บทที่1 พรากผู้เยาว์
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาราวกับจะประกาศก้องให้คนขี้เซาสองคนบนเตียงได้รับรู้ถึงการมาเยือนของเช้าวันใหม่ แต่แสงแดดร้อนแรงของเมืองไทยก็ไม่อาจขับไล่อากาศเย็นสบายในห้อง ร่างบางซุกตัวเข้าหาความอบอุ่น อกกว้างแข็งแกร่งเป็นที่พักพิงให้คนตัวเล็กได้อย่างดี ความอบอุ่นจากกายเขาช่วยให้เธอรู้สึกอุ่นซ่าน
“อืม...” เสียงครางอย่างมีความสุขดังขึ้นจากริมฝีปากบาง ใบหน้าหวานละมุนซุกไซ้อยู่กับอ้อมกอดเขา อืมดีจังเลย อ้อมกอดนี้อุ่นดีจังเลย...
เอ๋? อ้อมกอด
ของใคร?
ขนตายาวงอนกะพริบน้อยๆ พร้อมกับเปลือกตาที่ลืมขึ้น แสงสว่างจ้าในห้องสีขาวทำให้คนเพิ่งตื่นนอนต้องหยีตา ห้องใครนะ แล้วที่นี่ที่ไหนกัน โอ๊ย...ปวดหัวชะมัดเลย
ร่างบางค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น โอ๊ะ...ความเจ็บแปลบบริเวณกลางลำตัวแล่นเข้าจู่โจมทันที คราวนี้คนขี้เซาได้ตื่นเต็มตา
“เฮ้ย...” เสียงอุทานแสนห้วนขัดกับใบหน้าหวานและเสียงใสๆดังขึ้นทันทีเมื่อเจ้าตัวก้มลงมาเห็นสภาพเปลือยเปล่าของตัวเองใต้ผ้าห่มหนา ค่อยๆ ไล่สายตาตามแนวผ้าห่มไปจนพบกับร่างแกร่งที่ยังหลับสนิทในห้วงนิทรา
“ฉิบหายแล้ว” เสียงใสอุทานพร้อมกับที่ร่างบางเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง
เพียงแค่ขยับ ความปวดแปลบก็แล่นเข้าจู่โจมอีกครั้ง แต่นั่นไม่เท่ากับอาการของคนที่นอนอยู่กำลังขยับ ทำเอาคนที่กำลังลุกถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวทันทีราวกับร่างถูกแช่แข็ง รออยู่นานจนเหมือนเขาจะกลับเข้าสู่ความฝันอันแสนหวาน หญิงสาวจึงค่อยๆ เอื้อมตัวไปหยิบเสื้อผ้าที่หล่นเรี่ยราดอยู่บนพื้นแล้วเผ่นหายเข้าไปในห้องน้ำ
มินรญาก้มลงมองสภาพเปล่าเปลือยของตัวเองหน้ากระจกอยู่นาน ร่องรอยต่างๆยังเด่นชัด โอ๊ย...เขาไม่คิดจะเบามือเลยรึไงนะจะบ้าตาย
แล้วนี่เพิ่งเสียตัวไปสดๆ ร้อนๆ!!! แต่ทำไมเธอแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย
ไหนล่ะไหนความสุขสมที่เขาเคยเล่ากัน ทำไมมันหลงเหลือแต่ความปวดระบมนะ หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างข่มอารมณ์ที่กำลังตีตื้น รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวไปด้วยน้ำตาที่ปริ่มจะไหล
อย่าไหลนะ ห้ามไหลเด็ดขาด!!!
คนตัวเล็กสั่งตัวเองหนักแน่น ทำตัวเองแท้ๆ อย่าโทษใคร แม้กระทั่งโชคชะตา
ร่างบางผละออกจากหน้ากระจกทันทีที่ตัดใจได้ ก้าวเข้าไปอาบน้ำลวกๆ ไม่มีเวลาอ้อยอิ่งเหมือนนางเอกละครหรอกนะ ถ้าเกิดเขาตื่นขึ้นมาล่ะก็ได้ซวยกว่านี้แน่ สู้เก็บเงียบเรื่องนี้ไว้คนเดียวยังจะดีกว่า แสร้งทำว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงจะดีต่อทุกฝ่าย ใบหน้านวลค่อยๆโผล่ออกมาจากประตูห้องน้ำพลางเหล่ไปที่เตียงกว้าง
เฮ้อ...โชคดีที่อีเด็กนี่ยังไม่ตื่น
เด็ก?
ใช่น่ะสิ ก็อีตาผู้ชายที่อยู่บนเตียงนั่นอายุน้อยกว่าหล่อนถึงสามปี โอ๊ยๆ ตอนนี้ก็มีฉายา หน้าประถมนมมหา’ลัย อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมากินเด็กลดอายุหรอกนะ อีกอย่าง...สาบานได้ว่าเมื่อคืนตัวเองเป็นฝ่ายถูกกินกลางตลอดตัว ยันหัวก็แทบไม่เหลือ
คนมีชนักปักหลังค่อยๆ ย่องไปหยิบกระเป๋าเตรียมก้าวออกจากห้อง แต่จู่ๆไอ้ร่างหนาหนักนั่นกลับพลิกตัว ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งโหยง ได้แต่ยืนแข็งราวกับรูปปั้นอยู่ตรงกลางห้องพลางกลั้นหายใจ
เฮ้ย...แกจะกลั้นหายใจทำเพื่อ!! อีตานี่ไม่ใช่ผีดิบซะหน่อย
ความคิดสับสนปนเปจนอาการปวดหัวเริ่มจะคุกคามอีกครั้ง หญิงสาวรออยู่พักใหญ่ เมื่อไม่มีวี่แววว่าเขาจะตื่นขึ้นมา เธอจึงเตรียมจะจากไป
แล้ว...จู่ๆความคิดหนึ่งก็วาบขึ้นมาในหัว
เฮ้ย...แกลืมไปได้ยังไง!!?
มินรญาหมุนตัวกลับเดินตรงไปที่หัวเตียงทันที ค่อยๆ ไล่สายตาพลางก้มๆ เงยๆ หาของสิ่งหนึ่ง จวบจนหางตาเหลือบไปเห็นซองสีเงินๆ ที่ถูกฉีกแล้ว
เฮ้อ...โล่งอกไปที แม้จะเมาหนักแต่เธอก็พอจะจำได้ว่า มันแค่ครั้งเดียว ถ้ามีเจ้าสิ่งนี้อย่างน้อยเธอก็มั่นใจได้ว่าปลอดภัยไร้โรคและของแถมตัวเป็นๆที่จะตามมา
คราวนี้ไม่ต้องมองหาอะไรอีกแล้ว ร่างบางหมุนตัวกลับพร้อมเผ่นแน่บออกจากห้องทันที คอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองแห่งนี้คงเป็นที่พักชั่วคราวของเขากระมัง เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าขึ้นมาได้ยังไง แล้วตอนนี้ตัวเองอยู่ชั้นไหนก็ไม่รู้ ยิ่งเมื่อย้อนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็อยากจะร้องไห้ให้กับความบ้าของตัวเองจริงๆ
ส่วนเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงน่ะเหรอ?
“โอ๊ย...แม่คะ แม่จะบ้ารึไง คิดจะจับคู่หนูกับลูกชายของเพื่อนแม่ที่อายุห่างกันตั้งสามปี!! สามปีนะคะ หนูไม่มีนโยบายกินเด็ก อีกอย่างคงไม่มีเด็กคนไหนอยากได้คนแก่เป็นเมียหรอกค่ะ” ลูกสาวว่าเสียงกระเง้ากระงอดพลางส่ายหน้าไปมา ลำแขนเรียวกอดหมอนอิงไว้แน่น
“ตายแล้วลูกสาวคนนี้” มารดาทำท่าตกอกตกใจกับคำพูดก๋ากั่นของบุตรสาว “อย่าไปพูดอย่างนี้ให้ใครเขาได้ยินนะ เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ”
ร่างบางทิ้งตัวลงนอนบนตักผู้เป็นแม่พลางเกลือกหน้าไปมา “มินพูดจริงนี่คะแม่ เดี๋ยวนี้เขาต้องพูดตรงๆ กันแล้ว มามัวแต่อ้อมไปอ้อมมาก็ไม่ทันกินพอดี”
“ถึงยังงั้นก็เถอะ จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากรู้ไหม ยิ่งเราเป็นผู้หญิงยิงเรือ....”
“เคค่ะ” ลูกสาวลุกพรวดขึ้นนั่ง “มินไปแปลงเพศก็แล้วกันจะได้หมดเรื่อง”
ณภาริณได้แต่ขึงตามองบุตรสาวตัวแสบ จะพูดจะด่าก็ไม่ค่อยถนัดปาก ที่คนตรงหน้าแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่าผิดจากหน้าตาอ่อนหวานปานนี้ ความผิดส่วนหนึ่งก็เพราะนางตามใจมากเกินไป แม่ลูกสาวตัวดีถึงได้ก๋ากั่นเกินชาย
“พอเลยๆ หยุดความคิดพิเรนทร์ของเราเก็บเข้าไปกระเป๋าไปเลย ยังไงแม่ก็ยังอยากให้เราไปเจอกับน้องเขาซักครั้ง”
“โอยๆ ไม่ใช่ครั้งแรกนะคะที่อีตานั่นเบี้ยวนัด นี่มันครั้งที่หกร้อยแปดสิบสาม...โอ๊ย”
มือเรียวยกขึ้นลูบแขนเมื่อโดนมารดาประทุษร้าย “ไอ้ปากอย่างนี้นี่มันไปเอาเชื้อมาจาก...”
“พ่อครึ่งแม่ครึ่งค่ะ”
“เฮ้อ...ฉันจะเป็นลม”
“งั้นแม่ควรนอนพัก”
“ขึ้นไปแต่งตัวเลย เดี๋ยวน้าตุลได้คอยแย่เลย”
“แม่เคยถามน้าตุลแบบจริงๆ จังๆ รึยังคะ ว่าน้าตุลอยากได้สะใภ้แก่ๆ อย่างมินจริงเหรอ”
พูดจบร่างบางก็รีบกระโดดหลบมือเพชฌฆาตของมารดา “น้าตุลเอ็นดูเรามาแต่ไหนแต่ไร...”
“แต่ดูท่าลูกชายน้าตุลจะไม่เคยเอ็นดูลูกสาวแม่นะคะ ผิดนัดตลอด”
“นั่นก็เพราะตาต้นเขายังไม่เคยเจอลูกสาวแม่”
“แหมๆๆ มั่นใจจริงๆนะคะว่าลูกสาวตัวเนี่ยสวยหยาดฟ้ามาดิน” ไม่ว่าเปล่า ยัยตัวแสบยังทำท่าอรชรอ้อนแอ้นจนมารดาส่ายหน้า “ได้ข่าวว่าสาวที่ตาต้นของแม่ไปแอบชอบอยู่ก็สวยหยาด...ฟ้ามาดินเหมือนกันนะคะ”
ณภาริณได้แต่ยกมือขึ้นคลึงขมับลดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าที่เกิดจากบุตรสาวเป็นเหตุ “อันนั้นเขาสวยแต่รูป”
“มินว่ามินเองก็จูบไม่ค่อยหอมหรอกนะคะ แม่ก็รู้มินขี้เกียจอาบน้ำจะตาย” หญิงสาวยักไหล่ง่ายๆ แล้วต้องรีบเผ่นหนีฝ่ามืออรหันต์
ใบหน้าคมติดจะบูดบึ้งขณะทอดสายตาผ่านผนังกระจก เหม่อมองผู้คนที่เดินผ่านไปมานอกร้าน นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่แม่ของเขาพยายามจะจับคู่กับลูกสาวเพื่อน เพื่อนสนิทคนใหม่ที่ไปเจอกันในคอร์สหัดทำกระเป๋าผ้า นึกแล้วเขาก็ได้แต่กลอกตาขึ้นฟ้า แถมฝ่ายหญิงยังแก่กว่าเขาสามปี ไม่รู้ว่าแม่กำลังคิดจะทำอะไรจริงๆ
ผู้หญิงที่อายุเกือบจะเข้าเลขสามแถมยังไม่มีแฟน และ ทำแต่งาน ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าเป็นยายเพิ้งแน่ เขาไม่เข้าใจเลยว่าในเมื่อแม่ต้องการสาวเรียบร้อยมาเป็นลูกสะใภ้ ทำไมถึงไม่เคยถูกใจสายน้ำสักที ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีแต่คนรัก เอื้ออารีต่อคนอื่นเสมอ แถมยังมีรอยยิ้มสวยพิมพ์ใจที่ทำเอาเขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็น
“อ๊ะ มากันแล้ว” เสียงมารดาที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไป ไม่ได้สะกิดใจให้เขารู้สึกตัว คนตัวโตยังคงนั่งนิ่ง...นิ่งสงบจนเจอศอกแหลมของคุณนายตุลยากระทุ้งเข้าให้นั่นแหละ ชายหนุ่มจึงค่อยคืนสติหันไปมอง
ร่างบางในชุดเดรสสีเขียวแขนสั้นที่เดินตามมารดาเข้ามาทำให้เขาถึงกับอึ้งตะลึงจนเกือบจะทำคางร่วงจากมือที่เท้าอยู่
ไหนบอกว่าแก่กว่าเขา ดูจากใบหน้าเนียนสวยนั่นแล้ว
นี่มันเด็กมหา’ลัยชัดๆ!!
ชายหนุ่มจงใจเพ่งมองอย่างเสียมารยาท ขณะที่เธอทำเพียงเอียงคอแล้วยิ้มน้อยๆ นั่นมันยิ้มอย่างเอ็นดูเห็นๆ ต้นตระการได้แต่คิดอย่างเดือดดาลในใจ ยัยหน้าเด็กนี่มีสิทธิ์อะไรมามองเขาราวกับเด็กน้อย
“สวัสดีค่ะน้าตุล” หญิงสาวยอบตัวลงไหว้พลางยิ้มกว้างให้มารดา ก่อนจะเผื่อแผ่มาให้เขา
ชายหนุ่มทอดสายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาควรจะเปรียบคนตรงหน้าอย่างไรดี จะให้บรรยายคงยาก ผิวขาวๆ ตัวเล็กๆ ตากลมใสภายใต้แผงขนตางอนยาวนั้นมองมาอย่างเปิดเผย ยามเธอเยื้องยิ้มก็ทำให้เห็นรอยบุ๋มเล็กตรงข้างแก้ม ผู้หญิงตรงหน้าน่ารักน่ามองและบอบบางราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ใบหน้าสวยหวานใสติดตราตรึงใจคนมอง
“ตาต้น!!” มารดาของเขากระแอมเล็กน้อยกว่าที่ชายหนุ่มจะรู้ตัว
“สวัสดีครับป้าริณ เอิ่ม...พี่มิน” แค่ต้องเรียกคนตรงหน้าว่าพี่ เขายังรู้สึกกระดากปากเลย ขืนไปไหนด้วยกันแล้วเขาเรียกหล่อนอย่างนี้ คนอื่นคงพากันขำ
“มาๆ นั่งก่อนสิจ๊ะ” ตุลยารีบเชื้อเชิญแขกขณะที่ลูกชายได้แต่ใบ้สนิท
มือเรียวเล็กรับเมนูอาหารจากบริกรพลางไล่สายตาดู ไม่ได้สนใจร่างสูงตรงหน้าแม้แต่น้อย ทำกันอย่างนี้นี่มันหยามกันชัดๆ ชายหนุ่มได้แต่นึกโมโหขณะจ้องมองหล่อน
“พี่มินชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” แค่เขาเปิดปากพูดกับเธอ ผู้สูงวัยทั้งสองต่างส่งสายตาวิบวับให้แก่กัน
มินรญาเพียงเลิกคิ้วขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆแล้วปิดเมนู “ทานได้ทุกอย่างค่ะ”
เขาจึงรับหน้าที่เป็นผู้เลือกรายการอาหารแทนโดยที่แม่ๆทั้งสองแทบจะอิ่มอกอิ่มใจจนกินอะไรไม่ลง ชายหนุ่มเลือกอาหารมาห้าอย่างซึ่งก็ไม่มีใครเอ่ยท้วง
“ได้ข่าวว่าตอนนี้ที่บริษัทกำลังไปได้ดีเหรอจ๊ะ” ณภาริณเอ่ยถามชายหนุ่ม
“ครับ พอดีมีออเดอร์ล็อตใหญ่ของโรงแรมในเครือ เพชรตระการ น่ะครับ”
หญิงสาวพยักหน้าตามอย่างเข้าใจขณะที่ปล่อยให้มารดาเป็นผู้ซักถาม “โรงแรมใหญ่เลยนะนี่ ช่วงนี้พ่อต้นน่าจะยุ่ง”
“ก็นิดหน่อยครับ แต่เราวางงานไว้เป็นระบบและวางแผนล่วงหน้าไว้นานแล้ว ดังนั้นทุกอย่างก็ยังคงดำเนินไปได้อย่างราบรื่น”
“แหมน่าอิจฉาน้องตุลนะคะ” มารดาของหญิงสาวหันไปแซว “มีลูกชายเก่ง ดูสิมาช่วยบริหารธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย”
ตุลยารีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่หรอกค่ะ กว่าจะยอมหันมาสนใจกิจการที่บ้าน ก็เล่นเอาพ่อกับแม่เหนื่อยแทบจะถอดใจ บางทีมีลูกสาวน่ารักๆ ที่คอยเชื่อฟังอย่างหนูมิน น่าจะสบายใจกว่าต้องมารบรากับพ่อคนนี้ ว่าแต่ตอนนี้ที่ร้านเป็นยังไงบ้างจ๊ะหนูมิน”
หญิงสาวกำลังจะอ้าปากตอบ พนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟพอดี ทุกคนจึงเชื้อเชิญกันทานพลางพูดคุยไปด้วย “ก็กำลังจะไปเปิดสาขาที่สิงคโปร์ค่ะ”
“ว้าว แสดงว่าสาขาแรกที่มาเลเซียไปได้ดีใช่ไหมจ๊ะ”
มินรญาพยักหน้าอย่างถ่อมตัว “ก็พอไปได้ค่ะ”
“โอ๊ย สาขาสองสาขาสามเตรียมจ่ออย่างนี้ น้าว่าเกินกว่าคำว่าพอไปได้อีกจ๊ะ อย่างนี้ต้องเรียกว่าไปได้ดีมาก”
”ดีมากเกินไปก็ไม่ไหวค่ะ คนเป็นแม่อย่างเราเป็นห่วง นี่ก็ต้องเทียวบินไปบินมา แถมสาขาสามที่ญี่ปุ่นยังมาจ่อแล้ว”
“น่าภูมิใจออกค่ะ เดี๋ยวนี้ดีไซเนอร์เมืองไทยก้าวไกลไปทั่วโลกจริงๆ นะคะ ตุลเห็น แบรนด์เสื้อผ้าของไทยไปขายฝรั่งตั้งหลายเเบรนด์”
หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยพลางตักผัดผักให้มารดาของชายหนุ่ม “ใช่ค่ะ เดี๋ยวนี้เราสู้กันที่ความคิดสร้างสรรค์และความมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นจะหยุดอยู่กับที่แค่นาทีหนึ่งก็ไม่ได้ค่ะ”
“เฮ้อ...ฉันว่าเราเจอคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรงสองคนแล้วล่ะค่ะ” ผู้สูงวัยทั้งสองพากันหัวเราะชอบใจ
ตลอดมื้ออาหาร มารดาของทั้งสองพยายามจะซักถามเรื่องราวของแต่ละฝ่ายเพื่อเป็นการปูทางทั้งสองได้รู้จักเรื่องราวของกันและกัน โดยคนที่ถูกจับมานั่งทั้งคู่ได้แต่ยิ้มรับและตอบคำถาม จวบจนเสร็จสิ้น สองแม่ก็เกี่ยวก้อยกันไปเรียนทำกระเป๋าต่อ โดยทิ้งหญิงสาวไว้กับชายหนุ่มพร้อมกำชับให้เขาพาเธอไปส่งให้ถึงบ้าน
มินรญาทิ้งตัวพิงพนักพลางถอนหายใจ “เฮ้อ...จบกันซะที งั้นเราก็แยกย้ายกันตรงนี้เลยละกัน”
“คงไม่ได้...ถึงแม้ผมจะอยากทำ”
ห๊ะ...หญิงสาวถึงกับทำคางหล่น ตาบ้านี่จะตรงไปไหน อย่างน้อยตัวเธอก็เป็นหนึ่งในแก๊งค์สวยประหารนะ ไม่ต้องถึงขนาดทำท่าไม่ต้องการกันมากขนาดนี้ก็ได้ คิดแล้วก็เจ็บใจ เดี๋ยวแม่ก็แกล้งเสียให้เข็ดหรอกพ่อไก่อ่อน
“เฮ้อ...แล้วน้องจะเอายังไงคะ” เธอจงใจเน้นคำว่า น้อง จนคนฟังรู้สึกหงุดหงิดใจกับ ยัยหน้าประถมนมมหา’ลัย ตรงหน้าจริงๆ
“เดี๋ยวผมไปส่งมินเอง”
เอ๋? มิน..คืออะไร แล้วคำว่าพี่มันหายไปไหนยะอีตานี่ ชักจะกำเริบใหญ่แล้ว คิดจะลองดีกับเธอใช่ไหม ได้...
“แต่ พี่ อยากเดินดูของก่อน พี่ว่าน้องกลับไปก่อนเถอะจะได้ไม่เสียเวลา” คำก็น้อง สองคำก็น้อง คนฟังฟังแล้วก็คันหัวใจยิบๆ อยากจะกระชากคนตรงหน้ามาบีบจมูกเสียจริง ตัวก็เล็ก หน้าก็เด็ก ยังจะมาทำวางกล้ามอีก
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขนาดที่คนนั่งอยู่ต้องแหงนหน้ามองจนคอตั้ง แล้วจึงผายมือให้เธอ “งั้นก็เชิญ ผมมีเวลาให้สองชั่วโมง”
มินรญาลุกพรวดขึ้นอย่างหงุดหงิด กล้าดียังไงมาบังคับหล่อน และที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ หัวของตัวเองเกือบจะไม่พ้นไหล่เขาด้วยซ้ำ อีตาบ้านี่กินนมแทนข้าวรึไงนะ
“แต่พี่มีเวลาเหลือเฟือ” เธอเบ้ปากยักไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วออกเดินนำไป แกล้งยั่วโมโหเขาเล่นๆ