ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี

156.0K · จบแล้ว
องค์หญิงโนเนม
59
บท
34.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ชาติแล้วนางโง่เขลาเกินไป หลงรักคนผิดจนทำร้ายคนที่รักนาง ในเมื่อได้กลับมาพบกันอีกครา นางไม่เอาแล้วท่านอ๋อง นางจะต้องเกี้ยวรองแม่ทัพที่แสนดีเช่นท่านมาเป็นสามีให้จงได้

นิยายจีนโบราณทหารเกิดใหม่จีนโบราณ

บทที่ 1 ฟางเมี่ยวสตรีนิสัยเสีย

บทที่ 1 ฟางเมี่ยวสตรีนิสัยเสีย

"ไม่เจ้าค่ะ!! ลูกจะแต่งเข้าจวนอ๋องให้ได้ ต่อให้ต้องเป็นชายารองลูกก็จะแต่ง ท่านพ่ออย่ามาห้ามลูกเสียให้ยาก!!!"

ฟางเมี่ยวจ้องมองผู้เป็นบิดาพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดื้อรั้น ไม่ยินยอม จนผู้เป็นบิดาถึงกับถอนหายใจออกมา

เขามีนามว่าฟางเหลียน มีบุตรชายนามว่าฟางเจี๋ยและบุตรสาวนามว่าฟางเมี่ยว มารดาของบุตรทั้งสองตายจากไปตั้งแต่ฟางเมี่ยวอายุได้สิบสี่ปี ส่วนบุตรชายยามนี้นั้นอายุได้ยี่สิบปีแล้ว เพราะความรักบุตรทั้งสองเขาจึงไม่แต่งภรรยาใหม่อีก มีเพียงอนุในจวนสองสามคนที่ไม่กล้ามีปากมีเสียงใดๆ ทั้งสิ้นเพียงเท่านั้น

เขาเป็นถึงเสนาบดีกรมกลาโหม มีหน้ามีตาในบรรดาชนชั้นสูง คอยตรวจสอบเสบียงอาหารในกองทัพ ดูแลเรื่องเบี้ยเลี้ยงของกองทัพ ดูแลยุทโธปกรณ์ ปัจจัยต่างๆ ในกองทัพ อีกทั้งยังมีสหายสนิทเป็นถึงแม่ทัพใหญ่อีกด้วย เดิมทีเขาคิดจะให้ฟางเมี่ยวที่ยามนี้อายุสิบห้าปีแล้วแต่งงานกับหลี่เยี่ยนเฉินบุตรชายของสหายรักที่รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพอนาคตไกล

แต่ทว่าบุตรสาวตัวดีของเขากลับไปถูกตาต้องใจ เย่จิ้นหยาง ชินอ๋องหนุ่มรูปงาม ผู้เป็นหลานชายของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าอู๋ บิดาของเย่จิ้นหยางเป็นน้องชายร่วมมารดาเดียวกับฮ่องเต้เย่หมิงหล่าง

แต่ทว่าโชคร้ายสองปีก่อนกลับล้มป่วยจนจากไป เหลือไว้เพียงบุตรชายเพียงคนเดียวคือเย่จิ้นหยาง โชคร้ายซ้ำซ้อนมารดาของเย่จิ้นหยางก็มาตรอมใจตายตามสามีไปอีกคน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสงสารหลานชายจึงแต่งตั้งให้เย่จิ้นหยางเป็นชินอ๋องต่อจากบิดาของตน เพราะอย่างไรเสียตำแหน่งนี้ย่อมสืบทอดได้ไม่ผิด เดิมทียามที่บิดายังมีชีวิตอยู่ เย่จิ้นหยางก็มีตำแหน่งซื่อจื่ออยู่แล้ว ฮ่องเต้เองก็เอ็นดูหลานชายผู้นี้ไม่น้อย เย่จิ้นหยางเองก็รู้ความ ซื่อสัตย์ ภักดี เป็นอย่างมาก

เขาคงจะสนับสนุนหากว่าท่านอ๋องผู้นั้นมีใจชอบพอฟางเมี่ยวเช่นเดียวกัน แต่ทว่าเย่จิ้นหยาง กลับแต่งงานกับจางเสวี่ยฮุ่ยบุตรสาวจวนราชครูไปเสียแล้ว มิได้ชายตามองฟางเมี่ยวบุตรสาวของเขาเลยแม้แต่น้อย

ไม่กี่วันก่อนในวังหลวงจัดงานเลี้ยงขึ้น ฟางเมี่ยวก็ทำงามหน้า นางหลอกล่อเย่จิ้นหยางให้ไปหาที่ท้ายวังหลวง ก่อนจะเปลื้องผ้าให้เย่จิ้นหยางดู และให้สาวใช้นางไปตามเหล่านางกำนัลขันทีมา สร้างเรื่องว่าเย่จิ้นหยางลวนลามนาง ท้ายที่สุดฮ่องเต้ทรงพิโรธ จึงมีรับสั่งให้เย่จิ้นหยางรับนางเป็นพระชายารองเสีย

เรื่องงามหน้าเช่นนี้เขาอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

สองวันก่อน เย่จิ้นหยางส่งคนนำตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงกับทองคำอีกสิบหีบมาส่งที่จวน บอกว่าให้ฟางเมี่ยวเกล้ามวยผมออกบวชเสีย อย่าได้คิดจะแต่งเข้าจวนอ๋องของเขาเด็ดขาด แต่มีหรือที่ฟางเมี่ยวจะยินยอม เขาจึงต้องทุกข์ใจเช่นนี้

เมื่อมองบุตรสาวที่ยามนี้มีใบหน้าขุ่นเคืองราวกับจะฆ่าคน เขาก็ทุกข์ใจยิ่งนัก

"เมี่ยวเอ๋อร์ แต่ท่านอ๋องไม่ได้รักเจ้า ดูสิ เขาส่งของมามอบให้ แลกกับการให้เจ้ายอมล้มเลิกการเป็นชายารองเสีย!"

ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็กำมือแน่น พลางนึกถึงใบหน้าสวยหวานของจางเสวี่ยฮุ่ย ที่ทำท่าทีอ่อนแอ ราวกับต้องลมก็จะปลิวเสียอย่างนั้น นางเกลียดยิ่งนัก สตรีเช่นนั้นมีอันใดดีกัน เย่จิ้นหยางจึงไปหลงรักนาง!!

นางไม่ดีที่ตรงใดกัน นางงามกว่า อีกทั้งยังร่ำรวยไม่น้อย เหตุใดเขาจึงไม่เลือกนาง!!!

"ลูกไม่ยอม!! ลูกจะต้องเข้าจวนอ๋องให้ได้ ท่านพ่อ ท่านต้องกราบทูลฝ่าบาทนะเจ้าคะ ท่านพ่อไปคุกเข่าหน้าพระตำหนักสิเจ้าคะ ท่านพ่อ!!"

"เหลวไหล!!!"

"อ๊าาา!! ท่านพ่อไม่รักลูก!! ท่านพ่อไม่รักลูก"

ฟางเมี่ยวขว้างปาสิ่งของลงไปบนพื้นจนแตกละเอียด ดวงตาคู่งามแดงก่ำ ฉายแววอำมหิตจนเหล่าสาวใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันก้มหน้างุด แม้แต่จะหายใจก็ยังไม่กล้า

ฟางเหลียนอับจนหนทาง ท้ายที่สุดเขาจึงให้คนส่งของกลับไปที่จวนอ๋องเสีย เย่จิ้นหยางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็นึกเกลียดชังสองพ่อลูกเจ้าแผนการยิ่งนัก เสด็จอาก็ทรงตำหนิเขาจนเขาหมดหนทางจะอธิบาย ท้ายที่สุดเขาก็จำต้องรับฟางเมี่ยวเข้าจวนมาในฐานะชายารอง

เรือนใหญ่จวนชินอ๋อง

"พระชายาเพคะ สตรีหน้าไม่อายนางนั้นเข้าจวนมาแล้วเพคะ!!"

"จะเสียงดังไปทำไมกัน?"

"พระชายา!!"

จางเสวี่ยฮุ่ยที่ในยามนี้กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าอยู่ในเรือนใหญ่ด้วยท่าทีที่เรียบเฉย ไม่ได้แสดงท่าทางตกใจที่รู้ว่าฟางเมี่ยวเข้าจวนอ๋องมาเลยแม้แต่น้อย

นางรู้ดีว่าในใจของเย่จิ้นหยางมีเพียงนาง และนางก็ไม่อยากจะทะเลาะกับฟางเมี่ยว ทำให้เกิดปัญหาจนเย่จิ้นหยางต้องไม่สบายใจ

แต่ไหนแต่ไรร่างกายของนางอ่อนแอมาแต่กำเนิด ล้มป่วยโดยง่าย แต่เย่จิ้นหยางก็ดูแลนางเป็นอย่างดี เขาทะนุถนอมนางราวกับไข่มุกในฝ่ามือ

ท่านแม่เคยสอนนางเอาไว้ การกุมใจสามีเอาไว้ได้ ต่อให้จะมีอีกสิบชายาหรือห้าอนุ ก็ไม่อาจมาแย่งตำแหน่งพระชายาเอกไปจากนางได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงวางผ้าเช็ดหน้าในมือลง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลิงหลิง สาวใช้คนสนิทของนาง

"ข้าจะไปดูเสียหน่อย"

"แต่พระชายา..."

"หลิงหลิง ข้าเป็นพระชายาเอก ส่วนนางเป็นเพียงชายารอง ที่ข้าออกไปไม่ใช่เพราะข้าเกรงกลัวนาง แต่มันเป็นหน้าที่ ที่ภรรยาเอกเช่นข้าพึงกระทำ ไปเถิด อย่าให้บ่าวไพร่มานินทาข้าได้"

"เพคะ"

จางเสวี่ยฮุ่ยไม่รอช้า นางรีบเดินออกมาจากเรือนใหญ่ในทันที ก่อนจะพบกับสตรีน้อยนางหนึ่งที่สวมชุดสีชมพูปักลายดอกเหมย แต่งหน้าทาชาดค่อนข้างหนาจัด ในมือถือพัดโบกไปมา กำลังเดินเข้ามาในจวนอ๋อง

เป็นฟางเมี่ยว!!!

ฟางเมี่ยวยกยิ้มมุมปาก พลางพิจารณาจางเสวี่ยฮุ่ยเช่นเดียวกัน นางเบ้ปากเล็กน้อย สตรีแต่งกายจืดชืดผู้นี้ยิ่งเห็นก็ยิ่งรำคาญสายตา อยากจะเดินเข้าไปตบให้ใบหน้าซีดขาวเป็นรอยฝ่ามือเสียจริง!!!

"น้องสาวมาถึงแล้วหรือ?"

จางเสวี่ยฮุ่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะครุ่นคิดในใจ

ผู้ใดนับญาติกับเจ้ากันนังผีหน้าขาว!!!

แม้ในใจจะด่าทอ แต่ทว่าใบหน้ากลับมีรอยยิ้มเจิดจ้า

"เจ้าค่ะ รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย ต้องขนสินเดิมมาด้วยมากมายนัก อืม ช่วยไม่ได้นะเจ้าคะ ข้าเกิดมาบนกองเงินกองทอง สมบัติจึงมากหน่อย"

ฟางเมี่ยวจีบปากจีบคอพูด สร้างความหมั่นไส้ให้ผู้ที่ได้พบเห็นไม่น้อย

แต่สำหรับจางเสวี่ยฮุ่ยนางกลับคิดต่าง

มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าฟางเมี่ยวเอาความร่ำรวยโอ่อ่านี่มาข่มขู่นาง นางรู้ดีว่าถึงแม้นางจะเป็นบุตรสาวภรรยาเอกจวนราชครู ท่านปู่เป็นถึงท่านอาจารย์ที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงให้ความสำคัญ เนื่องจากก่อนขึ้นครองราชย์ราชครูจางได้ช่วยเหลือ ร่วมกันต่อต้านขุนนางฉ้อฉลในรัชสมัยก่อนได้สำเร็จ คอยชี้แนะและให้คำปรึกษา เป็นกำลังสำคัญของฮ่องเต้ อีกทั้งยามนี้ยังเป็นท่านอาจารย์ขององค์รัชทายาทในรัชสมัยนี้อีกด้วย

ท่านพ่อของนางก็เป็นคนเก่งมีความสามารถความรู้กว้างขวาง เขาสอบได้เป็นจอหงวนจนฝ่าบาทมอบตำแหน่งอาจารย์ในสำนักศึกษาหลวงให้ อนาคตอาจจะได้รั้งตำแหน่งราชครูเช่นเดียวกับท่านปู่ก็เป็นได้ เดิมทีท่านพ่อก็ปฏิบัติต่อท่านแม่และนางเป็นอย่างดี แต่หลังท่านย่าตายจากไป ท่านพ่อก็เหิมเกริม หลงใหลอนุไม่สนใจนางและท่านแม่อีก ท่านปู่ก็ไม่สนใจเห็นว่าเป็นเรื่องทั่วไปของบุรุษ อนุจึงไม่เห็นหัวท่านแม่นาง เงินทองนางก็มีไม่มาก จะใช้จ่ายแต่ละครั้งย่อมยากลำบาก จนกระทั่งได้แต่งกับเย่จิ้นหยาง ท่านแม่นางจึงสุขสบายขึ้นมาได้บ้าง เพราะว่าท่านพ่อเห็นแก่หน้าเย่จิ้นหยาง

คนที่ผ่านความยากลำบากและมั่งมีมาเช่นนาง ย่อมไม่ใส่ใจกับสมบัติจอมปลอมเหล่านี้

"ลำบากน้องสาวแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปพักเถิด"

"ท่านอ๋องเล่า ตั้งแต่ข้ามายังไม่เห็นท่านอ๋องเลย?"

ฟางเมี่ยวเอ่ยถามจางเสวี่ยฮุ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา จางเสวี่ยฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีนางพอจะทราบถึงความร้ายกาจของฟางเมี่ยวมาไม่น้อย แต่ไม่คิดว่านอกจากจะนิสัยเสียแล้วยังจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้

"ท่านอ๋องยังไม่กลับจากประชุมยามเช้า"

"จะกลับมาเมื่อใด?"

"ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้?"

"หึ!! หรือว่าเจ้าทราบ แต่ไม่ยอมบอกข้ากันแน่!"

หลิงหลิงที่เห็นว่านายตนถูกหยามเกียรติก็ทนไม่ไหว ไม่สนกฎระเบียบใดอีก

"พระชายารอง ทรงถามเช่นนี้เท่ากับไม่เคารพพระชายาเอกเลยนะเพคะ"

"หลิงหลิง!!! เจ้าหยุดนะ นางเป็นนายส่วนเจ้าเป็นบ่าว!!"

จางเสวี่ยฮุ่ยหันไปตำหนิหลิงหลิงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับฟางเมี่ยว

"สาวใช้ข้าไม่รู้ความ ขายหน้าเจ้าแล้ว"

"เจ้านายเป็นเช่นไร บ่าวย่อมเป็นเช่นนั้น"

จางเสวี่ยฮุ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย

"ข้ายังมีเรื่องให้ต้องสะสาง เจ้าก็ไปพักที่เรือนของเจ้าเถอะ"

"ฝากบอกท่านอ๋องด้วย ว่าข้าจะรอเขาอยู่ที่ห้องนอน"

ฟางเมี่ยวเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินบิดสะโพกจากไปโดยไม่มีความเคารพต่อจางเสวี่ยฮุ่ยเลยแม้แต่น้อย

"พระชายาเพคะ!! นาง..."

"วันนี้เจ้าจงอดข้าวเย็นหนึ่งมื้อ สำนึกผิดที่ไม่รู้กฎระเบียบ"

"เพคะพระชายา"

ด้านฟางเมี่ยวที่มาถึงเรือนของตน ก็ถึงกับกำมือแน่น เรือนของนางไม่ได้กว้างขวางเช่นเรือนใหญ่ที่จางเสวี่ยฮุ่ยอยู่เลยแม้แต่น้อย นางทิ้งกายลงนั่งอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะหันไปมอง ลู่ชิง สาวใช้ที่ติดตามนางมาจากจวนตระกูลฟางคราหนึ่ง

ลู่ชิงยิ้มตาหยี พลางเข้ามาบีบนวดประจบเอาใจนายตน

"คุณหนู เอ่อ...พระชายารอง อย่าโมโหไปเลยเพคะ"

“ได้ ข้าจะไม่โมโห"

ฟางเมี่ยวส่งยิ้มเย็นให้ลู่ชิง ก่อนจะยกเท้าถีบเข้าไปที่กลางอกของสาวใช้คนสนิทอย่างเต็มแรง

"ฮือ พระชายา!!"

"บัดซบ!! เรือนเล็กกว่าจวนข้าด้วยซ้ำ!!! คอยดูเถอะ ข้าจะต้องเข้าไปอยู่ที่เรือนใหญ่แทนที่นังจางเสวี่ยฮุ่ยให้จงได้!!!"

พูดจบก็ง้างฝ่ามือตบเข้าไปที่ใบหน้าของลู่ชิงเพื่อระบายอารมณ์อีกคำรบหนึ่ง ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มเพื่อคลายโทสะ