ตอนที่3 รอยยิ้มที่คุ้นเคย
ตำหนักคุนหนิง
เย่วลี่อิงเดินออกมาจากตำหนักกุ้ยเฟยด้วยสภาพที่ผมเผ้าเปียกเสื้อผ้าอาภรณ์ยุ่งเหยิง กลิ่นสุราฟุ้งคละคลุ้ง เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเห็นก็รีบก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้ามามอง ทุกคนต่างคาดเดาเรื่องราวด้านในกันไปต่างๆนานาจากเสียงที่ดังออกมา และสภาพผู้เป็นนายหญิงแห่งวังหลังที่เดินออกจากประตู
ตลอดทางที่เดินทางกลับมาจนถึงตำหนักคุนหนิงเย่วลี่อิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดและไม่มีท่าทางโมโหหรืออารมณ์เกรี้ยวกราดให้เหล่าขันทีและนางกำนัลได้เห็น แตกต่างจากทุกครั้งที่มีการลงไม้ลงมือหรือลงโทษนางสนม เพราะถึงจะลงโทษไปแล้วแต่เย่วลี่อิงก็ยังอารมณ์ขุ่นมัวไม่หาย ต่างจากวันนี้ที่มีท่าทีสงบเงียบทั้งที่ตนมีสภาพราวถูกทำร้ายมาเสียเอง
เมื่อมาถึงตำหนักคุนหนิงเย่วลี่อิงก็สั่งให้เหล่านางกำนัลเตรียมน้ำอุ่น เพื่อชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุรา อี้หงเข้ามาช่วยปลดเครื่องประดับและถอดเสื้อผ้าให้เย่วลี่อิงหลังจากที่เหล่านางกำนัลทั้งหมดออกจากห้องไป ผู้ที่เห็นเรือนร่างของเย่วลี่อิงมีเพียงอี้หงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นเย่วลี่อิงไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาปรนนิบัตินางเป็นการส่วนตัว
อี้หงนางกำนัลที่ติดตามมาตั้งแต่ตระกูลเย่วเห็นทางท่าที่เปลี่ยนไปของเย่วลี่อิงจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน แต่สภาพที่เห็นก็รับรู้ได้ว่าเย่วลี่อิงถูกรังแกมาเป็นแน่ และคนที่ทำร้ายนายของตนได้มีเพียงห้าวเทียนฮ่องเต้ผู้เดียว เพราะสนมหลี่กุ้ยเฟยย่อมมิกล้ารังแกนายของตนเป็นแน่
เย่วลี่อิงก้าวเท้าลงในถังน้ำใบใหญ่ที่มีไอจากความร้อนลอยขึ้น พลางหลับตาลงและนั่งทิ้งกายลงอย่างสบายตัว โดยมีอี้หงคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย
“ฮองเฮาเพคะ เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ”
เย่วลี่อิงครุ่นคิดถึงนิมิตฝันที่ตนอาละวาดจนเผลอพลาดทำให้เล็บยาวของนางข่วนใบหน้าของเฟยห้าวเทียนจนโลหิตไหลซึม จึงถูกเฟยห้าวเทียนสั่งโบย20ไม้และไล่ให้ไปอยู่ในตำหนักเย็นเป็นเวลา1เดือน ถึงไทเฮาจะมาช่วยไว้ และลดโทษลงเหลือโบย10ไม้และกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนักคุนหนิงเป็นเวลา1เดือน แต่โทษของท่านพ่อที่ไม่สั่งสอนบุตรสาวให้ดีจนทำให้โอรสสวรรค์หลั่งโลหิต รวมถึงนิสัยอิจฉาริษยาจนเสียกิริยาต่อหน้าพระพักตร์ทำให้ท่านพ่อโดนสั่งโบย50ไม้และยึดตราเคลื่อนทัพคืน นางคิดไตร่ตรองว่าหากนางไม่เดินออกมาเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่
อี้หงเมื่อเห็นนายของตนไม่โต้ตอบสิ่งใดได้แต่นั่งเหม่อลอยคล้ายคนไม่มีสติก็ทำเอาใจหวั่นกลัว ว่าเย่วฮองเฮาจะเสียสติเพราะเสียใจที่ถูกห้าวเทียนฮ่องเต้ทำร้ายเพื่อปกป้องนางสนมที่เป็นเพื่อนรักของตน
“ฮองเฮาเพคะ ฮองเฮา คุณหนู คุณหนู” เมื่อเรียกแล้วยังไม่มีเสียงตอบรับนางจึงเขย่าแขนผู้เป็นนาย
“อี้หงมีเรื่องอันใด เจ้าจึงเสียมรรยาทกับข้าเช่นนี้”น้ำเสียงกึ่งตะคอก
อี้หงนอกจากจะไม่รู้สึกเกรงกลัวในคำพูดของเย่วฮองเฮายังยิ้มพร้อมทั้งน้ำตาให้กับเย่วฮองเฮาอีกด้วย
“เจ้าเป็นบ้าอะไร ถึงได้ยิ้มทั้งน้ำตาแบบนี้”
“หม่อมฉันดีใจเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันคิดว่าฮองเฮาเสียใจที่โดนฮ่องเต้รังแกจน.....”อี้หงไม่กล้าพูดต่อ
เย่วลี่อิงมองหน้าอี้หงที่หยุดนิ่งไม่ย่อมพูดให้จบ แต่คำที่นางจะพูดเย่วลี่อิงก็เดาได้ไม่ยาก
“เจ้าจะบอกว่า ข้าเสียใจจนเสียสติสินะ”
อี้หงหลุบตาต่ำไม่กล้ามองหน้าเย่วฮองเฮา เพราะตั้งแต่ที่คุณหนูของนางถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาคุณหนูของนางก็เปลี่ยนไปมาก หลายครั้งที่นางห้ามหรือเตือนแล้วทำให้เย่วฮองเฮาไม่พอใจจนถูกสั่งโบยหรือถูกสิ่งของที่อยู่ในมือเย่วฮองเฮาเขวี้ยงปาอยู่บ่อยครั้ง ต่างจากตอนเป็นเพียงชายาเอกขององค์รัชทายาทและตอนที่เป็นเพียงคุณหนูของนางราวคนละคน แต่อย่างไรนางก็อยู่เคียงข้างเย่วฮองเฮามาตั้งแต่เด็กเรื่องเหล่านี้นางจึงไม่สนใจ คิดแต่เพียงว่านางต้องรับใช้ดูแลนายของตนให้ดีที่สุดเท่านั้น
“ช่างเถอะ”เย่วลี่อิงยิ้มกว้างก่อนหลับตาแล้วแช่น้ำต่อ
รอยยิ้มของเย่วฮองเฮาทำให้อี้หงแปลกใจ เพราะตั้งแต่ขึ้นเป็นฮองเฮารอยยิ้มเช่นนี้ก็หายไป นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในตำหนักของสนมหลี่กุ้ยเฟย แต่นางรู้สึกดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสแบบวันวานที่คุณหนูของนางยิ้มให้นางเสมอ และหวังว่าต่อจากนี้นางจะได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้บ่อยๆ