาย
“หลินเออร์ หลานออกมาจากรถมาได้อย่างไร ขึ้นไปรอบนรถม้ากับยายของเจ้า ทางนี้พวกตาจะจัดการเอง” ผู้เฒ่าเซี่ยร้องเตือนอย่างร้อนใจ
“ท่านตา คอยดูหลินเออร์ให้ดีนะเจ้าค่ะ” พูดจบมู่หลินก็ยิ้มอย่างกระหายเลือด นางห่างการฆ่าคนไปนานจนคิดว่าชีวิตในโลกนี้ไม่มีอะไรสนุกเท่าไหร่ จนตอนนี้มีของเล่นมาให้เล่นถึงที่ ถ้าไม่เล่นด้วยคงจะเสียชื่อนักฆ่าระดับเพชร
สิ้นสุดเสียงพูดมู่หลินก็พุ่งตัวเข้าหานักฆ่าที่ใกล้นางที่สุด มีดสั้นทั้งสองด้ามในมือตัดเส้นเลือดใหญ่ที่คออย่างรวดเร็วและแม่นยำ กว่าจะรู้ตัวว่าเด็กน้อยที่มันยังหัวเราะอยู่เมื่อครู่จะประมาทไม่ได้ก็ตายเสียแล้ว จากนั้นคนที่สอง ที่สามก็ล้มลงตามมา รอยยิ้มของมู่หลินตอนนี้ทำให้ทั้งครอบครัวและนักฆ่าต่างขนลุก เพราะมันคือรอยยิ้มที่มองของเล่นชิ้นโปรด
เมื่อครอบครัวเซี่ยได้สติจึงเข้าช่วยหลานสาวสู้กับนักฆ่า การละเล่นนี้จบลงภายใน หนึ่งชั่วยาม มู่หลินนั้นไม่ได้ฆ่าให้ตายทั้งหมดนางยังเก็บไว้ถามถึงผู้จ้างวานด้วย หลิวกังก็รีบเข้าถอดกรามของพวกมันไม่ให้กัดยาพิษชิงตายไปเสียก่อน จากนั้นก็ถอนฟันที่ใส่ยาพิษไว้ออก
“ท่านตาข้าขอสอบสวนมันเองนะเจ้าค่ะ” มู่หลินเป็นหมอรักษาคนจึงรู้จุดอ่อนที่ทรมานคนแล้วไม่ตายอย่างดี
มู่หลินเดินเข้าไปนั่งตรงหน้านักฆ่าคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า นางแทงมีดสั้นลงไปอย่างไวที่ขาอ่อน ไม่ต้องมีคำถามใดๆ แต่ทั้งหมดทำเพื่อให้พวกนักฆ่าที่เหลือเห็นว่านางสามารถฆ่ามันได้ง่ายๆ ใครให้พวกมันกล้าแตะคนในครอบครัวของนางกัน เพราะชีวิตที่แล้วไม่มีครอบครัวพอชีวิตใหม่มีครอบครัวที่รักแล้วหวังดีกับนาง นางจึงไม่อยากเสียใครไป
"ข้าจะถามแค่คำถามเดียว ถ้าไม่ตอบพวกเจ้าก็แค่ตาย" น้ำเสียงเหยียบเย็นเหมือนเทพแห่งการทำลายล้างมารอเอาชีวิตพวกมัน
“…” หัวหน้านักฆ่าที่ยังหวาดกลัวกับจิตสังหารของมู่หลิน ยังไม่ได้พูดสักคำ ก็โดนมู่หลินปาดคอเรียบร้อย
“ข้าไม่ชอบรอ”
“ข้าบอก ขะ ข้า บอก” นักฆ่าอีกสามคนที่เห็นหัวหน้ามันยังไม่ทันอ้าบอกก็ตายทันที รีบแย่งกันพูดทันที พวกมันเป็นแค่นักฆ่าปลายแถวเพราะคนว่าจ้างบอกมีคนติดตามมาไม่กี่คนและคนที่เป็นวรยุทธ์มีเพียงหกคนเท่านั้น ถ้าพวกมันรู้ล่วงหน้าคงไม่รับงานนี้แน่นอน
“ปะ เป็น เสนาบดีเว่ย ให้ฆ่าผู้เฒ่าเซี่ย อ๊ากกก” มีดสั้นในมือของมู่หลินปักเข้าที่ไหล่ของมันทันที
“ดี ดี เตรียมรับโทสะของข้าหวังมู่หลินให้ดี”
"พวกเจ้ามาจากสำนักไหน" เป็นท่านลุงที่เอ่ยถาม ตอนนี้ท่านตาเดินเข้าไปกอดหลานสาวตัวน้อยไว้หวังว่าจะช่วยนางคลายโทสะลงบ้าง
"ขะ ข้า มาจากสำนักฟูฉวน" เมื่อไม่มีเรื่องใดอยากรู้แล้ว ท่านตาให้หลิวกังและเฉินหย่ง และลูกชายทั้งสอง เก็บกวาดที่เหลือให้เรียบร้อย
ท่านตากับท่านลุงเดินมาส่งมู่หลินที่รถม้า เพราะหลานสาวตอนนี้อารมณ์ไม่คงที่นัก พี่รองรีบเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดออกจากหน้าของมู่หลิน พี่ใหญ่จับมือน้องเล็กของเขาไว้แน่น ความอบอุ่นที่ทุกคนมอบให้ทำให้มู่หลินดึงสติกลับมาจากความแค้นได้ แม่นมจ้าวพามู่หลินไปเปลี่ยนชุดในรถม้าทันที จากนั้นจึงเดินทางต่อ
ท่านตาที่เห็นทุกคนเหนื่อยมากเลยบอกเฉินหย่งให้หาโรงเตี๊ยมพักก่อน เมื่อถึงโรงเตี๊ยมทุกคนต่างแยกย้ายเข้าห้องพัก เหมยฮวาที่เป็นห่วงลูกสาวจึงเข้ามาคอยดูแลมู่หลินนางรู้ว่าลูกสาวนั้นมีความกังวลใจ
"หลินเออร์ลูกรักของแม่ ไม่ว่าเรื่องอันใดแม่พ่อและพี่ชายทั้งสองของเจ้าพร้อมรับฟังและอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ" มู่หลินที่ได้ฟังคำของแม่ นางไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้ของตนจะอ่อนไหวกับคำพูดปลอบใจเพียงไม่กี่คำ ความกังวลใจ ที่กลัวว่าครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้จะหวาดกลัวนาง จะคิดว่านางเป็นปีศาจ
"ท่านแม่ อึก..." แม้นางจะแข็งแกร่งเพียงใจในส่วนลึกของชีวิตก่อนก็อยากมีครอบครัวเคียงข้างมาตลอด คอยห่วงหา คอยปลอบโยน พอชีวิตนี้ได้ครอบครัวที่ดีแบบนี้นางจึงมีความเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากเสียไป น้ำตาที่ชีวิตก่อนแม้จะฝึกหนักเจียนตายไม่เคยไหลแต่มาตอนนี้เพียงคำพูดและอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ทำให้มู่หลินกลายเป็นเด็กน้อยไปเลย
บิดาและพี่ชายทั้งสองที่ยืนรอหน้าห้องพักได้ยินเสียงบุตรสาว น้องเล็กของตนร้องก็รีบเข้ามากอดปลอบโยนทันที บ้านเซี่ยที่จะตามมาดูมู่หลินเห็นภาพนี้ได้แต่น้ำตาคลอไปด้วย
"หลินเออร์ยังมีตา ยายและครอบครัวของลุงเจ้าด้วย ไม่ว่าต่อไปจะเจอเรื่องใดหรือเจ้าเลือกตะทำสิ่งใดตาจะช่วยเจ้าเอง"
มู่หลินเดินไปกอดท่านตา ท่ายยาย และครอบครัวของท่านลุง นางสาบานเลยว่าคนที่คิดร้ายกับครอบครัวของนางจะต้องพบจุดจบที่ไม่ดี
หลังจากที่ปล่อยให้มู่หลินหลับไป หลิวกังแจ้งข่าวที่ได้เพิ่มจากนักฆ่ากับท่านผู้เฒ่าเซี่ย
“โรงเตี๊ยมที่นายท่านเข้าพักเมื่อคืนเป็นของตระกูลเว่ยขอรับ หลงจู๊จำนายท่านได้จึงแจ้งไปยังเสนาบดีเว่ยขอรับ”
“หึหึ ทำงานได้เร็วดี คงกลัวว่าข้าจะกลับไปแก้แค้นสินะ อีกไม่นานนักให้พวกมันใช้ชีวิตไปก่อน เห้ออ หลานสาวข้าคงรอไม่ไหวแล้ว เห็นทีข้าคงต้องรวบรวมหลักฐานที่มีส่งให้ฝ่าบาท” ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ลอบฆ่าขึ้น ผู้เฒ่าเซี่ยคงยังไม่ลงมือกับตระกูลเว่ยและพวกที่ทำผิดร่วมกัน
มู่หลินที่พักเต็มทีก็กลับมาเป็นหลานสาว ลูกสาว น้องเล็กที่น่ารักคนเดิม พี่สาวฟางซินที่นั่งรถม้าคันเดียวกันกลัวน้องจะคิดมากเรื่องแก้แค้นตระกูลเว่ยก็พยายามชวนน้องเล็กคุย ทั้งที่ตนเองพูดไม่เก่ง แล้วยังขี้อายอีกด้วย
พี่รองที่เป็นฝาแฝดก็ยังคงรู้ใจน้องเล็กเช่นเดิม หาขนม ผลไม้แห้งให้น้องเล็กมากมาย พี่ใหญ่นั้นพอแวะพักก็เดินไม่ห่างน้องเลย เดี๋ยวก็จับมือ เดี๋ยวก็กอดปลอบไม่สนว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิด เพราะน้องเล็กเคยบอกไว้ว่าครอบครัวเดียวกันควรแสดงความรักต่อกัน จนมู่หลินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ดีที่พี่ชายห่าวหรานไม่ได้เป็นไปด้วย แต่พี่ชายเซี่ยบอกนางตอนที่ไม่มีใครได้ยินว่าจะพามู่หลินไปแก้แค้นเอง เพราะคำพูดนี้ทำให้มู่หลินตาเป็นประกายอารมณ์ดีอย่างมาก นางรู้ว่าพี่ชายคนนี้มีหัวเรื่องวางแผนเจ้าเล่ห์มากเพียงใด