ตอนที่ 2 นี่ฉันเหรอ
“อะไรนะคะ คุณหนูปวดหัวเหรอคะ”
“เปล่า ๆ แค่บ่นไปเรื่อยน่ะ แล้วว่าแต่คุณชายเฉินอะไรนี่เขาชอบฉันหรือเปล่า”
“อืม เรื่องนี้…”
แค่เห็นสีหน้าของอาหงเธอก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
“คือว่าทางคุณนายที่เป็นลูกสาวอดีตนายพล คุณตาของคุณหนูรู้จักกับนายพลเฉินคุณพ่อของคุณชายรองเฉิน...”
“สรุปก็คือเหมือนกับว่าบ้านฉันบังคับเขากลาย ๆ สินะ”
“ยังมีเงื่อนไขความช่วยเหลือที่จะส่งยาและเครื่องนุ่งห่มให้กองทัพ ตระกูลเฉินก็เลยรับเงื่อนไขนี้ค่ะ”
“หึหึ น่าดีใจยิ่งนัก ไม่มีฉันอยู่ในเหตุผลนั้นเลยเกิดมาสวยแบบไร้ค่าเสียแล้วสิ”
“คุณหนูบ่นอะไรนะคะ”
“เปล่า ๆ ไปเถอะขึ้นได้แล้วมั้งตัวจะเปื่อยอยู่แล้ว”
“ค่ะ ๆ”
อาหงใช้เวลาไม่นานก็แต่งตัวให้เธอออกมาสวยราวกับอยู่ในภาพฝันยุคเก่าที่เธอเคยมองจากนิตยสารและซีรีส์ในทีวี แต่ก็ต้องยอมรับว่าลู่เหม่ยหลินคนนี้สวยมากจนไร้ที่ติ การที่เธอหลงตัวเองได้นั่นไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสักนิด
“พระเจ้านี่ฉันเหรอ”
“อาหลินเสร็จหรือยังลูก ตายแล้วทำไมสวมแค่ไข่มุกเส้นเดียวล่ะไม่ได้สิ ติดเข็มกลัดนี้เพิ่มไปหน่อย ต่างหูล่ะเอามาเร็ว ๆ เข้า”
“มะ คุณแม่คะ มันมากไปหน่อยหนูหนักค่ะ”
“ฟางหยง” ถึงกับตกใจเมื่อมองมาที่ลูกสาวที่เรียกเธอว่า “คุณแม่” ซึ่งตามปกติลูกสาวของเธอพูดจาห้วนและชอบทำหน้ารำคาญทุกอย่างเหมือนโกรธคนทั้งโลกเพราะปมที่เธอไม่ใช่น้องคนสุดท้องทำให้เธอเอาแต่ใจจนอาละวาดและโทษว่าเป็นความผิดของพ่อและแม่ของตัวเอง
“เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นใส่แค่ต่างหูเพชรอันเล็ก ๆ ก็ได้ อันนี้นะจ๊ะแม่จะใส่ให้”
“ไม่ต้อง ๆ ค่ะหนูใส่เองก็ได้ค่ะแม่แค่นี้เองแต่พวกนั้นไม่เอานะคะมันหนักและก็ดูเยอะมากเกินไป ไปทานข้าวกับผู้ใหญ่สวมไปอย่างกับเครื่องเพชรเดินได้แบบนี้เป็นขี้ปากเขาเปล่า ๆเดี๋ยวจะหาว่าหนูไม่รู้จักกาลเทศะ”
ฟางหยงไม่เคยคิดว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากลูกสาวคนเล็กของเธอได้ ปกติเธอชอบประโคมแต่งตัวหรูหราและสวมเครื่องประดับราคาแพงเพื่อให้คนอื่นไม่ดูถูกเธอที่เธอโง่และไม่มีความรู้แต่วันนี้กลับสวมเพียงแต่น้อยและยังพูดคำว่ากาลเทศะออกมาด้วย
“คุณแม่คะ เป็นอะไรไปคะ”
“เอ้อ… เปล่า ๆ แม่กำลังคิดว่าต้องสวมเสื้อคลุมไปหน่อยนะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว”
“ค่ะ”
เธอไม่ได้เถียงอะไรแต่ยอมให้คุณนายลู่จับเธอสวมชุดที่ดูเหมาะสมซึ่งเธอคิดว่าไม่จำเป็นต้องสวมเครื่องประดับมากมายลู่เหม่ยหลินก็ดูสวยตามวัยอยู่แล้ว
“ไปกันเถอะคุณพ่อรออยู่ข้างล่างแล้ว”
“คุณพ่อเหรอคะ”
คำว่า “คุณพ่อ” ดูห่างไกลจากเธอมากในชาติก่อนเพราะแม้แต่หน้าพ่อกับแม่เธอก็ไม่เคยเห็น ในเมื่อชาตินี้มีโอกาสมีพ่อแม่กับเขาเธอก็จะทำให้ดีแต่ว่าต้องผ่านเรื่องยุ่ง ๆ ในวันนี้ไปให้ได้เสียก่อน
“คุณคะอาหลินมาแล้วค่ะ”
“ลู่ตานถง” ละจากหนังสือพิมพ์ในมือก่อนจะหันมามองเธอ ใบหน้าของผู้ชายสูงอายุข้างล่างดูดุกว่าที่เธอคิด เขาสวมชุดสูทที่ดูดีซึ่งในยุคนี้ถือว่าต้องเป็นคนที่มีฐานะถึงจะสั่งตัดชุดอย่างที่พวกเธอสวมกันได้
“คุณพ่อ”
ลู่ตานถงกะพริบตาเล็กน้อยเมื่อลูกของเขาเรียกว่า “คุณพ่อ” ซึ่งปกติเธอจะเรียกเพียงห้วน ๆ ว่าพ่อเฉย ๆ อีกทั้งท่าทางที่แปลกไป ดูเรียบร้อยและดูสวยตามวัยทำให้คนเป็นพ่อมายี่สิบกว่าปีนี้ของเธอไม่คุ้นเคย
“อาหลินนี่ลูกไม่สบายหรือเปล่า ตัวร้อนไหมหรือว่าลูกนอนนานเกินไปถึงได้ดูแปลก ๆ ลูกรู้สึกเวียนหัวหรือ หรือ…”
“คุณคะ ฉันถามแล้วลูกไม่ได้เป็นอะไรแค่นอนนานไปเท่านั้น”
“จริงเหรอ”
เสียงจริงจังที่ถามขึ้นทำให้ทั้งคู่ตกใจ “ลู่ตานถง” แม้จะสวมสูทที่ดูหรูหราแต่มาดความเป็นพ่อค้าและพูดจาโผงผางของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปและเขาก็เป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่ายอีกด้วย เหม่ยหลินรู้สึกโชคดีอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะมีครอบครัวที่ดีขนาดนี้ในชาตินี้และเริ่มไม่เข้าใจเจ้าของร่างว่าเธอยังไม่พอใจอะไรอีก และเกิดอะไรขึ้นทำไมเธอถึงเข้ามาอยู่ในร่างนี้
ร้านอาหาร
“คุณแม่คะหนูจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อยคุณแม่กับคุณพ่อเข้าไปก่อนนะคะ”
“ให้แม่รอไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูทราบห้องแล้วเดี๋ยวตามไปได้ค่ะ”
“อ้อ งั้นก็เร็ว ๆ หน่อยนะให้ผู้ใหญ่รอนานมันจะไม่เหมาะ”
“ค่ะ”
ลู่เหม่ยหลินแค่อยากจะมาพักหายใจสักหน่อย ตลอดทางที่นั่งในรถมาพ่อกับแม่ของเธอเอาแต่คุยเรื่องของคุณชายเฉินคนนั้นไม่หยุดซึ่งเธอไม่เคยพบหน้าและไม่รู้เลยว่าเคยชอบเขาแบบไหน
แต่หากฟังจากที่อาหงบอก เธอไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของเขาเท่าไหร่นัก เพราะเขาทำงานในโรงพยาบาล ส่วนเธอเป็นสาวสังคมที่เอาแต่หว่านเงินเพื่อซื้อเพื่อนและใช้เงินเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในวงสังคม
“หายใจแทบไม่ออก ขอพักหายใจหน่อยเถอะ”
ตั้งแต่เธอตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ที่ถูกพามาที่ร้านอาหารกลางเมืองเธอก็แทบจะไม่ได้ตั้งสติกับตัวเองให้ดี ๆ เลยว่าจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะดูไม่ตลกต่อหน้าคนอื่น จู่ ๆ ต้องมาเจอกับคนที่จะต้องหมั้นด้วย เดี๋ยวนะ “หมั้นเหรอ”
“อะไรนะ นี่ไม่ใช่ว่าจะเป็นการนัดกันเพื่อคุยเรื่องการหมั้นหรอกนะ”
ลู่เหม่ยหลินพยายามหายใจเข้าออกอยู่นานก่อนจะรีบตั้งสติให้ได้ เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำและจะเดินเข้าไปที่โซนห้องส่วนตัวซึ่งพ่อกับแม่ของเธอเดินเข้าไปก่อนแล้ว แต่เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็ชนเข้ากับคนที่กำลังจะเดินเข้าไปข้างในเช่นกัน เมื่อรู้ตัวจึงรีบเงยหน้าและโค้งคำนับขอโทษเขาด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษด้วยนะคะฉันไม่ทันได้มองคุณเป็นอะไรไหมคะ”
เมื่อเหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเขาเป็นผู้ชายในชุดสูทหรูและหล่อมากคนหนึ่ง ผิวขาวสูงสวมแว่นตาและสวมโค้ตพร้อมกับผ้าพันคอครบชุดก่อนที่เขาจะพูดอะไรเธอก็รีบดึงสติและก้มหัวขอโทษเขาอีกครั้ง
“ขอโทษอีกครั้งนะคะ ถ้าคุณไม่เป็นอะไรฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เธอก้มให้เขาทั้งหมดสามครั้งจนคนที่ถูกชนรู้สึกแปลกใจและหันมามองผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกัน ลู่เหม่ยหลินรีบเดินเข้าไปก่อนพวกเขา เมื่อเธอเดินเข้าห้องไปแล้วพวกเขาจึงหันมามองหน้ากัน
“นี่เธอจำฉันไม่ได้เหรอ”
“พี่รอง ถ้าผมเป็นเธอเห็นพี่ทำหน้าบึ้งแบบนั้นก็คงกลัวเหมือนกันแหละครับ”
“ฉันหน้าบึ้งเหรอ แต่ว่าเธอคือ…”
“ใช่แล้วเธอคือลู่เหม่ยหลินคนดังในหมู่สาว ๆ แต่ทำไมดูผิดจากที่ได้ยินมา นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอพี่สักหน่อย ปกติเธอคลั่งพี่จะตายใคร ๆ ก็รู้ดีแต่ท่าทางแบบนี้มันอะไรกัน เหมือนกับว่าเธอพึ่งจะเคยเห็นพี่อย่างนั้นแหละ”
“พูดมากน่า พ่อกับแม่มาหรือยัง”
“มานานแล้วรอแต่พี่นั่นแหละ นี่ถึงกับสั่งให้ผมออกเวรจากค่ายมารับพี่ที่โรงพยาบาลเลยนะเพราะกลัวว่าพี่จะไม่มาน่ะสิ”
“น่าเบื่อ ก็แค่อยากดองกับพวกพ่อค้าไม่ใช่หรือไง”
“หรือว่าพี่อยากจะเลือก “น้องหลิวซีอิ๋ง” ที่คุณย่าหามาให้แทนล่ะ ผมว่าเธอก็ดูน่ารักดีนะถ้าไม่พยายามดัดเสียงให้ดูน่ารักและร้องไห้บ่อยไปหน่อย”
“แต่ถ้าเทียบกับผู้หญิงอย่าง…”
“ลู่เหม่ยหลินเป็นคนหยิ่ง จองหองเอาแต่ใจตัวเองไม่ยอมคน ดื้อและอวดดี ซึ่งเทียบกับหลิวซีอิ๋งเด็กดีของคุณย่าที่ทั้งอ่อนหวานว่าง่ายเหมือนผ้าพับไว้ อืม เป็นพี่ก็เลือกยากจริง ๆ แต่เอาเถอะ เก็บเอาไว้ทั้งคู่ก็น่าสนุกดีนะครับ”
“พูดมากน่ะ ใครจะไปแต่งอะไรมากมายแค่คนเดียวก็วุ่นวายพอแล้ว”
“พี่จะยอมหมั้นกับลู่เหม่ยหลินจริงเหรอครับ”
“หึ ก็แค่หมั้นเพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือไม่ใช่เหรอ ถ้าจบแล้วไปกันไม่ได้....”
“พี่… อย่าบอกนะว่าพี่ไม่ได้คิดที่จะแต่งงานกับเธอจริง ๆ น่ะ”
“แต่งหรือไม่แต่งสำหรับฉันมันไม่ได้ต่างกันเลยยิ่งคนอย่างลู่เหม่ยหลินนั่น… ถ้าเป็นอย่างที่นายกับฉันเคยเห็นนายคิดว่าคนอย่างฉันจะรักเธอได้งั้นเหรอ”