CHAPTER 6 ต้องการความหวังคืน (3/3)
“พัฒน์!” ผมตะโกนลั่นเนื่องจากมีผู้หญิงกำลังเข็นรถเข็นเด็กไปชนมัน ด้วยความกลัวมันเผลอไปทำอะไรเขาเข้า ขาเลยก้าวไปเอง สรุปเด็กและแม่รอดเพราะมันหันไปเห็น แต่ผมที่เผลอวิ่งเข้าไปคว้าแขนมันนี่สิ เมื่อเห็นมันง้างมือแล้วจึงหลับตาปี๋ โดนอีกแน่กู...
ทว่าทุกอย่างกลับเงียบสงบ... ไม่มีแรงกระแทกใดๆ ผมจึงค่อยๆ เปิดตาออกทีละข้างจนเห็นว่ามือพัฒน์ค้างหมัดอยู่กลางอากาศพร้อมกับนัยน์ตาที่จ้องมาทางผมราวกับกำลังช็อกกับการกระทำของตัวเอง พอมันได้สติจึงลดมือลงแนบลำตัวตามเดิมแต่สีหน้าตึงเครียดและจ้องผมเขม็ง
“ก็รู้อยู่ว่าอันตราย!” พัฒน์ตะคอกเสียงดังในขณะที่ผมแค่กะพริบตาปริบๆ
“ทำไมมึงหยุดได้ล่ะ นิวตันเคยบอกว่ามึงหยุดไม่ได้”
พัฒน์นิ่งก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก
“กูไม่รู้...”
“มึงควบคุมมันได้แล้วสิ”
“ก็บอกว่าไม่รู้” พัฒน์ตอบพลางกระชากแขนออกจากมือผม “มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
“เพราะกูเหรอ...” พัฒน์หันกลับมามองหน้าผม เราสบตากันครู่หนึ่งก่อนเขาจะเป็นคนเบนสายตาไปทางอื่น
“หลงตัวเอง” สิ้นคำนั้นพัฒน์เดินนำหน้าทิ้งห่างออกไปจนผมต้องวิ่งตามไปเดินข้างเขา
“ก็มึงบอกว่าชอบกู บางทีที่มึงหยุดอาจเป็นเพราะไม่อยากให้กูเจ็บตัวไง” ผมคาดเดาจากสิ่งที่เกิดขึ้นพลางดึงแขนมันให้เดินหลบคนด้วยเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่
“งั้นมั้ง”
“แอบดีใจนะเนี่ยที่ช่วยมึงได้” ผมยิ้มกว้างจนมันหลุบตาลงมองหน้าผม “ก็แบบมึงช่วยกูหลายเรื่องแล้วไงแต่กูไม่มีโอกาสได้ตอบแทนมึงเลย”
“หึ”
“ว่าแต่ทำไมมึงถึงเป็นแบบนี้วะ อยู่ๆ ก็เป็นงั้นเหรอ” พัฒน์เงียบ ผมคิดว่าเขาคงไม่ตอบอีกตามเคยเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่ผิดคาด
“คงเป็นเพราะตอนเด็กๆ โดนแกล้งบ่อยมั้งเลยไม่ไว้ใจใคร ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งมันก็เป็น...”
พัฒน์เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตาของเขามองตรงไปข้างหน้าแต่ไม่ได้โฟกัสมัน ราวกับความคิดของเขาได้ย้อนไปถึงช่วงเวลานั้น...
“อะไรกัน อัลฟ่าก็มีแบบนี้ด้วยเหรอ”
“พวกกระจอกที่ชอบทำร้ายคนอื่นมีอยู่ทุกชนชั้นนั่นแหละ”
“งั้นเหรอ แล้วเขาแกล้งมึงทำไม”
"สาวที่มันชอบ มาชอบกู กลุ่มแม่งเลยมาตามแกล้งกูทีเผลอ"
“เพราะแบบนี้ถึงไม่ชอบให้ใครแตะตัวตอนเผลอสิ”
"มึงจะกินไร" พัฒน์หลบตาเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อกลบเกลื่อนความอ่อนไหวในแววตา จึงทำให้ผมรู้ว่าอัลฟ่าอย่างเขาก็อ่อนแอเป็น
“แล้วแต่คนเลี้ยงเลยคร้าบ ผมกินอะไรก็ได้” ผมฉีกยิ้มกว้างดึงแขนพัฒน์ให้หลบคนอีกเช่นเคย
“ปิ้งย่างล่ะกัน คนน้อยดี”
“ครับผม”
หลังจากท้องอิ่มเราสองคนก็เดินเล่นเพื่อย่อยอาหารที่ได้กินลงท้องจนมาหยุดตรงหน้าเวทีกลางห้างเพื่อดูอีเวนต์เห็นคนมากันเพียบเลยจนกระทั่งมีพิธีกรเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของแบรนด์สินค้าหนึ่ง ผมนี่เกือบจะกรี๊ดออกมาเลยเมื่อคนๆ นั้นคือชิรัน! ช่วงนี้มีหลายเรื่องเข้ามาผมจึงไม่ได้ตามข่าวของเขา ไม่รู้เลยว่าวันนี้เขามีอีเวนต์ที่นี่ ตายแล้ว โชคดีจริงๆ ที่มากินข้าวกับพัฒน์พอดี
“มองไม่วางตาเลยนะ”
“ความหล่อทำให้กูละสายตาจากเขาไม่ได้” พูดแล้วก็เขินแต่วันนี้เขาหล่อมากจริงๆ พลอยนึกถึงตอนที่ได้ยืนใกล้ๆ แล้วใจสั่น มาดตอนแต่งหน้าทำผมกับมาดชิลล์มาออฟฟิศคือคนละฟีลกันเลย แต่หล่อมากเหมือนกัน อยากจะบ้า
“ถ้าได้ไปยืนข้างๆ เขาบนนั้นก็ต้องดี...” ผมพูดลอยๆ ราวกับกำลังเพ้อ... ถ้าการเชื่อมกลิ่นสำเร็จผมจะได้ขึ้นไปยืนบนนั้นข้างเขาจริงๆ มั้ยนะ
“จัดให้”
ทว่าในขณะที่ผมกำลังเพ้ออยู่ๆ พัฒน์ดึงข้อมือผมให้ยกขึ้นสูง
“โอ้! ตรงนั้น ยกเร็วมากค่ะ!” พิธีกรสาวบนเวทีชี้นิ้วมาทางเรา ผมยืนหันซ้ายหันขวาเห็นทุกคนกำลังหันมามองผมเป็นตาเดียวโดยไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“เดินขึ้นไปสิ”
“ฮะ?” ผมหันมองหน้าพัฒน์ที่กำลังยิ้มมุมปากอย่างงุนงง
“เชิญขึ้นมาเล่นเกมกับเราเลยค่ะ” พิธีกรสาวพูดเชิญชวนจึงทำให้ผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หัวใจของผมเต้นโครมครามทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จะได้อยู่ใกล้ชิรัน แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีต่อหน้าผู้คนจำนวนมากโดยไม่มีชุดมาสคอตปิดบังไว้
“ดูท่าจะตื่นเต้นมากเลยนะคะเนี่ย ตัวสั่นเชียว”
“นิดหน่อยครับ” ผมตอบเสียงสั่นสายตากวาดมองผู้คนรอบๆ ทั้งหน้าเวทีและบนชั้นต่างๆ ที่กำลังมองลงมาที่เวทีตอนนี้ ความรู้สึกมันช่างต่างกันจริงๆ แม้จะรู้สึกเกร็งจนสั่นแต่ก็รู้สึกดีจนในที่สุดผมก็ยิ้มกว้างออกมา ความมั่นใจเริ่มไหลทะลักเข้ามาจนผมหายสั่น แล้วหันไปมองหน้าพิธีกรสาว
“ดูท่าจะหายตื่นเวทีแล้ว ก่อนมาฟังกติกาไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรคะ”
“ภีมครับ”
“คุณภีม กติกาของเกมคือ คุณชิรันและคุณภีมต้องทำให้ลูกโป่งแตกโดยห้ามใช้มือหรือเท้าให้สำเร็จภายในหนึ่งนาที เพื่อรับของขวัญสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากทางเราค่าาา”
เสียงกรี๊ดดังลั่นห้างในขณะที่ทุกคนกำลังยกมือถือขึ้นถ่ายคลิป ถ้าไม่ใช้มือหรือเท้างั้นก็หมายความว่า...หัวใจผมเต้นแรงขึ้นแต่มันกลับชะงักเมื่อเหลือบเห็นสีหน้าของชิรันที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่... แต่แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้นมันก็หายไป
“ถ้าคิดไม่ออก นุชจะบอกให้นะคะ ต้องหันหน้าเข้าหากันแบบนี้” เขาดึงตัวผมกับชิรันมายืนประจันหน้ากันในระยะที่ห่างกันแค่คืบเดียว จากนั้นก็จับมือชิรันมากอดเอวผมแล้วยกมือผมไปกอดเอวชิรัน จากนั้นก็วางลูกโป่งเสียบเข้าตรงกลางระหว่างเรา วินาทีนั้นหัวใจผมแทบวายไม่ใช่แค่สัมผัสจากเขาอย่างเดียวแต่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวที่หอมฟ้งของเขาชวนให้ผมใจสั่น รู้สึกว่าตัวเองติ่งคอมพลีตมากไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดเขาขนาดนี้และกำลังถูกเขากอดอยู่!
“แบบนี้ดีมั้ยคะทุกคน~” พิธีกรสาวตะโกนถามผู้ชมด้านล่างเวที เสียงกรีดร้องวี้ดว้ายของสาวๆ ทำให้รู้เลยว่ามีสาววายอยู่เป็นจำนวนมากและกำลังฟินจนฟันเหยินหมดแล้วววว ผมก็ฟินจนจะไหลตายแล้ววว
“โอเค งั้นจับเวลาเลยนะคะ เริ่ม!”
ชิรันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีก่อนที่เขาจะเริ่มเล่นเกมโดยกระชับแขนกอดผมให้แน่นขึ้นมากๆ เพื่อลำตัวของเราเบียดกันจนลูกโป่งแตก เมื่อชิรันเริ่มผมเองก็กระชับกอดเขาแน่นขึ้นเช่นกัน เสียงเชียร์จากทั่วทุกทิศไม่ได้ทำให้ผมสะทกสะท้านเลย เพราะตอนนี้เหมือนวิญญาณผมได้หลุดออกจากร่างแล้วด้วยความฟิน ยิ่งร่างกายเราเบียดกันมากขึ้นแม้จะมีลูกโป่งแนบอยู่ตรงกลางหัวใจผมก็ยิ่งเต้นแรงจนแทบจะระเบิดแล้วจริงๆ ไม่รู้แล้วว่าลูกโป่งหรือหัวใจของผมกันแน่ที่จะระเบิดก่อนกัน แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ผมก็ไม่อาจละสายตาออกจากใบหน้าหล่อเหลาของชิรันได้ เราจึงสบตากันเป็นระยะๆ ราวกับความฝัน
ปัง!
ทันทีที่ลูกโป่งแตกชิรันก็รีบผละตัวออกจากผมทันทีตามมาด้วยเสียงกรี๊ดของสาววายทั้งหลาย
“ว้า แตกซะละ กำลังเพลินเลย ฮ่ะๆ” พิธีกรสาวพูดแทนใจสาววายด้วยรอยยิ้มหน้าบาน “แต่ก็ถือว่าสำเร็จนะคะ คุณภีมรับของขวัญจากทางเราไปเลยค่าาา!”
หลังจากชิรันมอบของขวัญให้ผมก็เดินลงจากเวทีด้วยน้ำเสียงฮือฮาและสายตาที่จ้องมองจากทุกคน ผมนี่พยายามเดินทรงตัวไปจนถึงพัฒน์ให้ได้โดยที่ไม่ทรุดลงกับพื้นด้วยความสุขที่ล้นทะลักจนไม่สามารถหุบยิ้มได้เลยในตอนนี้
“คงฟินมากเลยสิ”
ผมยิ้มหน้าบานให้พัฒน์ที่กอดอกยืนแซะอยู่ข้างๆ
“มึงแม่งเป็นเพื่อนที่ประเสริฐจริงๆ”
“กูทำเพื่อมึงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ”
“แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว” ผมยิ้มตอบรับด้วยน้ำเสียงเพ้อๆ ตาเยิ้มๆ
“ถ้ากูได้เป็นแฟนมึงเมื่อไหร่ อย่าหวังเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้อีก”
