บทที่ 3 เริ่มต้นใช้ชีวิตในโลกใหม่
ลี่อินตื่นขึ้นมาในยามเหม่า(05.00-06.59 น.) เสียงอ้อแอ้ของเจ้าตัวเล็กที่นอนตาแป๋วอยู่ข้างกาย มือไม้โบกพัดไปมาราวกับจะบอกว่าท่านแม่ตื่นได้แล้ว
“แอ้ แอ้”
“ว่าอย่างไร เสี่ยวเหลียนของแม่” หญิงสาวหยอกเย้าบุตรสาว ก้มลงหอมฟัดแก้มนุ่มนั้นอย่างมันเขี้ยวส่วนเจ้ามนุษย์เหงือกน้อยหัวเราะชอบใจใหญ่ เพราะมีคนตื่นมาเล่นกับตนเสียที
“แอ้” ใบหน้าน้อยๆ เริ่มเบะปากจนกลายเป็นร้องจ้า ลี่อินจึงได้เปิดผ้าอ้อมออกดูปรากฏว่านางได้ฉี่จนเปียกไปทั้งช่วงล่าง
“หืม ไม่สบายตัวล่ะสิ มาเดี๋ยวแม่เช็ดตัวให้ก่อนจะได้สบายตัวเนอะเจ้ามนุษย์เหงือกน้อย” ลี่อินพูดหยอกล้อบุตรสาว เจ้าเด็กอ้วนก็เอาแต่เบะปากร้องอ้อแอ้ประท้วงไม่หยุด
ก่อนจะออกไปล้างหน้าล้างตาและนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เสี่ยวเหลียนตัวน้อย เพื่อให้นางได้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น พอเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จแล้วเจ้าเด็กน้อยจึงได้อารมณ์ดีขึ้น และได้เคลิ้มหลับไปในที่สุด
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเหลียนได้เคลิ้มหลับไปแล้ว หญิงสาวต้องมานั่งหนักใจพลางขบคิดไปว่า วันนี้จะหาอะไรให้เสี่ยวเหลียนน้อยกิน เด็กตัวเท่านี้นมแม่ก็มิได้ดื่มดั่งเช่นเด็กคนอื่น
แต่พอมองใบหน้าที่หลับพริ้มอย่างมีความสุขของเสี่ยวเหลียน ลี่อินก็คงจะทำได้แค่สู้ต่อไปสินะ สู้เพื่อตัวนางเองให้มีชีวิตรอดสู้เพื่อเจ้ามนุษย์เหงือกด้วย
หลังจากที่แน่ใจว่าบุตรสาวหลับแล้ว ร่างบางเริ่มเดินสำรวจกระท่อมที่ตนอาศัยอยู่ ว่าจะสามารถหาอะไรพอที่จะนำมาทำอาหารได้บ้าง เพราะในครัวมีเพียงหัวเผือกและหัวมันไม่กี่หัว
ข้าวสารมีอยู่แค่หนึ่งกำมือพอสำหรับต้มข้าวให้เสี่ยวเหลียนน้อยได้แค่วันเดียวเท่านั้น พอนึกย้อนกลับไปในช่วงที่ทั้งสองคนอยู่กันก่อนหน้านี้คงจะลำบากไม่น้อย
“อยู่กันมาได้อย่างไรนะ ได้กินอิ่มกันบ้างหรือไม่ลี่อินเจ้ามิต้องห่วงเสี่ยวเหลียนนะ ข้าจะดูแลนางแทนเจ้าเอง ขอให้เจ้าปล่อยวางแล้วไปในภพภูมิที่ดี” นางได้แต่นึกสงสารร่างเก่า ได้แต่ให้คำมั่นสัญญาจะรับช่วงต่อดูแลบุตรสาวให้กับร่างเดิม
และราวกับว่าลี่อินคนเดิมจะรับรู้ถึงความจริงใจ เหมือนมีสายลมสายหนึ่งพัดผ่านหน้างามไปอย่างประหลาด เหมือนมีสายลมโอบล้อมร่างบางไว้ราวกับจะบอกว่าขอบคุณ
โชคชะตานำพาคนที่ลำบากมาพบกับคนที่ลำบากโดยแท้ ในโลกก่อนนางเป็นนักเขียนไส้แห้ง ต้องลำบากตรากตรำหาเลี้ยงตัวเอง พอทะลุมิติมาภพใหม่ก็ยังคงต้องมาลำบากเช่นเดิม ทะลุมิติมาเพื่อสู้ชีวิตให้มันได้อย่างนี้สิ ถึงเวลาข้ารวยเมื่อไหร่แม่จะนั่งกินนอนกินให้หนำใจ
แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดมิใช่นางแล้วตอนนี้ หากแต่เป็นเจ้าตัวเล็กมนุษย์เหงือกที่ร่างเดิมช่วยมา เสี่ยวเหลียนยังเล็กมากและเด็กวัยนี้ยังต้องได้ดื่มนมอยู่
ร่างเดิมลำบากหนีตายมาต้องเลี้ยงเด็กทารกด้วยน้ำต้มข้าว นางนับถือใจของคนทั้งสองจริงๆ เด็กน้อยก็สู้เหลือเกินส่วนร่างเดิมก็สู้จนถึงที่สุดแล้ว นางสัญญาว่าจะดูแลเสี่ยวเหลียนน้อยแทนร่างเดิมให้ดีที่สุด
ลี่อินสำรวจกระท่อมหลังน้อยไปจนถึงด้านหลังเกือบจะติดกับชายป่า และติดริมคลองเล็กๆ ที่น้ำไหลเอื่อยไปจนสุดทางออกหมู่บ้าน
ถึงแม้แถบนี้จะไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์สักเท่าไหร่ แต่ก็พอจะหาของป่าพอประทังชีวิตไปก่อน เนื่องจากเสี่ยวเหลียนยังเล็กอยู่จึงไม่สามารถทิ้งนางไปที่ไหนไกลๆ และเป็นเวลานานได้
หญิงสาวมองตามแนวป่าไปเรื่อยๆ จนสายตาปะทะเข้ากับสิ่งหนึ่ง ซึ่งบางลูกมันกำลังเหลืองสุกได้ที่ นางไม่รอช้ารีบสาวเท้าเข้าไปทันที ลี่อินแทบอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ อย่างน้อยมีเจ้าผลนี้นางกับเสี่ยวเหลียนน้อย ก็จะมีอะไรให้กินไปได้อีกหลายวัน
“ว้าว กล้วยลูกใหญ่มากสุกกำลังดีเลย เกิดในป่าคงจะไม่มีเจ้าของหรอกกระมัง” ลี่อินเดินกลับเข้าไปในกระท่อมเพื่อหามีดมาตัดเครือกล้วยน้ำว้าสุกเหลืองอร่ามทั้งเครือ นางตัดเอามาเก็บไว้ทั้งหมดเพราะเกรงว่าหากไม่เอามาหมด พวกนกกระรอกจะแทะกินไปซะก่อน
เมื่อจัดการเก็บกล้วยที่ตัดมาไว้เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงได้ก่อไฟเพื่อจะได้เผาหัวมันไว้กินในยามหิว พลางคิดไปว่าต่อจากนี้คงจะต้องวางแผนการใช้ชีวิตเสียใหม่ หากว่าตนยังต้องใช้ชีวิตในโลกแห่งนี้ต่อไป อย่างแรกจะต้องหาอาหารไว้สำหรับปากท้องก่อน จากนั้นค่อยหาลู่ทางในการหาเงิน
และก็อีกเรื่องคือกระท่อมหลังทรุดโทรมนี้ จะต้องซ่อมแซมให้แข็งแรงสภาพเช่นนี้หากมีพายุเข้าก็คงจะปลิวไปตามลมได้โดยง่าย อย่าว่าแต่พายุเลยลำพังแค่ฝนตกยังไม่รู้ว่ากันฝนได้หรือไม่
ระหว่างรอเผาหัวมันไว้กินลี่อินก็ได้ตั้งหม้อต้มข้าวให้กับเสี่ยวเหลียน หญิงสาวต้มข้าวโดยไม่ได้ปรุงรสอะไรเลย ด้วยภายในกระท่อมหลังนี้แทบจะไม่มีอะไรให้ได้ปรุงรส นอกจากเครื่องครัวบางอย่างและถ้วยชามไม่กี่ชิ้น
หลังจากรอให้ข้าวสุกแล้วหญิงสาวจึงยกหม้อออกมาตั้งพักไว้ให้เย็น ตักข้าวต้มที่พอมีน้ำขลุกขลิกลงถ้วย แล้วนำกล้วยที่สุกกำลังดีปอกเปลือกขูดเอาแต่เนื้อกล้วยนำมาบดกับข้าวต้มให้ละเอียด เป็นอันว่าทั้งนางและบุตรสาวได้อาหารเช้าแล้ววันนี้
ลี่อินนั่งกินหัวมันอิ่มแล้วจึงได้ถือถ้วยข้าวบดกล้วยเข้าไปในห้อง เมื่อเปิดประตูก็เห็นแล้วว่าเสี่ยวเหลียนน้อยตื่นนอนพอดี
“เสี่ยวเหลียนตื่นแล้วหรือลูก วันนี้แม่มีข้าวบดกล้วยอร่อยๆ มาให้หนูกินด้วยนา” ลี่อินคุยกับเจ้าตัวเล็กเสียงอ่อนเสียงหวาน
“แอ้” เสี่ยวเหลียนได้ยินเสียงของมารดา เจ้าเด็กน้อยตอบรับในทันทีพร้อมกับทำปากจ๊วบจ๊าบน้ำลายไหลออกข้างแก้ม
“หิวแล้วใช่หรือไม่ มาๆ หม่ำๆ” ลี่อินอุ้มบุตรสาวตัวน้อยวางไว้บนตักของตัวเอง จากนั้นจึงได้ค่อยๆ ป้อนข้าวบดกล้วยให้นางได้กินทีละนิด ในบางคราก็จะสลับตักน้ำให้กินบ้าง จนเจ้าตัวน้อยจัดการกินข้าวจนหมดถ้วย
หลังจากป้อนข้าวเสี่ยวเหลียนจนอิ่มหญิงสาวจัดการเช็ดปาก ทำความสะอาดผลัดเปลี่ยนชุดให้เด็กน้อยใหม่ ซึ่งชุดที่พับไว้ที่ชั้นวางมีเพียงสองสามชุดเก่าๆ เท่านั้นเอง
“คงจะต้องซักไว้ก่อนสินะ จะได้มีไว้ผลัดเปลี่ยน” ลี่อินมองเจ้าตัวเล็ก ที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับมารดา มันช่างน่าเอ็นดูและมันเขี้ยวนักในสายตาหญิงสาว จนอดใจไม่ไหวต้องกลับไปขย้ำพุงน้อยๆ อีกครั้ง
เมื่อสองแม่ลูกหยอกล้อกันจนพอใจแล้ว ลี่อินจึงอุ้มเสี่ยวเหลียนน้อยขึ้นมา หาผ้าที่พอจะผูกบุตรสาวติดกับตัวนางได้ พันเจ้าตัวเล็กติดตัวไว้เรียบร้อยและแน่ใจว่าบุตรสาวจะไม่ตก
ลี่อินจึงได้หอบเอาชุดสำหรับที่จะต้องนำซัก เดินตรงไปยังริมคลองเพื่อซักผ้าทั้งผ้าอ้อมสี่ผืนชุดของนางอีกหนึ่งชุดเพื่อเอาไว้สลับใส่กับชุดที่มีอยู่
เดิมทีลี่อินมีชุดติดตัวมาสี่ชุด แต่นางได้ฉีกและเย็บทำเป็นผ้าอ้อมกับชุดของเสี่ยวเหลียน ตัวนางเองจึงเหลือเพียงสองชุดไว้ซักแล้วสลับใส่ไปเท่านั้น
การทะลุมิติมาในวันแรกมันช่างเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้ จากที่ไม่เคยเลี้ยงเด็กอ่อนก็ได้มาเลี้ยง และไม่คิดว่าวิชาลูกเสือที่ตนเรียนเกี่ยวกับการเอาตัวรอด จะได้นำมาใช้จริงๆ