5-ไม่ได้บอกให้รู้ แต่บอกเพื่อให้จำ!
"วันนี้กินอะไรดี" ดิวเพื่อนสาวตัวเกือบกลมเอ่ยถามเมื่อทั้งสองคนเลิกเรียนและไม่มีเรียนต่อในช่วงบ่าย "ไปนั่งเล่นร้านนมหน้ามหาลัยดีไหม มีร้านเปิดใหม่บรรยากาศดี ไปนั่งชิลล์อ่านหนังสือกัน" ดิวเสนอเมื่อนึกขึ้นได้เปิดเจอร้านใหม่ที่โฆษณาเด้งมาหน้าฟีดข่าวเฟซบุ๊ก
"เป็นความคิดที่ดี...ไปกันเล้ย" หนูซีนเห็นตามที่ดิวเสนอ ผ่านมาหลายวันร่วมสัปดาห์ที่หนูซีนหลีกห่างการเข้าหาดรูฟ เพียงสายตามองเห็นเเม้เพียงชั่ววูบก็เบี่ยงเลี่ยงหนีให้ห่าง จากแรกๆ รู้สึกขัดกับสิ่งที่ตนนั้นเป็นแต่ตอนนี้เริ่มชินและเข้าที่
"ชวนไอ้แฝดนรกด้วยดีไหม" ดิวเอ่ยขึ้นอย่างถามความเห็น ในขณะที่สองสาวเดินมุ่งตรงไปยังรถที่จอดอยู่
"ดี ๆ หลายคนสนุกดี" หนูซีนกล่าวตอบ "งั้นเดี๋ยวเราโทรหาสองทีเอง" มือบางควานหาเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋า ขาเรียวก้าวเดินช้าลง เครื่องมือสื่อสารส่งสัญญาณในการติดต่อถึงปลายสาย หูแนบกับเครื่องมือสื่อสารอย่างตั้งใจ ขณะรอสายปลายทาง สายตามองเห็นคนที่พยายามหลีกห่าง กำลังเดินทางเข้ามาใกล้ หัวใจที่ซุกซ่อนไว้ภายใต้เสื้อนักศึกษาเริ่มเต้นแรงกว่าปกติ แต่เมื่อย้ำกับตัวเองแล้วว่าจะไม่สนใจเขาอีกจึงเลี่ยงละสายตาไม่มองแม้เขาจะเริ่มเข้ามาใกล้ทุกที
(ว่าไงซีน) เสียงของปลายสายตอบรับเมื่อกดรับสาย
"นั่นทีไหน" หนูซีนย้อนถามเมื่อเสียงของปลายสายพูดขึ้น เพราะสองแฝดผู้ไม่แน่นอนมักจะสลับโทรศัพท์กันประจำ
(ทายซิ) ปลายสายย้อนถาม
"ทีเล่น ?" หนูซีนทำตามที่ปลายสายบอก พร้อมร่างหนาเดินเข้ามาใกล้ หนูซีนเห็นได้เพียงใช้หางตามอง ปากก็พร่ำพูดกับปลายสาย ท่าทางที่ดูไม่สนใจคนที่เดินมาแต่ลึกแล้วจิตใจนั้นกระสับกระส่าย หัวใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ
(รักตายเลย) ปลายสายเฉลยคำตอบ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าหนูซีนนั้นทายถูก คำพูดที่ขี้เล่นมีเพียงทีเล่นเท่านั้นที่มักใช้ ทีจริงก็ย่อมมีพฤติกรรมสมกับชื่อ และน้อยนักจะมีวาจาขี้เล่นเช่นเดียวกับทีเล่น
"ซีนจะชวนสองทีไปนั่งเล่นที่ร้านนมเปิดใหม่ไปด้วยกันไหม" หนูซีนเดินคุยสายจนสวนกับคนที่ตนนั้นล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าหา แม้จะเห็นเพียงหางตาว่าเขานั้นมองมาที่เธอ แต่ก็แสร้งไม่สนใจเดินคุยโทรศัพท์ต่อไป พร้อมดิวที่เดินขนาบข้างมา
(ไม่มีปัญหา เดี๋ยวจะตามไป) ปลายสายตอบรับด้วยความดีใจ
"ซีนจะรอนะ" ประโยคบอกกล่าวสุดท้ายก่อนวางสายพร้อมกับมือที่กดปลดล็อกประตูรถยนต์ และก้าวขาขึ้นรถพร้อม ๆ กับดิว สายตาก็ยังไม่วายเหลือบมองคนที่เดินสวนทางที่ตอนนี้เห็นเพียงแผ่นหลังหนาที่เริ่มเดินออกห่างไป
(โอเค)
"อึดอัดไหมซีน" ดิวถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสายตาที่หนูซีนนั้นมองตามคนที่ให้ความสนใจ
"อะไรเหรอ" หนูซีนย้อนถาม
"ก็นายคนนั้นอ่ะ เราเห็นนะว่าซีนก็แอบมองนายนั่น" ดิวบอกตามที่ตนนั้นเห็น ท่าทางที่เย็นชาที่แสดงออกมาแต่แววตาที่ใช้มองแค่เพียงเสี้ยววินาที แต่กลับมีพิรุธให้จับจุดได้
"ไม่อึดอัดหรอกดิว เราโอเค..."
"อย่าสนใจเลยซีน เขาไม่เห็นจะสนใจซีนสักนิดเราก็ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก..." ดิวบอกอย่างให้กำลังใจ
"จ้ะ...เราไปกันดีกว่าเนอะ" หนูซีนตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับสตาร์ทเครื่องยนต์ และขับออกไปทันทียังที่หมายที่นัดกับเพื่อน กระจกมองหลังที่เผยให้เห็นคนตัวสูงยืนนิ่งและเหมือนมองตามรถของเธอ ในใจก็พร่ำเพ้อเหมือนเข้าข้างตัวเอง แต่เมื่อนึกถึงคำไล่ที่เขาสาดทอใส่ จึงสลัดความคิดเข้าข้างตัวเองให้หลุดหายไป...
เสียงรถยนต์ของคนที่เดินสวนทางขับออกไป ร่างสูงใหญ่หันมามองตามรถยนต์ จากที่พร่ำบอกว่าต้องการความสงบ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วตามที่ต้องการกลับไม่ได้ทำให้จิตใจสงบด้วยเลย ตลอดเวลาร่วมสัปดาห์ที่ไร้เสียงแหลมสดใสคอยตามหลอกหลอนทุกครั้งที่เจอ แม้จะผ่านเธอไปเมื่อที่ผ่านมา ท่าทางที่แสดงออกว่าเธอนั้นตีตัวให้ห่าง ไม่วุ่นวายกับตนตามที่เธอบอกกล่าว เธอทำมันจริง แต่ทำไมภายในหัวใจกลับไม่นิ่งตามที่ปากต้องการ มันวูบไหวสั่นคลอนเมื่อเห็นตอนเธอนั้นเฉยชา
ไม่รู้ว่าเลยว่าสมองหรือหัวใจทำให้ดรูฟนั้นต้องตามไป สั่งการคนขับรถให้เร่งฝีเท้าไปยังที่หมาย ที่หูนั้นได้ยินว่าเป็นร้านนมเปิดใหม่
((ร้านนมโตยินดีต้อนรับค่ะ)) เสียงของพนักงานต้อนรับกล่าวขึ้น เมื่อกระดิ่งตรงประตูนั้นเสียงดัง
เป็นตามที่คาดการณ์เมื่อดรูฟนั้น มาถึงก่อนที่หญิงสาวเสียงนกแก้วจะมาถึง สายตากวาดมองด้วยแววตานิ่ง ใบหน้าไร้รอยยิ้มแต่กลับสะดุดสายตาของคนในร้าน โดยเฉพาะหญิงสาว ที่นั่งหลบมุมที่ใครที่มาใหม่นั้นมองเห็นได้ยากดรูฟเดินตรงไป โดยไม่สนใจสายตาของใครต่อใครที่มองตามหลัง
"ขอนมสดปั่น" เสียงเข้มสั่งเมนูที่ต้องการ นมสดปั่น! ท่านดรูฟกินนมสดปั่น เมนูที่สั่งช่างขัดกับใบหน้านิ่ง ๆ ของท่านดรูฟเหลือเกิน พนักงานที่รอรับออเดอร์ยืนนิ่งตาค้าง เมื่อชายตรงหน้านั้นความหล่อที่มีเหมือนสะกดให้ใครต้องหยุดนิ่ง "ไม่ขายเหรอ?" เสียงพูดภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัดเจนแต่ฟังรู้เรื่องย้ำถามพนักงานอีกครั้ง
"หล่อจัง...ขะ ขอโทษค่ะ...นั่งรอสักครู่นะคะ" พนักงานหลุดจากภวังค์และกล่าวออกไปอย่างนอบน้อม
ชื่อร้านที่เหมือนจะล่อแหลม แต่เปล่าเลยเมื่อที่มาของชื่อนั้นไม่ได้ยากมากมาย แค่เจ้าของร้านชื่อโตจุดประสงค์คือขายนมสดและเครื่องดื่มต่าง ๆ จึงจับคำมารวมกันอย่างกิ๊บเก๋
แปลกๆ โลกมักจำ!
((ร้านนมโตยินดีต้อนรับค่ะ)) เสียงพนักงานต้อนรับดังอีกครั้ง เมื่อมีลูกค้าเปิดประตูเข้ามา
"ดูชื่อร้านสิดิวเก๋ดีจัง คิกคิก" หนูซีนพูดขึ้นอย่างขบขันเมื่อชื่อร้านนมโตนั้นสะดุดหู ขาคู่เรียวเดินไปหยุดตรงเคาน์เตอร์ สายตามองหาเมนูที่ต้องการ
น้ำเสียงที่คุ้นชินจนดรูฟที่นั่งหันหลังนั้นรับรู้ว่าเป็นใคร การที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ผิดจากวิสัยที่เขานั้นเคยเป็น แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงทำ
((รับอะไรดีครับ)) เสียงของพนักงานชายเอ่ยถามเมื่อหนูซีนนั้นกำลังยืนอ่านเมนู
"ดิวกินอะไรดี" หนูซีนเอ่ยถาม
"เราเอาสตอว์เบอร์รี่นมสดแล้วกัน" ดิวตอบกลับทันทีอย่างไม่รีรอให้มากความ
"เอาโกโก้ปั่นและสตอว์เบอร์รี่นมสดอย่างละหนึ่งแก้วค่ะ" หนูซีนสั่งเครื่องดื่มด้วยความสดใสตามแบบฉบับของเธอ ดวงตากลมแทบปิดเมื่อเธอนั้นส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรขณะบอกเมนูแกพนักงาน "ขอถามหน่อยได้ไหมคะ?"
((ได้ครับ))
"ทำไมถึงชื่อร้านนมโตอ่ะ แฟนเจ้าของร้านนมใหญ่หรือเปล่าคะ? คิกคิก" หนูซีนถามและหัวเราะขบขันเบา ๆ
"ซีนเอ้ย!! ไปๆ หาที่นั่งกันดีกว่า" ดิวบอกกล่าวเมื่อเพื่อนนั้นถามโคตรจะตรงไม่มีอ้อมค้อมสักนิด แม้จะพูดเล่นๆ แต่ก็เบนสายตาให้คนมองมาที่เธอได้เป็นสายตาเดียว
((ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่แบบนั้นครับ เจ้าของร้านชื่อโตต่างหากล่ะ แล้วร้านก็เป็นร้านนม...อยากให้ชื่อร้านคนจำเลยใช้ชื่อนี้ครับ))
"อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง" หนูซีนเริ่มคุยอย่างออกรส ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาดุมองมาที่เธออย่างไม่พอใจ
((น้องนี่น่ารักจังเลยนะครับ อัธยาศัยก็ดี...เพิ่งมาครั้งแรกเหรอ พี่ไม่เคยเห็น)) ชายหนุ่มย้อนถามเมื่อไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาหนูซีนมาก่อน
"ใช่ค่ะเพิ่งมาครั้งแรก" หนูซีนบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ทำเอาคนที่เจรจาด้วยถึงกลับยิ้มในความน่ารักสดใสของเธอ
((ถ้าว่างก็มาบ่อย ๆ สิ เดี๋ยวพี่ลดพิเศษให้ทั้งสองคนเลย))
จริงเหรอคะ! หนูซีนกับดิวพูดขึ้นพร้อมกับอย่างดีใจ ของฟรีและส่วนลดใคร ๆ ก็ชอบโดยเฉพาะสองสาวที่ชอบกิน
((ไปนั่งรอก็ได้นะ เดี๋ยวพี่เอาไปเสิร์ฟให้ถึงที่เลย)) ชายหนุ่มบอกกล่าวอย่างสุขุมนุ่มนวล
"หล่อแล้วยังใจดีอีก" หนูซีนพูดแซว จนคนที่กำลังยืนทำเมนูนั้นยิ้มกริ่ม ชายผู้รับออเดอร์ของเธอนั้นก็คือเจ้าของร้านนี่แหละ
ปึก! เสียงบางอย่างกระแทกกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง คนที่อยู่รอบด้านสะดุ้งตัวโหยงอย่างตกใจ จากที่คุยกันอย่างออกรสต้องมาสะดุดเพราะเสียงนี้ ที่ดังมาจากมุมอับที่ลับตาคน ดรูฟผู้ที่แอบส่องมองลอดหนังสือที่อ่านเห็นทุกกัปกิริยาที่หญิงสาวปากนกแก้วนั้นทำ
(*มนุษยสัมพันธ์ดีอะไรหนักหนา*) วาจาที่พร่ำพูดคนเดียวเมื่อเห็นท่าทางที่หนูซีนนั้นแสดงกับคนที่เพิ่งรู้จักกันมันทำให้ดรูฟนั้นรู้สึกเคืองในสายตา
"นั่งตรงนั้นกันดีกว่าซีน" เมื่อจัดการสั่งเครื่องดื่มเสร็จสรรพ สองสาวที่มาถึงก่อนมองหาที่นั่ง มุมที่เงียบและมีต้นไม้ตกแต่งเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หอบหนังสือที่เตรียมมาจัดการเปิดอ่านทันทีอย่างไม่รีรอเมื่อได้ที่นั่งอันชอบใจ
อีกคนก็แอบมองอยากฝักใฝ่ แผ่นหลังบางที่นั่งหันหลังให้ดรูฟทำได้เพียงแค่มองเป็นระยะ ๆ เท่านั้น
(*แล้วทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ*) ดรูฟพึมพำกับตัวเองอย่างฉงนใจ เมื่อไม่ว่าเวลาไหนตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นไม่เคยต้องได้มาตามแอบมองใครแบบนี้ (*นี่บ้าไปแล้วหรือ*)
"เครื่องดื่มที่สั่งได้แล้วครับสาว ๆ" เสียงของเจ้าของร้านนมโตเอ่ยขึ้น พร้อมกับวางแก้วน้ำลงเสิร์ฟตรงหน้า พร้อมกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์จนน่ามองของเจ้าของร้านนั้น
"ขอบคุณค่ะ" หนูซีนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่แสนน่ารัก
"ขยันกันจังเลยนะครับ" ชายเจ้าของร้านเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นหนังสือวิชาการที่วางอยู่บนโต๊ะหลายเล่ม
"อ่านไปงั้น ๆ แหละค่ะพี่" ดิวเอ่ยสวนขึ้นทันทีอย่างติดตลก ทั้งที่จริงพวกเธอนั้นขยันอ่านหนังสือจริง ๆ ยิ่งกว่าหนอนหนังสือเสียอีก
"ฮ่าฮ่า...ดิวก็" หนูซีนขบขันเมื่อเพื่อนนั้นพูดออกไปจนนึกขำในท่าที
"น่ารัก แถมยังตลกอีกนะเนี่ย" ชายหนุ่มเจ้าของร้านแซว พร้อมกับหย่อนก้นนั่งลงเก้าอี้ข้างหนูซีน "แล้วน้องชื่ออะไรนะครับ" ชายหนุ่มหันหน้าไปถามพร้อมด้วยรอยยิ้มหวาน ๆ
"ซีนค่ะ" หญิงสาวบอกให้รับรู้ด้วยกิริยาที่สดใส และดูไร้เดียงสาน่ารัก
"ชื่อก็น่ารัก หน้าตาก็น่ารัก" ชายหนุ่มเอ่ยชม จนหนูซีนนั้นแก้มแดงเขินอาย มองหน้าชายที่นั่งเคียงข้างอย่างเคอะเขิน
ปึก! เสียงแก้ววางกระแทกกับโต๊ะเสียงดังลั่น คนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรสถึงกับสะดุ้งตกใจ ร่างกายสูงใหญ่ลุกยืนพร้อมกับสายตาที่มองไปยังหนูซีน ที่กำลังมองหน้าเขาเช่นกัน
"นายอาหรับ" สองสายตาประสานมองกัน หนูซีนที่มองเห็นเอ่ยเรียกขานแผ่วเบา ไม่รู้ว่าเขานั้นมองมาที่เธอทำไม สายตานั้นที่ดูเหมือนมีอะไรแอบซ่อนอยู่ แต่ดูเผิน ๆ กลับเหมือนว่างเปล่าไร้ความรู้สึก
"ฉันไม่ได้ชื่อนายอาหรับ" ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดยืนข้างโต๊ะหนูซีน สองมือยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างวางมาด ก้มมองหน้าหน้าหนูซีนที่ตอนนี้กำลังมองหน้าเขาอย่างอึ้งๆ ตกใจและคิดไม่ถึงว่าเขาจะเดินเขามาคุยกับเธอก่อน ทั้งที่ก่อนหน้าไม่เคยจะมี มีแต่หนูซีนที่เป็นคนวิ่งตาม
".........." สายตากลมโตมองหน้าดรูฟที่ยืนสูงท่วมหัวไม่วางตา กำลังพินิจว่าเขานั้นจะพูดอะไรต่อ
"ดรูฟ ชื่อของฉัน" ดรูฟจ้องมองสบตาหนูซีนพร้อมแนะนำชื่อให้เธอรับรู้ โดยที่ตอนนี้เธอนั้นไม่ได้เรียกร้องเหมือนแต่แรก
".... บอกทำไม ไม่อยากรู้แล้ว" หนูซีนเงียบชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เงยหน้ามองไม่ละสายตา เมื่อคนตรงหน้านั้นจ้องมองเธออย่างเอาเรื่อง แม้แววตาจะดูนิ่ง ๆ แต่กับหนูซีนเธอนั้นสัมผัสได้มันมีเลศนัยบางอย่าง
"ไม่ได้บอกให้รู้ แต่บอกเพื่อให้จำ!" ดรูฟพูดแค่นั้นก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความงวยงงของคนทั้งสามที่นั่งอ้าปากเหลอหลางงกันไป แล้วแต่ใครจะงงแบบไหนก็ตามแต่ หนูซีนงงแค่เขาจะบอกทำไม ทั้งที่ก่อนหน้าเธอพยายามเข้าหาเพื่อความเป็นมิตร แต่เขานั้นกลับเฉยชาไม่อยากสนิท ทั้งยังต่อว่าน่ารำคาญ จนเธอต้องยอมถอยห่างออกมาเอง
"เขาเป็นใครครับน้องซีน" โตที่นั่งเงียบมองเหตุการณ์อยู่นาน จึงเอ่ยถามขึ้นเมื่อดรูฟนั้นเดินออกห่างไป
"............" หนูซีนไม่ตอบกลับ แค่ส่งยิ้มอ่อนให้เขาเท่านั้น สับสนภายในใจกับการกระทำเมื่อสักครู่ ในสมองกำลังประมวลการว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจากการบอกชื่อของเขานั้นเพื่ออะไร ? "เขาเป็นเด็กใหม่ค่ะ"
"เหรอครับ"
"ค่ะ"
"ซีน อ่านหนังสือกันดีกว่า" ดิวพูดแทรกขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนนั้นเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ท่าทางที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตา ดิวก็พอเดาได้ว่าเพื่อนนั้นสับสนและกำลังประมวลผลย้อนเหตุการณ์
"งั้นพี่ไม่กวนแล้ว ตามสบายนะ ต้องการอะไรเพิ่มบอกพี่ได้นะครับ"
"ขอบคุณค่ะ" หนูซีนยกมือไหว้พร้อมเอ่ยขอบคุณ จนโตนั้นเดินห่างจากไป
"เขาต้องการอะไรจากซีนเหรอ" ดิวที่สงสัยเอ่ยถามขึ้นเมื่อในโต๊ะนั้นไม่มีใครนอกจากเธอและหนูซีน
"เราก็ไม่รู้" หนูซีนละสายตาจากหนังสือที่กำลังเปิดอ่านมองหน้าดิวและตอบกลับ
"คำพูดทิ้งท้ายของเขา เราได้ยินแล้วขนลุกยังไงก็ไม่รู้"
"ไม่มีอะไรหรอกมั้ง อ่านหนังสือกันดีกว่า" หนูซีนที่บอกเพื่อนเพื่อไม่ให้รู้สึกกังวล แต่ตนนั้นก็กลับคิดไม่ต่างกัน
เขาพูดแบบนั้นเพื่ออะไร ? 'ไม่ได้บอกให้รู้ แต่บอกเพื่อให้จำ' ประโยคทิ้งท้ายที่ฟังดูหนักแน่นนี้สื่อถึงอะไรกันแน่?
"น้องซีน พักนี้พ่อไม่ค่อยเห็นทีเล่นกับทีจริงมาหาเลย เรียนหนักกันหรอลูก" คุณพ่อแซมที่สงสัยเอ่ยถามขึ้น เมื่อทุกคนในบ้านนั้นนั่งทานอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตายกเว้นแต่แซมลูกชายคนเล็ก
"นิดหน่อยค่ะคุณพ่อ...อยากเจอทั้งสองทีหรอคะ?" หนูซีนตอบกลับและย้อนถามผู้เป็นพ่อ
"ชวนมาทานข้าวที่บ้านสิพรุ่งนี้" คุณพ่อแซมบอกกล่าวพร้อมกับมือหนาจับหัวลูกสาวที่แสนจะรัก
"ได้ค่ะ เดี๋ยวน้องซีนชวนให้ค่ะ" หนูซีนฉีกยิ้มกว้าง ปากที่ไม่ว่างเพราะข้าวที่เพิ่งยัดใส่ แต่ก็อยากพูดบอกให้คุณพ่อแซมรับรู้
"น้องซีน เคี้ยวข้าวก่อนค่อยพูดก็ได้มั้งลูก เดี๋ยวก็กระเด็นใส่คนอื่นหรอก" คุณแม่หนูดาที่เห็นการกระทำของลูกสาวรีบพูดเตือนขึ้นทันที
"ต้องรีบพูดค่ะคุณแม่ เดี๋ยวน้องซีนจะลืม" หนูซีนแย้งขึ้นในเหตุผลของเธอที่เป็น
"หนูนี่นะน้องซีน" คุณแม่หนูดาพูดพร้อมจ้องหน้าลูกสาวตาเขม็ง
"เอาน๊าหนูดาก็เล็ก ๆ น้อย ๆ เอง" คุณพ่อแซมแย้งขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของภรรยาที่เมื่อตักเตือนลูกสาวที่แสนจะซนแล้วไม่ได้ดั่งใจ
"พี่แซมก็เป็นแบบนี้ทุกที" คุณแม่หนูดาหันมองหน้าสามีอย่างแง่งอน ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนเมื่อการบอกเตือนลูกสาวสุดที่รักนั้นต้องมีคุณพ่อขัดขาตลอด
"คุณแม่ขา" หนูซีนผู้แสนออดอ้อนเอ่ยขึ้นอย่างออเซาะเมื่อเห็นสีหน้าของคนเป็นแม่นั้นแสดงอาการไม่พอใจเมื่อเธอนั้นแย้งด้วยเหตุผลของเธอที่มี เหตุผลที่แสนจะขัดใจคุณแม่
"ไม่ต้องมาคุณแม่ขาเลย" คุณแม่หนูดามองหน้าลูกสาวอย่างคาดโทษ
"อ้าว"
"รีบทานข้าวลูกเดี๋ยวไปเรียนสายนะ" คุณพ่อรีบพูดแทรกขึ้นทันทีเมื่อตอนนี้คุณแม่หนูดานั้นเริ่มจะหน้างอแล้ว "หนูดาก็ทานเยอะ ๆ นะ อ่ะนี่ของโปรดหนูดาเลย พี่ตักให้นะครับ" คุณพ่อแซมหันไปเอาใจด้วยการตักของโปรดให้กับภรรยาที่รัก เมื่อหน้าของภรรยาเริ่มหักงออย่างไม่พอใจแต่ก็แค่การกระทำเชิงหยอกล้อเท่านั้น
"รีบทานลูกเดี๋ยวสาย แล้วนี่แซนยังไม่มาอีกเหรอ" คุณแม่หนูดาแย้งขึ้นเมื่อยังไม่เห็นหน้าลูกชายคนเล็กนั่งอยู่ร่วมโต๊ะอาหาร
"วันนี้แซนหยุดค่ะคุณแม่" หนูซีนบอกให้รับรู้ เมื่อผู้เป็นน้องชายนั้นบอกเธอไว้ล่วงหน้า ว่าวันนี้คือวันหยุดพิเศษของเขา ที่ทางโรงเรียนประกาศแจ้งไว้
"ทำไมแม่ไม่เห็นรู้เลยล่ะ" คุณแม่หนูดาย้อนถามกลับ
"แซนบอกน้องซีนเมื่อวานค่ะ สงสัยจะลืมบอกคุณแม่กับคุณพ่อ ตอนนี้คงยังนอนไม่ตื่น" หนูซีนรีบอธิบาย
"อย่างนั้นเหรอ...ไม่เป็นไรให้น้องนอนไป น้องซีนรีบทานข้าวลูก เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน" คุณแม่หนูดาพูดกับลูกสาวที่นั่งเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
"ค่ะคุณแม่"
เวลาพักเที่ยงที่ใครหลายคนนั้นรอคอย การเรียนหนังสือที่ค่อนข้างจะปวดหัว เมื่อหมดเวลาเรียนจึงเหมือนกับการได้ถูกปลดปล่อย
"เฮ้อ หมดเวลาสักที ปวดหัวจะเเย่" ดิวเพื่อนสนิทเอ่ยขึ้น พร้อมกับบิดขี้เกียจ
"เอาน๊าดิว เราหิวข้าวแล้วอ่ะ ไปโรงอาหารกัน" หนูซีนที่กำลังเก็บอุปกรณ์การเรียน ปากก็พร่ำพูดกับเพื่อนที่แสนจะขี้บ่น
"เราก็หิว ปะๆ รีบไปกัน" ดิวลุกลี้ลุกลนเก็บสัมภาระ เมื่อหนูซีนนั้นเอ่ยชวน นึกถึงอาหารหลากหลายแล้วจึงลากแขนหนูซีนออกจากห้องเรียนอย่างไม่รีรอ