บทที่ 4 หวนคืนกลับมาอีกครา
บทที่ 4
หวนคืนกลับมาอีกครา
ข้าหวนคืนมา!
“ขอบใจนะแม่หนู”
เคร้ง!
ชามเหล็กในมือร่วงหล่นลงบนพื้น ดวงตาคมชัดกราดมองไปรอบๆ ตัวราวกับเพิ่งตื่นจากห้วงฝันเจ็บปวดอันแสนยาวนาน มารดากำลังยืนทอดขนมอยู่หน้าร้านโดยมีน้องสาวคอยยืนปั้นแป้งอยู่ข้างๆ ในขณะที่บิดาของนางกำลังแบกม้วนผ้าลงจากเกวียนเพื่อนำไปเก็บไว้ในร้าน
ภาพเหล่านี้คือภาพที่เคยเห็นจนคุ้นชิน ทว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเหตุการณ์เหล่านี้จึงเกิดซ้ำขึ้นอีก
ข้าควรจะตายไปแล้ว หรือว่านี่คือเศษเสี้ยวความทรงจำหลังความตาย
มะ...ไม่เข้าใจเลย!
จากนั้นนางจึงก้มมองหญิงชราที่นั่งอยู่บนพื้น พบว่าเบื้องหน้าของหญิงชราคือกะลาเก่าๆ ที่เอาไว้ขอทาน ในกะลานั้นนางเพิ่งนำขนมทอดร้อนๆ มามอบให้หญิงชราเพื่อประทังความหิว
“นะ...นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ลู่เสียนก้มมองตนเอง พบว่าตนเองสวมใส่เสื้อสีเหลืองอ่อน ผ้าฝ้ายจากในร้านที่มารดาตัดเย็บให้อย่างใส่ใจ อีกทั้งฝ่ามือที่เล็กราวกับมือเด็กหญิงหาใช่มือเด็กสาวยิ่งทำให้นางงุนงง
นางค่อยๆ ยอบกายหยิบชามเหล็กที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนจะมองเงาสะท้อนของตนเองบนชาม แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าตนเองยังอ่อนเยาว์ราวกับอายุไม่เกินสิบห้าหาใช่สตรีอายุยี่สิบเอ็ดปี
‘ขะ...ข้าควรจะตายไปแล้วมิใช่หรือ ทั้งๆ ที่ความเจ็บปวดนั้นยังคงกรุ่นอยู่รอบกายข้า ทว่าข้ากลับมายืนอยู่ในอดีตราวกับย้อนเวลากลับมา...’
หัวสมองขาวโพลนงุนงง ก่อนจะฉุกใจคิดว่า
‘ข้าย้อนเวลากลับมางั้นหรือ!’
“ฟ่านลู่เสียน...เจ้ากำลังตกใจงั้นหรือ”
ความคิดทุกอย่างหยุดชะงักลง ก่อนจะเบี่ยงเบนความสนใจไปยังหญิงชราที่นั่งฉีกยิ้มจนเห็นฟันหน้าที่เหลือเพียงไม่กี่ซี่
นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าหญิงชราผู้นี้เร่ร่อนขอทานไปทั่วตลาดเมืองชิว ในอดีตนางมักนำน้ำและขนมมามอบให้ทุกวันด้วยความสงสาร แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนพบศพหญิงชราขอทานผู้นี้นอนเสียชีวิตอยู่ริมถนน ซึ่งเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนที่นางจะเข้าสู่วัยปักปิ่น
แสดงว่าเวลานี้นางอายุสิบสี่ย่างเข้าสิบห้าปีสินะ
ทว่ามีบางอย่างแปลกไป...
ในอดีตหญิงชรามักค้อมกายลงน้อยๆ เพื่อเป็นการขอบคุณ ไม่เคยพูดหรือเอื้อนเอ่ยวาจาใดกับนางหรือคนอื่นๆ ภายในเมืองเลยสักครั้ง จนทุกคนคิดว่าหญิงชราเป็นใบ้
“ความแค้นต่อตระกูลเถาที่กัดกินหัวใจของเจ้าจะสำเร็จก็ต่อเมื่อเจ้าร่วมมือกับทรราชผู้นั้น ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างชายผู้ที่จะขึ้นเป็นใหญ่เหนือแผ่นดิน เจ้าก็จะสมปรารถนาทุกประการ”
ลู่เสียนอ้าปากค้าง หญิงชราขอทานรู้เรื่องความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจของนางได้อย่างไร นางรีบยอบกายลงก่อนจะซักถามหญิงชราเป็นการใหญ่
“ท่านผู้เฒ่า! ท่านรู้หรือว่าข้าหวนคืนกลับมา!”
ทว่าดวงตาของหญิงชราที่สดใสเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเมื่อครู่กลับจางหายไป เหลือเพียงดวงตาที่แห้งแล้งหมดอาลัยตายอยาก
“…”
หญิงชราเพียงค้อมกายขอบคุณ และไม่พูดสิ่งใดอีก ไม่ว่านางจะพยายามคาดคั้นถามสิ่งใดๆ ก็ได้กลับมาเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“ระ...หรือจะเป็นพรจากท่านเซียนเหยียนเมิ่ง”
ฟ่านลู่เสียนหวนคิดถึงคำอธิษฐานก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจ อีกทั้งยังเคยได้ยินเรื่องเล่าว่าท่านเทพแห่งความปรารถนามักจะมาปรากฏกายในรูปแบบต่างๆ และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าท่านเทพมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร แม้แต่เหล่าทวยเทพบนสรวงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ก็ไม่อาจบรรยายรูปลักษณ์ของท่านเซียนให้เหมือนกันได้เลยสักครา
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านเซียน ขอบคุณที่ให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ข้าสัญญา...”
ฟ่านลู่เสียนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะหมุนกายแล้วสาวเท้ายาวๆ โผเข้าไปกอดมารดาที่กำลังหยิบขนมส่งให้ลูกค้า
“ข้ารักท่านแม่”
“ตายจริง! ลูกสาวแม่เหตุใดจึงขี้อ้อนเช่นนี้เล่า ไม่เห็นหรือว่าแม่กำลังขายขนมอยู่”
ฟ่านหวงลู่หัวเราะร่วนจนดวงตาเล็กหยี ปล่อยให้บุตรสาวกอดตนเองจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น ก่อนจะหันไปส่งขนมที่ห่อใส่กระดาษให้ลูกค้า
“บุตรสาวช่างขี้อ้อนเหลือเกินนะ ดูทำเข้าเถอะ อีกไม่กี่ปีก็จะถึงวัยออกเรือนแล้ว แต่ก็ยังติดแม่ราวกับเด็กน้อย”
ลูกค้าสูงวัยหัวเราะร่วนด้วยความเอ็นดูเด็กสาวตัวน้อยที่เห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกก่อนจะเดินจากไป หวงลู่จึงหันมากอดบุตรสาวแล้วยกมือลูบลงที่เรือนผมแผ่วเบา
“เกิดอะไรขึ้นหรือเสียนเอ๋อร์ มีใครรังแกเจ้าหรือเปล่า”
น้ำเสียงหวานทอดอ่อนเอ่ยถามบุตรสาวด้วยความห่วงใย ลู่เสียนได้รับอ้อมกอดและถ้อยคำห่วงใยของมารดาก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาด้วยความรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุนำหายนะมาสู่ครอบครัว
ความอบอุ่นจากอ้อมแขนซ่านลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณ นางแนบใบหน้าลงบนอกซ้ายของมารดา เงี่ยฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอด้วยความรู้สึกคับแน่นไปทั้งอก
ลู่เสียนไม่เคยรู้เลยว่าเสียงเต้นของหัวใจมันช่างไพเราะถึงเพียงนี้ มารดาของนางยังคงมีชีวิตอยู่ ทุกๆ คนยังไม่ประสบกับเคราะห์ร้ายเพราะความโลภของนาง
“ข้ารักท่านแม่เหลือเกินเจ้าค่ะ รัก รัก รัก รักมาก”
เด็กสาวยังคงพร่ำว่ารัก ในขณะที่หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย ผู้เป็นน้องสาวที่กำลังยืนปั้นแป้งอยู่ก็ถึงกับงุนงง แต่เมื่อเห็นน้ำตาของพี่สาวจึงรีบล้างมือที่เปื้อนแป้งออก แล้วเดินไปกอดพี่สาวเอาไว้จากทางด้านหลัง
“ท่านพี่เกิดอะไรขึ้น”
ลู่เสียนผละออกจากอ้อมกอดของมารดา หันไปหาน้องสาวตัวน้อย
“เฝิ่นเอ๋อร์...น้องของข้า”
นางใช้สองมือประคองแก้มกลมๆ ของเด็กหญิงอายุสิบสองปี น้องสาวที่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการกอดศพบิดามารดาร่ำไห้จนแทบขาดใจ จากนั้นจึงถูกปลิดชีพอย่างโหดร้ายทารุณ
‘ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้าเหลือเกินเฝิ่นเอ๋อร์’
หยาดน้ำตาอาบแก้มอิ่มเป็นสาย ลู่เสียนสะอึกสะอื้นจนตัวโยน กอดน้องสาวเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าหากคลายอ้อมแขนลงน้องสาวจะจางหายไปเสียอย่างนั้น
“ข้ารักเจ้ามากเหลือเกินเฝิ่นเอ๋อร์ น้องสาวที่รักของข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดอีกเป็นอันขาด ข้าสัญญา...”
ซึ่งจังหวะนั้นเองบิดาเพิ่งแบกม้วนผ้ากว่าสิบม้วนจนเหงื่อไหลไคลย้อยก็เดินเข้ามา เห็นบุตรสาวคนโตร้องไห้จนใบหน้าแดงก่ำก็ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ละ...แล้วเสียนเอ๋อร์ร้องไห้ทำไม...”
พูดยังไม่ทันจบฟ่านหลันเซ่อก็ถูกบุตรสาวคนโตพุ่งเข้าไปกอดอย่างรวดเร็ว
“ข้ารักท่านพ่อ รักมากที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
หลันเซ่องุนงงมองภรรยาและบุตรสาวคนเล็กราวกับต้องการคำอธิบาย ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงความงุนงงไม่ต่างกัน
ฟ่านลู่เสียนกอดบิดา กอดมารดา กอดน้องสาว สลับกอดไปมาราวกับคิดถึงแทบขาดใจ อีกทั้งยังเอาแต่ร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของบิดา
“เกิดอะไรขึ้นกับเสียนเอ๋อร์”
ฟ่านหลันเซ่อวางบุตรสาวลงบนเตียงแผ่วเบา สะบัดผ้าห่มออกแล้วคลี่คลุมร่างบอบบางหลับใหลอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันมาพูดคุยกับภรรยาและบุตรสาวคนเล็กด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เพราะปกติแล้วบุตรสาวคนโตเป็นเด็กสดใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี และไม่เคยคิดร้ายทำอันตรายใคร
รอยยิ้มที่แสนสดใสทำให้ลู่เสียนไม่เคยมีศัตรูที่ไหน แล้วเหตุใดเด็กหญิงวัยเพียงสิบสี่ปีจึงทำราวกับว่าเพิ่งเผชิญกับความทุกข์โศกอย่างแสนสาหัสเช่นนี้เล่า
“เมื่อเช้านี้เสียนเอ๋อร์ยังมีท่าทางปกติอยู่เลย ไม่มีท่าทางเศร้าโศกหรือกังวลใดๆ สักนิด อีกทั้งก่อนหน้านี้นางก็เพิ่งมารับขนมจากข้าไปมอบให้แก่หญิงชรา แล้วจู่ๆ ก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้บอกรักทุกคน จนข้าสับสนไปหมด”
ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้น พยายามลำดับเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ว่ามีช่วงเวลาไหนที่นางหลงลืมไม่ได้สนใจบุตรสาวคนโตบ้างหรือไม่ แต่ก็พบว่าไม่มีเลย นางและบุตรสาวทั้งสองค่อนข้างสนิทสนมกัน พูดคุยทุกเรื่องโดยไม่มีความลับใดๆ
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะท่านพ่อ เมื่อเช้าท่านพี่ยังหยอกล้อข้าอยู่เลย ท่านพี่บอกกับข้าว่าหากถึงวัยปักปิ่นเมื่อใด ท่านพี่อยากขออนุญาตท่านพ่อท่านแม่ไปเที่ยวชมเมืองหลวงสักครั้ง ซึ่งก็เป็นบทสนทนาทั่วๆ ไป ไม่ได้มีตรงไหนที่แสดงถึงความทุกข์ใจเลยเจ้าค่ะ”
เฝิ่นลู่เอ่ยพลางมองใบหน้าแดงก่ำบอบช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักของพี่สาว
“เสียนเอ๋อร์ทำราวกับว่าคิดถึงพวกเรามาก ราวกับว่าไม่ได้พบกันนานแสนนานเสียอย่างนั้น”
ฟ่านหลันเซ่อทรุดกายลงนั่งข้างๆ บุตรสาวที่ยังคงหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด เมื่อครู่นี้บุตรสาวจับใบหน้า จับแขน แล้วมองสำรวจรอบตัวเขา อีกทั้งยังบอกว่าเขายังหนุ่มแน่น และขอให้เขาช่วยดูแลรักษาสุขภาพและดื่มสุราให้น้อยลง
คำพูดคำจาของนางแตกต่างออกไปจากเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัดเจน ปกติแล้วลู่เสียนมักจะชอบพูดจาเพ้อฝันเต็มไปด้วยจินตนาการของเด็กสาว นางใช้ชีวิตราวกับอยู่บนทุ่งดอกไม้แสนหวาน ทว่าเมื่อครู่นี้คำพูด น้ำเสียง และแววตากลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
เด็กสาวอ่อนเยาว์สดใสกลายเป็นเด็กสาวที่กร้าวแกร่งกร้านโลกไปได้อย่างไรกัน...