ตอนที่ 1 ข้ามเวลา
“ลู่เหม่ยหลิน” กับชีวิตพยาบาลสาวที่แสนวุ่นวายในโรงพยาบาลใหญ่ ปีนี้เธออายุยี่สิบหกปีแล้ว สี่ปีกับอาชีพพยาบาลที่เธอพยายามร่ำเรียนจนสำเร็จ
จากเด็กกำพร้าพ่อแม่ที่เติบโตมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเล็ก ๆ ในกวางโจว มาตอนนี้เธอสามารถทำงานและมีรายได้เพื่อไปช่วยเหลือน้อง ๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอี้หม่าเถินได้แล้ว
“มาเด็ก ๆ มากินขนมเร็ว ๆ เข้าวันนี้พี่ได้ขนมมาเยอะแยะเลย ไม่ต้องแย่งกันได้ทุกคน”
“พี่ใหญ่วันนี้มีคัพเค้กด้วยเหรอ”
“ใช่แล้วเป็นของโรงแรมชื่อดังเลยนะ พี่แวะไปช่วยงานเพื่อเขาเลยให้มา กินเยอะ ๆนะ”
“ลู่เหม่ยหลิน” ทำงานทุกอย่างที่จะสร้างรายได้ให้กับเธอได้ อีกทั้งเธอยังช่วยครูพี่เลี้ยงดูแลเด็กและช่วยทำบัญชีให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งแต่จบมัธยมปลาย
หลังจากเห็นน้องที่พึ่งเข้ามาใหม่ตายเพราะความหนาวเธอก็ปฏิญาณตนว่าจะเรียนพยาบาลเพื่อจะได้ดูแลทุกคนในสถานรับเลี้ยงเด็กนี้ได้เพื่อจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลง
“อาหลินกลับมาแล้วเหรอ”
“ครูซ่ง กลับมาแล้วค่ะวันนี้แวะไปที่โรงแรมไปช่วยเชฟทำอาหารมาดูสิคะ เชฟให้ขนมเด็ก ๆ มาเพียบเลยค่ะ”
“ดีจริง ๆ เก็บเอาไว้บ้างนะเธอผอมเกินไปแล้ว งานที่โรงพยาบาลก็ยุ่งมากอยู่แล้ววันหยุดยังจะไปทำงานเพิ่มอีก”
“ซ่งอี้เจิน” ครูที่ดูแลเด็ก ๆ ในสถานรับเลี้ยงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงแม้ว่าตอนนี้เธอจะอายุย่างเข้าเลขหกแล้วก็ตาม แต่ภาระที่ยังต้องดูแลเด็ก ๆ ทำให้เธอยังแข็งแรงดี
อีกทั้งได้ยาสมุนไพรที่เหม่ยหลินคอยหามาให้ เธอเป็นพยาบาลและเคยทำงานที่ร้านขายยาจีนดังนั้นสูตรยาตำรับจีนโบราณเธอก็มักจะเรียนกับเถ้าแก่ที่ยินดีสอนเธออีกด้วย
“กลับเข้าไปกันก่อนเถอะค่ะ”
ช่วงนี้กวางโจว เป็นช่วงฤดูร้อน อากาศที่อบอ้าวทำให้ลู่เหม่ยหลินที่พักผ่อนน้อยอีกทั้งยังโหมงานหนักเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย ที่จริงเธอมีอาการแบบนี้มาสักพักแล้วแต่ครั้งนี้เธอกลับล้มทั้งยืน ภาพสุดท้ายที่เห็นคือสีหน้าตกใจของครูซ่งและเสียงของเด็ก ๆ ……
บ้านตระกูลลู่
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู”
ลู่เหม่ยหลินรู้สึกหนักไปทั้งตัวแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายเจ็บปวดแต่อย่างได้เมื่อค่อย ๆ กะพริบตาตื่นขึ้นพร้อมกับเพดานที่มีโคมไฟแชนเดอเรียคริสตัลเล็ก ๆ แขวนอยู่ เตียงที่นิ่ม กลิ่นหอม ๆ จากน้ำหอมซึ่งน่าจะมีราคาแพงและสาวน้อยอีกคนที่พยายามปลุกเธอ
“เฮือก!!”
“ว้าย! คุณหนูเป็นอะไรไปคะ”
เธอหันมามองหน้าสาวใช้ที่นั่งสั่นด้วยความกลัวเพราะคิดว่าเมื่อครู่นี้เธอคงเผลอทำเสียงดังคุณหนูจึงจะเอาเรื่อง
“เธอ…”
“คะ คุณหนูคุณนายให้ ให้ฉันมาปลุกคุณหนูค่ะ วะ วันนี้ต้องไปกินข้าวกับบ้านตระกูลฉินค่ะ”
“อะไรนะ คุณหนู คุณนายใหญ่ ใครกัน”
“คุณหนูคะ”
เมื่อเธอหันไปและมองหน้าสาวใช้ให้ชัด ๆ ก็พบว่าไม่คุ้นกับใบหน้านี้เลยสักนิดอีกทั้งชุดที่เธอสวมและห้องที่เธอนอนล้วนไม่ใช่ที่ที่คุ้นเคยก่อนที่จะแตะไปตามใบหน้าและหันไปมองรอบ ๆ
“ฉันเป็นอะไรไป”
“คือว่า คือ…”
เธอรู้สึกรำคาญเด็กสาวคนนี้เล็กน้อยที่เวลาเธอถามก็เอาแต่พูดติดอ่างจนฟังไม่รู้เรื่อง ลู่เหม่ยหลินรีบเดินไปที่หน้ากระจกและเมื่อส่องเข้าไปก็ถึงกับตกใจก่อนจะกรีดร้องออกมา
“กรี๊ด!!!!”
“คุณหนูคะ เป็นอะไรไป”
"ฉะ ฉะ ฉะ….ฉัน… นั่นฉันเหรอ…"
“ลู่เหม่ยหลินอายุยี่สิบสี่ปี วันนี้เป็นวันที่ฉันจะไปพบพี่เฉินหรือคุณชายรองเฉิน คุณหมอและว่าที่คู่หมั้นที่ฉันรักมากที่สุด....”
“อะไรน่ะ เสียงนั่น!!”
“คะ?”
สาวใช้แม้ว่าจะคุ้นเคยกับเสียงกรีดร้องของคุณหนูดีแต่ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะต้องโดนอะไรโยนใส่เธอจึงได้แต่นั่งนิ่ง ๆ และห่อตัว
“ลู่เหม่ยหลิน อายุเท่าไหร่นะ ยี่สิบสี่เองเหรอมิน่าล่ะ หรือว่านี่ฉัน… ตายแล้วเหรอ”
เหม่ยหลินนั่งโง่นิ่ง ๆ อยู่หน้ากระจกและทบทวนบางอย่างเงียบ ๆ ไม่นานประตูก็เปิดออกมา ผู้หญิงสูงวัยในชุดกี่เพ้าสีน้ำเงินและมีเสื้อคลุมขนสัตว์ที่หรูหราเดินเข้ามาหาเธอ กลิ่นน้ำหอมราคาแพงนี้ฉุนกว่าที่เธอได้กลิ่นในห้องนี้ อีกทั้งเครื่องประดับบนตัวของผู้หญิงคนนี้น่าจะมากกว่าเงินเดือนพยาบาลของเธอถึงสามเดือนรวมกันเสียอีก
“อาหลินเป็นอะไรไปลูกจวนจะได้เวลาไปกินข้าวกับที่บ้านตระกูลเฉินแล้วนะทำไมไม่รีบไปอาบน้ำแต่งตัวอีก ลูกนอนไปวันครึ่งเลยนะ แม่ตกใจหมดเลยคิดว่าเป็นอะไรไปเสียแล้ว”
“ลูก?… แม่?”
“อาหลิน แน่ใจนะว่าลูกไม่ได้ป่วย มาป่วยวันสำคัญแบบนี้ไม่ได้นะลูก”
“เอ่อ ค่ะ อาบค่ะ อาบน้ำ เธอน่ะช่วยพาไปทีสิ”
ลู่เหม่ยหลินอยากจะทบทวนอะไรอีกสักหน่อยจึงรีบปลีกตัวเข้าไปในห้องน้ำ สาวใช้คนเดิมนำเธอมาที่ห้องอาบน้ำและค่อย ๆ มาถอดชุดเธอจึงรีบถอยออกไปทันที
“จะทำอะไรน่ะ”
“คะ คุณหนู กะ ก็… ถอดเสื้อผ้าออก อาบน้ำไงละคะ”
“อาบน้ำ ในนี้เหรอ อ่างนี้”
“ค่ะ คุณหนูบอกว่าชอบแช่อ่างมากกว่านี่คะคุณนายก็เลย…”
“ได้ ๆ เธอ เอ่อ.. ชื่ออะไรนะ”
“คุณหนูจำอาหงไม่ได้เหรอคะ”
“อ้ออาหงสงสัยฉันจะนอนน้อยไปหน่อย เดี๋ยวฉันจัดการเองนะเธอ ออกไปก่อน”
“แต่ว่า… คุณนายบอกให้ฉันขัดตัวให้คุณหนูวันนี้เป็นวันสำคัญดังนั้น…”
“เฮ้อ ก็ได้ ๆ ผู้หญิงด้วยกันไม่เห็นต้องอายเลย”
ตอนนี้เหม่ยหลินต้องพยายามทำความเข้าใจกับโลกใหม่ที่จู่ ๆ เธอต้องมาอยู่นี้ให้ได้โดยที่คนที่นี่ไม่สงสัย ด้วยความที่ชาติก่อนเธอเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายและเข้าได้กับทุกคนจนทำให้เธอสามารถคุยกับคนอื่นอย่างเปิดใจได้ง่าย นี่เป็นข้อดีที่อยู่กับเด็ก ๆ เธอจึงถามเรื่องของเจ้าของร่างเดิมกับสาวใช้อย่างอาหงที่เริ่มกลัวเธอน้อยลง
“นี่อาหง ช่วยเล่าเรื่องของฉันให้ฟังหน่อยได้ไหม คือว่าฉันเหมือนจะหลับลึกจน…สมองค่อนข้างเบลอกลัวว่าจะขายหน้าตระกูล…เอ่อ ตระกูล...”
“ตระกูลเฉินค่ะ”
สาวใช้นั่งขัดตัวให้เธอพร้อมกับเล่าเรื่องของลู่เหม่ยหลินให้ฟังซึ่งเธอเป็นลูกคนที่สองของพ่อค้าที่ร่ำรวยในกวางโจว ส่วนคุณแม่ของเธอเป็นลูกสาวอดีตนายพล หากไม่นับว่าพ่อของเธอยังมีอนุอีกคนและมีลูกสาวที่อายุน้อยกว่าเธอสองปี เรื่องนี้ทำให้เหม่ยหลินเกลียดเพราะเธอกลายเป็นน้องคนที่สองซึ่งไม่ใช่น้องคนสุดท้อง ดังนั้นเธอจึงโกรธและเกลียดอนุของพ่อเธอมากและยังเอาแต่ใจตัวเองจนเคยตัว
(เฮ้อ เกิดมารวยทั้งทีทำไมทำนิสัยเธอถึงได้แย่แบบนี้นะ)
แต่ดูเหมือนว่าสาวใช้จะไม่ได้สงสัยกับพฤติกรรมนี้เหมือนกับว่าเดิมทีเหม่ยหลินก็ชอบถามเพื่อให้ทุกคนชมเธออยู่แล้ว เพราะเธอต้องการแต่งงานกับคุณหมอเฉินซึ่งเป็นคุณชายรองของนายพลเฉิน
เขาหล่อและดูดีที่สุดในบรรดาหนุ่ม ๆ ชนชั้นสังคมในยุคนี้ เธอย้อนมาอยู่ในยุคราว ๆ ปีหนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบซึ่งเป็นยุคที่สังคมจีนกำลังเปลี่ยนแปลงการปกครองและยังแบ่งชนชั้นอยู่ แต่ก็นับว่าไม่ได้ลำบากเหมือนยุคก่อน ๆ อีกทั้งที่นี่ก็มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้กันแล้ว
(นอกจากจะนิสัยเสียแล้วยังหลงตัวเองไปอีก มั่นหน้าขนาดนี้ ลำบากแล้วสิชีวิตนี้)
วีรกรรมที่สาวใช้เล่าให้เธอฟังแต่ละอย่างทำเอาลู่เหม่ยหลินไม่กล้าเดินออกไปข้างนอกเพราะความโอหังและอวดดีทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่มีความรู้ เรียนก็แค่ให้พอผ่านอีกทั้งยังใช้เส้นสายมากมายจาพ่อที่ร่ำรวยซื้อเอกสารจบการศึกษาให้ นั่นก็มากพอที่ตระกูลเฉินไม่อยากรับเธอเป็นสะใภ้ โดยเฉพาะคุณย่าของคุณชายรองเฉิน
“ลำบากแล้วสิ อุตส่าห์มาอย่างสวย ๆ พ่วงความรวยแต่ดันซวยเป็นทั้งคนโง่อวดฉลาดและยังหลงตัวเอง ฉันจะอยู่อย่างไรในสังคมแบบนี้ โอ๊ยย…แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว”