7 เก็บผลไม้ป่า
ตอนที่ 7 เก็บผลไม้ป่า
“ทางนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ ทั้งรก และทางลาดชันเช่นนี้จะไม่อันตรายแน่หรือ”
เฉินตงห่าวเดินนำหน้าน้องสาว เขาใช้มีดพร้าเปิดทางให้นางพร้อมกับบ่นไปด้วย
“เดี๋ยวไปถึงท่านก็รู้เองนั่นแหละเจ้าค่ะ”
อวี้ซินไม่ได้บอกอันใดพี่ชาย นางเพียงแค่บอกให้เขาเดินไปตามเส้นทางที่นางบอก จนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง) จึงได้ไปถึงจุดหมาย และพบว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยลูกพลับที่กำลังเริ่มสุกมากมาย บางต้นผลก็เริ่มเป็นสีส้มแซมกับสีเขียว
“นี่มันลูกพลับหนิ!”
ตงห่าวกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วยิ้มอย่างกับคนบ้า
สองปีก่อนไม่รู้ว่าเป็นเพราะอันใดต้นพลับที่ชาวบ้านพากันปลูกไว้ก็ได้ล้มตายไปจนหมด จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ได้กินลูกพลับอีกเลย
เขาไม่คาดคิดว่าท่านเทพจะทรงใจดีกับอวี้ซินมากขนาดนี้ หากเขากับน้องสาวเก็บลูกพลับเหล่านี้กลับไปตากแห้งคงขายได้ราคางาม
แถมลูกพลับพวกนี้ยังเก็บไว้กินได้เป็นปีๆ
ตงห่าวไม่รู้ว่าจะบรรยายกับสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าว่าอะไรดี โชคหล่นทับ? หรือปีนเขาเจอขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่?
ตงห่าวได้แตวิ่งฝ่าทุ่งหญ้าเข้าไปด้วยความตื้นตัน ทั้งยังหัวเราะลั่นอย่างกับคนบ้า
“พี่ชาย…”
อวี้ซินเดินตามหลังเฉินตงห่าวมาถึงต้นพลับจึงร้องทักพี่ชายที่เหมือนกับว่าจะสติหลุดไปแล้วชั่วขณะหนึ่ง
“อวี้ซิน ท่านเทพของเจ้าช่างมีเมฆตานัก ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี”
ตงห่าวทรุดตัวนั่งคุกเข่าต่อหน้าน้องสาวดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมาเพราะมีความสุขมากเกินไป
ท่านเทพมีจริงที่ไหนกัน! อวี้ซินได้แต่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“พี่ชายท่านลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ เพียงแค่ท่านช่วยสนับสนุนข้าเท่านั้นก็มากพอแล้ว”
เฉินอวี้ซินได้แต่คิดในใจว่า เทพอะไรกัน! นี่มันระบบโกงมากกว่า
แต่นางก็ไม่สามารถบอกผู้อื่นได้ว่านางมีระบบเพราะถูกสั่งห้ามเอาไว้
ดังนั้นสองพี่น้องจึงพากันรีบเก็บลูกพลับใส่ตะกร้าแล้วเดินทางกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า
“พี่ชายท่านรับปากข้าแล้วนะเจ้าคะว่าจะไม่เปิดเผยที่อยู่ของลูกพลับ ดังนั้นแล้วท่านต้องห้ามบอกคนอื่นนะเจ้าคะ”
อวี้ซินเน้นย้ำคำพูดของนางอีกครั้งในระหว่างทางกลับบ้าน
“พี่รับปากเจ้าแล้ว ดังนั้นเชื่อใจพี่ชายคนนี้ได้เลย”
ตงห่าวยิ้มอย่างอบอุ่นใจ
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ”
อวี้ซินยิ้มตอบ แล้วรีบเร่งเดินทางให้ถึงบ้านเพราะตะกร้าด้านหลังของนางหนักมากจนเจ็บไหล่ไปหมดแล้ว
“เดินช้าลงหน่อย เดี๋ยวเจ้าจะหกล้มเอาได้นะ”
ตงห่าวเห็นน้องสาวก้าวขาเร็วผิดปกติจึงกล่าวทัก
แต่เขาก็พอจะเข้าใจ ว่านางคงจะแบกรับน้ำหนักที่มากเกินไปไม่ไหวจึงอยากไปให้ถึงบ้านโดยไว
“ถึงเสียที!! ข้านึกว่าหัวไหล่ของข้าจะหลุดออกมาเสียแล้ว”
เฉินอวี้ซินรีบย่อตัวลงพร้อมกับวางตะกร้า
“ข้าก็หนักเช่นกันกับเจ้านั่นแหละ”
เฉินตงห่าวที่เดินเร็วๆ มาทีหลังรีบวางตะกร้าสานลงแล้วโยกหัวไหล่ไปมา
“ทำอย่างไรได้ล่ะเจ้าคะ จะเก็บมันทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้มหน่อย ไม่เช่นนั้นหากมีคนอื่นไปเจอเข้าเรานั่นแหละที่จะเสียดายภายหลัง แต่ดีที่ครั้งนี้ข้าไม่ได้ให้ท่านเปิดทางช่วงแรกๆ เอาไว้ ไม่เช่นนั้นต้องมีคนสงสัยแล้วเดินตามไปดูเป็นแน่”
“โถ่น้องพี่ เส้นทางยาวไกลขนาดนั้นใครกันมันจะกล้าเดินไปสุ่มสี่สุ่มห้าโดยที่ไม่รู้ทางเช่นเจ้าได้อีก”
ตงห่าวส่ายหัวให้กับความคิดของน้องสาว
แต่มันก็อาจจะมีคนที่เดินตามไปดูจริงๆ ก็เป็นได้ ยังดีที่อวี้ซินบอกข้าไว้ก่อนว่าอย่าพึ่งเปิดเส้นทาง
“นี่ก็บ่ายคล้อยแล้วกระมัง อีกประเดี๋ยวท่านแม่คงจะขึ้นจากนาแล้ว”
อวี้ซินยิ้มกริ่มออกมาก่อนจะเดินไปตักน้ำในถังไม้ที่วางไว้หน้าบ้านมาดื่มเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า
เฉินอวี้ซินอยากอาบน้ำเหลือเกิน ทว่าน้ำก็ต้องใช้สอยอย่างประหยัด
ตอนขึ้นเขานางได้ถามพี่ชายว่าหากจะไปที่ตัวเมืองต้องเดินทางไกลแค่ไหน พอนางรู้ว่าต้องเดินทางนานกว่าสามสิบนาทีนางก็เกือบจะถอดใจ
แต่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนางจึงต้องกัดฟันสู้สักตั้ง
“พอคนเยอะขึ้นการพลิกหน้าดินของเจ้าก็ง่ายดายขึ้นมากอีกไม่นานงานนี้คงจะเสร็จแล้วสินะ”
เฉินตงห่าวทอดสายตาไปที่ที่ดินแปลงข้างเรือนแล้วอมยิ้ม
“ถึงเราจะพลิกหน้าดินเสร็จแล้ว แต่ขั้นตอนการปลูกข้าวก็ไม่ได้มีเพียงเท่านนั้นเสียหน่อย”
อวี้ซินบ่นเหมือนคนเอาแต่ใจ
“นั่นสินะ… อย่างไรเสียก็ต้องหว่านข้าวก่อน ส่วนมูลสัตว์ก็คงจะหายากไม่น้อย เพราะคนไม่ได้เลี้ยงควายไว้ไถนามานานแล้ว หากไร้ซึ่งมูลสัตว์ก็ไม่รู้ว่าต้นข้าวของเจ้าจะงอกงามได้หรือไม่”
ตงห่าวเอียงข้างมาถามน้องสาว
“ท่านเทพบอกว่าได้ มันก็ต้องได้สิเจ้าคะ”
อวี้ซินเช็ดน้ำที่พึ่งดื่มตรงมุมปากแล้วบอกพี่ชายไป ทั้งที่ในใจก็ไม่ได้เชื่อมั่นนักหนา
ติ๊ง!
[อย่าได้กังวลไป ระบบจะมอบปุ๋ยคุณภาพดีให้กับโฮสต์หลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์เสร็จอย่างแน่นอน…]
“แบบนั้นข้าก็เบาใจ”
อวี้ซินขานรับอย่างดีใจ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าปุ๋ยคืออะไร แต่นางกลับรู้ว่าสิ่งนี้มันจำเป็นอย่างแน่นอน
ตงห่าวรู้ว่าน้องสาวไม่ได้คุยกับเขาจึงไม่ได้พูดต่อ
“นี่ระบบข้าอยากรู้ว่าความทรงจำของข้าจะกลับมาเมื่อไหร่”
อวี้ซินนึกได้ดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกท้อใจ เพราะดูเหมือนทุกอย่างมันเชื่องช้าลงไปเรื่อยๆ
ติ๊ง!
[จนกว่าท่านจะสำรวจภูเขาลูกนี้สำเร็จ โปรดอดทนรอ…]
“แล้วตอนนี้ข้าสำรวจได้เท่าไหร่แล้ว?”
อวี้ซินบ่นพึมพำกับตนเองเสียงเบา
ติ๊ง!
[ระบบจะคำนวณอีกครั้งช่วงเย็นและจะส่งรางวัลให้ตอนเช้ามืด…]
“เหมือนตอนเช้าที่ข้าได้รับข้าวสารนั่นน่ะหรือ”
อวี้ซินเม้มปาก แล้วคิดทบทวนเรื่องเมื่อช้าวที่มีข้าวสารปรากฏออกมา
ติ๊ง!
[แจ้งเตือน!! ทุกครั้งก่อนที่โฮสต์จะรับรางวัลโปรดอยู่ในที่มิดชิดเพื่อไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็น…]
“อะไรกันตอนให้รางวัลข้าก็ต้องปกปิดด้วยงั้นหรือ”
อวี้ซินขมวดหัวคิ้วผูกกันเป็นปม
ติ๊ง!
[ระบบอนุญาตให้เผยแพร่เฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น…]
“เอาเถอะ ไว้ครั้งต่อไปข้าจะมองซ้ายมองขวาให้ดีก็แล้วกัน”
อวี้ซินพ่นลมออกทางปากอย่างไม่เข้าใจ
ระบบนี่ต้องการให้ข้าสำรวจพืชผักบนป่า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บของมา
ข้าเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ อีกอย่างข้าชักจะรู้สึกว่าตนเองอาจไม่ใช่คนของโลกนี้ เพราะความรู้หลายสิ่งอย่างที่ระบบบอกมาข้าล้วนเข้าใจในทันที แต่กลับกันความทรงจำของข้ากลับไม่หลงเหลืออยู่เลย
เฉินอวี้ซินเบ้ปากมองบนเมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้
“ท่านแม่ท่านมาพอดีเลยขอรับ โม่เฟิง ฟงตี้ ขอบใจเจ้ามากนะที่อุตส่าห์มาช่วยงานข้า”
ตงห่าวทักทายมารดาที่เดินเข้ามาในบ้าน ก่อนจะตะโกนขอบคุณเพื่อนสนิททั้งสอง และหันไปก้มโค้งให้บ้านท่านลุงจาง
“ไม่เป็นไรหรอกตงห่าว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”
โม่เฟิงกล่าวขึ้นก่อนจะขอตัวลากลับบ้านไปพร้อมกับฟงตี้
“ท่านแม่ดูนี่สิขอรับ”
เมื่อเห็นว่าทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ตงห่าวอดไม่ได้ที่จะเชื้อเชิญให้ผู้เป็นแม่มาดูของที่อยู่ในตะกร้า แม้ว่าบ่ายนี้เขาจะไม่ได้ปลาสักตัวเลยก็ตาม
“นี่มัน… พวกเจ้าไปได้ลูกพลับมาจากที่ใดกัน”
หรูซีมือไม้สั่นอย่างดีอกดีใจ
แต่พอได้รู้ว่าบุตรสาวกับบุตรชายของนางต้องเดินไปทางหน้าผาที่สูงชัน หัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะอย่างหวาดกลัว
“ท่านแม่อย่าห่วงไปเลยนะเจ้าคะ ครั้งหน้าข้าจะพกเชือกติดขึ้นไปด้วย จะได้มัดเชือกติดกับต้นไม้ทำเป็นที่กั้นช่วงทางขึ้น เพียงเท่านี้ก็จะไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นอย่างที่อวี้ซินกล่าวเลยขอรับ ถึงทางขึ้นจะลาดชันไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แถมทางเดินก็ไม่ได้คับแคบอย่างที่ท่านกังวล เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พอเราหว่านข้าวให้น้องสาวเสร็จข้าจะพาท่านแม่ไปดูนะขอรับ”
ตงห่าวบอกมารดา
“หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้นแม่ก็จะลองไปดูสักครั้ง”
“ดีเลยเจ้าค่ะ หากเราไปกันสามคนต้องขนลูกพลับนี่ลงมาได้มากขึ้นเป็นแน่ แต่ข้าว่าเราต้องเก็บเรื่องลูกพลับเอาไว้ก่อนแล้วอย่าพึ่งนำไปขาย ให้เราเก็บมาตากแห้งเอาไว้มากๆ พอมันเริ่มสุกมากขึ้นจนเราเก็บไม่ทันก็ค่อยเผื่อแผ่ไปยังชุมชน ว่า ด้านบนนั้นมีต้นพลับอยู่ด้วย เท่านี้คนในหมู่บ้านก็จะได้เก็บกินกันอย่างสมใจ แต่ไม่ว่าอย่างไร บ้านของเราต้องเก็บตุนไว้ให้มากๆ ก่อนถึงจะดี”
อวี้ซินฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ทำดังเช่นน้องสาวว่าก็ดีนะขอรับ เราจะได้มีลูกพลับแห้งไว้กินนานๆ และยังแบ่งปันให้ชาวบ้านคนอื่นได้อีกด้วย”
“จะดีรึ? ที่เราจะเก็บเรื่องนี้ไว้อีก เรื่องหาปลาแม่ก็ว่ามันมากพอแล้วนะ หากยังปกปิดเรื่องลูกพลับอีก…”
“โถ่ท่านแม่ หากเราผลีผลามบอกทุกคนไปตอนนี้ แล้วพวกเขาขึ้นไปขนลูกพลับลงมาจนหมด ต่อไปเราจะกินอะไรล่ะเจ้าคะ ทุกวันนี้ข้าก็ทำเพื่อให้พวกเราอิ่มท้องไม่ใช่หรือ ถึงจะปกปิดในช่วงแรกเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปบ้าง แต่สุดท้ายข้าก็ยอมให้พวกชาวบ้านไปเก็บทีหลังอยู่ดีหนิเจ้าคะ อีกอย่างท่านเคยเห็นใครพบเจอผักแล้วมาบอกสถานที่กับเราบ้างหรือไม่ ก็ไม่เห็นมีนะเจ้าคะ นี่ข้าก็ว่าข้าใจดีมากแล้วนะเจ้าคะ นะ นะ ท่านแม่ เชื่อข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากเห็นท่านลำบากอีกแล้ว”
อวี้ซินอ้อนวอนมารดาเพราะกลัวว่านางจะเปิดเผยตำแหน่งของผลไม้ที่หายากนี่
“เฮ้อออ ก็ได้…แต่เราจะเก็บเป็นความลับอีกแค่สามวันเท่านั้นนะ มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
หรูซีบอกลูกๆ
“เย้! ท่านแม่ใจดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ พี่ชายเรารีบไปเอาเมล็ดข้าวไปพรมน้ำกันเถอะเจ้าค่ะ”
อวี้ซินดึงแขนพี่ชายไปข้างบ้าน ที่มีถุงข้าวเปลือกซ่อนไว้ แล้วพากันรีบจัดการเอาน้ำราดลงกระสอบป่านเพื่อให้ข้าวแตกหน่อ และคงความชื้นเอาไว้ด้วยการหาผ้าที่ไม่ได้ใช้มาคลุมทับ
เฉินหรูซีมองดูบุตรสาวกับบุตรชายที่รู้ความแล้วดื่มน้ำไปเล็กน้อยก่อนจะเช็ดเหงื่อออกจากเนื้อตัวที่เหนอะหนะ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะนำของไปขายในตัวเมือง
“ท่านพ่อ พี่สาวเฉินเหตุใดถึงไม่มอบปลาให้เราอีกตัวล่ะเจ้าคะ”
เมื่อกลับไปถึงบ้านจางชิงหมิงเอ่ยถามบิดา เพราะว่าบ้านเฉินติดค้างปลาของนางอีกหนึ่งตัว
“เจ้าจะเร่งรีบเอาอะไรกับนางที่ไร้สามีช่วยเหลือ อีกอย่างวันนี้เด็กๆ ก็มอบปลากับไข่มาให้เราแล้วด้วย ติดค้างนิดหน่อยจะเป็นไรไป”
เฒ่าจางตำหนิบุตรสาว
“ท่านพ่อจะไปรู้อะไร วันนี้ทั้งวัน นางเอาแต่หันมามองพี่เหวินเทียนของข้าอยู่ได้ หากนางคิดต่อพี่เหวินเทียนขึ้นมาข้าจะทำเช่นไร”
จางชิงหมิงทำท่าทางไม่สบอารมณ์
“นี่ชิงหมิง พี่สาวเฉินนางไม่ได้มองข้าหรอกนะ แต่ที่นางคอยหันไปดูคือนางต้องการดูว่าลูกๆ ของนางกลับบ้านมาแล้วหรือยัง เจ้าอย่าได้คิดเพ้อเจ้อไปไกลเชียว”
จงเหวินเทียนชายหนุ่มที่แต่งเข้าบ้านตาเฒ่าจางเอ่ยเสริมท่านพ่อตา
“นั่นสิ เจ้าหน่ะคิดมากเกินไปแล้ว แม่นางเฉินถึงแม้ว่านางจะไร้สามี แต่นางหาใช่คนเช่นนั้นไม่”
จางร่วนเฟยมารดาของจางชิงหมิงกล่าว
“หึ! ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าพี่สาวเฉินนางมองใครกันแน่ ส่วนท่าน แล้วก็ท่าน ท่านด้วย! เหตุใดถึงได้ไปเข้าข้างผู้อื่นกันเล่า”
ชิงหมิงทำเสียงฮึดฮัดแสดงออกว่าตนไม่พอใจสุดขีด แล้วหันไปมองค้อนสามีกับพ่อแม่ที่ไม่เข้าข้างตน แล้วเดินกระทืบเท้าเข้าบ้านไป
“ขอโทษนะเหวินเทียน เมื่อก่อนนางก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอันใด หลังๆ มานี่นางเปลี่ยนไปมาก”
เฒ่าจางหันไปทางลูกเขยที่ยืนนิ่งเพราะถูกภรรยาต่อว่าอย่างไร้เหตุผล
“ขอรับข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าไปล้างแขนขาก่อนนะขอรับ”
จงเหวินเทียนพูดจบก็ก้มหน้าก้มตาเดินไปล้างดินที่เกาะติดตามเนื้อตัวออก
ข้ามีนามว่าจงเหวินเทียน บ้านของข้ายากจนมากทว่าข้าก็เป็นบุรุษที่ถือว่าเก่งด้านการทำงานเป็นอย่างมาก จนวันหนึ่งถูกตาต้องใจท่านลุงจางเข้า เขาจึงมาทาบทามข้าให้กับบุตรสาวของเขา
ช่วงแรกๆ อะไรๆ ก็ดีไปหมดทุกสิ่งอย่าง จนกระทั่งเกิดความแห้งแล้งขึ้นมาท่าทีของภรรยาข้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นห่างเหิน
เพื่อน และคนสนิทรอบๆ ตัวข้า แอบมาบอกกล่าวกับข้าหลายครั้งว่าเห็นภรรยาของข้าทำตัวลับๆ ล่อๆ แต่ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จข้าก็ต้องไปหาของป่ามาจุนเจือทางบ้านภรรยา และแบ่งส่วนหนึ่งไปให้ท่านพ่อกับท่านแม่ที่อยู่อีกฟากฝั่งของถนน
แรกๆ ข้าก็ไม่ได้เอะใจอันใด แต่พักหลังๆ มานี้ข้าก็พึ่งมาสังเกตเห็นว่านางกับข้าไม่ได้มีเรื่องอย่างว่ากันมานานมากแล้วจริงๆ และเหตุผลที่นางใช้เป็นข้ออ้างมาโดยตลอดนั่นก็คือนางเหนื่อยมากเกินไป
ข้าก็พอจะเข้าใจว่าตั้งแต่ช่วงข้าวยากหมากแพง อาหารการกินก็น้อยลงตามไปด้วย ทำให้นางร่างกายอ่อนแอ และไม่มีความต้องการดังเดิม
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าก็ได้ข่าวจากเพื่อนสนิท ว่าภรรยาของข้าเทียวไปเทียวมากับบ้านเหยาซึ่งมีฐานะที่ร่ำรวยกว่า แต่ข้าก็ยังเชื่อมั่นว่านางหาใช่คนแบบนั้นไม่