บทที่ 9
เธอกับเขาออกเดทกันมากว่าปีแล้ว บาร์ทเป็นบุรุษผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในฮิวสตัน ส่วนมากเขาจะเก็บตัวอยู่ข้างหลัง แต่มีดาบศักดิ์สิทธิ์ที่จะฟาดฟันวงการธุรกิจอันคมปลาบ ธุรกิจใหญ่ ๆ น้อยนักที่จะรอดพ้นสายตาของบาร์ทโดยที่เขาไม่มีความรู้หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
เขาเป็นที่รักใคร่ของบรรดานักข่าวไม่ว่าจะจากหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ ทุกคนล้วนชื่นชมเสน่ห์แบบโคบาลตะวันตกของเขา ภาพลักษณ์ที่เขาแสดงออกซื่อ ๆ เหนียมอายและราวไร้เดียงสา แต่ในสมองที่ปกคลุมด้วยเรือนผมดกดํานั้นคือความเป็นอัจฉริยะ สามารถจะหักคอเหยื่อให้ตายคามือได้โดยที่ผู้เคราะห์ร้ายไม่ทันรู้ตัวว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับตนเองเสียด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น การที่เธอได้รับความสนใจจากบาร์ท สแตนตัน จนถึงขั้นที่เขาอ้อนวอนขอหมั้นหมายนั้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นชัยชนะของผู้หญิงคนหนึ่ง เอรินรู้ว่าเธอเป็นที่อิจฉาริษยาจากผู้หญิงทั่วทั้งฮิวสตัน
เวลาที่อยู่กับเขา เธอจะได้รับการปรนนิบัติราวเจ้าหญิง ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนุกไม่น้อย แต่เมื่อเธอเริ่มสังเกตเห็นว่า ความรู้สึกของบาร์ทที่มีต่อเธอนั้นมันกําลังเคลื่อนเข้าไปสู่บางสิ่งที่รุนแรงกว่าความสนิทเสน่หาฉันเพื่อน เธอก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองรับไม่ได้
แม้ว่าเธอจะชอบเขามาก เคารพนับถือในสติปัญญาอันชาญฉลาดโดยเฉพาะในเรื่องของธุรกิจ และมีความสุขครั้งที่ได้ไปไหนมาไหนกับเขา แต่เธอก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะทําใจให้รักเขาได้
“ฉันจะสวมแหวนวงนี้ไว้ก็ได้ค่ะบาร์ท แต่โปรดเข้าใจเสียก่อนนะคะว่าไม่ใช่ข้อผูกมัดอะไร เพราะถึงยังไงตอนนี้ฉันก็ยังไม่คิดจะแต่งงานใหม่หรอกค่ะ มันยังเร็วเกินไป และนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเปลี่ยนใจเรื่อง...เอ้อ...เรื่อง”
“หลับนอนกับผมใช่ไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเท่าที่จะทําได้สําหรับคนอย่างบาร์ท สแตนตัน
“ค่ะ” เธอประสานสายตากับเขาแน่วนิ่ง
“ให้ตายสิ... คุณนี่เป็นผู้หญิงหัวรั้นที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมานะชูการ์” หางเสียงของเขาบอกความหงุดหงิดในอารมณ์ แต่แล้วก็หัวเราะลึกอยู่ในลําคอ “แต่ก็คงจะเป็นเพราะเรื่องนี้แหละที่ทําให้ผมรักคุณมาก แม่หนู” เขาโอบกอดเธอไว้ หลังจากนั้นเขาก็ประทับจูบลง
มันก็ออกจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่นับแต่นั้นเป็นต้นมาเขาไม่เคยขอให้เธอร่วมหลับนอนกับเขาอีกเลย แต่แน่นอนที่มันมีความตึงเครียดเกิดอยู่ระหว่างกัน...
“ผมว่ามันจะต้องมีเหตุผลอื่น ไม่ใช่เรื่องที่คุณเป็นสาวบริสุทธิ์หรืออะไรหรอก” เขาเอ่ยขึ้นในคืนหนึ่งที่เธอปฏิเสธคําเชิญของเขาให้ค้างอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ในฮิวสตัน “คุณเองก็เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วนี่”
เธอยอมรับในความใจแข็งของตัวเอง ไม่ใช่แต่เฉพาะตอนนั้น แต่ยังคงเป็นอยู่จนทุกวันนี้เห็นได้ชัดว่า นับแต่วันที่เธอรับแหวนหมั้นวงนั้นของเขาแล้ว บาร์ทต้องหาทางระบายอารมณ์ของตนเองกับผู้หญิงคนอื่นอีกหลายคน ซึ่งเอรินอดที่จะขอบใจผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้ ผู้หญิงที่สามารถให้ในสิ่งที่บาร์ทต้องการ สิ่งที่เธอไม่มีทางจะให้เขาได้
แสงยามบ่ายของนครซานฟรานซิสโกสร้างพรายรุ้งให้เกิดขึ้นในเหลี่ยมเพชร เมื่อเธอหมุนแหวนวงนั้น แล้วก็ถอนหายใจอย่างตัดสินใจแน่วแน่ บอกกับตัวเองว่า เมื่อเดินทางกลับไปถึงฮิวสตันครั้งนี้ เธอจะต้องเจรจากับบาร์ท พูดกันให้รู้เรื่อง เธอได้อ้างเหตุผลว่าจะต้องตามหาตัวพี่ชายให้พบมานานแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงเวลานี้เขาย่อมหวังที่จะแต่งงานกับเธอไม่วันใดวันหนึ่ง
ถ้าเธอจะเคยหวั่นไหวกับการตัดสินใจในเรื่องนี้มาก่อน เมื่อมาถึงวันนี้ วันที่ได้รับจูบจากล้านซ์ บาร์เรทท์ เอรินก็ยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ว่าเธอจะไม่แต่งงานกับบาร์ท สแตนตัน เด็ดขาด...
ความคิดคํานึงถูกขัดจังหวะด้วยเสียงประตูที่เปิดออก เมื่อเธอเหลียวหลังไปมองก็เห็นเมลานี่ที่กําลังชะโงกหน้าเข้ามามอง
“มิส โอ’เชียใช่ไหมคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงเขินอาย “เห็นมิสเตอร์บาร์เรทท์บอกว่าคุณอยากพบฉัน”
เอรินพยายามกลั้นหัวเราะไว้อย่างสุดความสามารถ เธอเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านของผู้หญิงคนนี้ แต่กระนั้น เจ้าของบ้านก็ยังแสดงท่าราวกับกําลังขออนุญาตที่จะเดินเข้ามาในห้อง
เธอเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกไปหาพี่สะใภ้
“เมลานี่...”
หญิงสาวปิดประตูตามหลังลงอย่างแผ่วเบา จับมือเอรินไปกุมไว้แน่น ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอยู่เป็นครู่ คล้ายประเมินความรู้สึกของกันและกันอยู่ และแล้วต่างก็โผเข้าสู่อ้อมกอดด้วยความรักนั้นพี่กับน้องสาว
หัวใจของเอรินรานร้าว เมื่อสัมผัสอาการสะท้านที่เกิดอยู่กับไหล่ของเมลานี่ ไม่ได้นึกเสียดายเสื้อสวยที่รองรับน้ำตาของอีกฝ่ายหนึ่งแม้แต่น้อย เธอลูบไล้เรือนผมเมลานี่พร่ำปลอบโยนอยู่ตลอดเวลา ว่าทุกสิ่งที่ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยลงในเวลาอันไม่ช้า แต่น้ำตาของเธอก็นองหน้าด้วยเช่นกัน
หยาดน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่บนแก้ม เมื่อเมลานี่ผละออกจากอ้อมแขนของเอริน
“เราทำอะไรเหมือนกันทั้งคู่เลยนะ” เอรินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “มานั่งตรงนี้ก่อนเถอะนะคะ เราจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น”
“ฉันต้องขอโทษอย่างมากเลยค่ะ มิส โอ’เชีย...” เมลานี่สะอื้น “ที่จริงฉันอยากจะทําอย่างนี้ตั้งแต่ตอนที่...ที่เคน...ทําอย่างนั้นแล้ว ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ” เธอส่ายหน้าอยู่ไปมา สีหน้าสลดเศร้า สายตาที่มองหน้าเอรินอยู่ในยามนี้ชอกช้ำอย่างเหลือประมาณ
“เรียกฉันว่าเอรินเถอะนะคะ”
“คุณเป็นน้องสาวเคนจริง ๆ หรือคะนี่” สตรีผู้เพิ่งผ่านวัยสาวมาได้ไม่นานเอ่ยถามขึ้น มันมีแววแห่งความหวังแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“จริงเหมือนที่ฉันพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลยล่ะค่ะ” เอรินตอบอย่างจริงใจ
“หน้าตาคุณเหมือนเขามาก” เมลานี่บอก เมื่อพิจารณาหญิงสาวอยู่
“จริงหรือคะ...” เอรินร้องเสียงดังแล้วก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความยินดีอย่างที่สุด “แล้วคุณมีรูปเขาบ้างหรือเปล่า”
“มีสิคะ เยอะแยะไป” เมลานี่รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ ลืมความหม่นหมองในจิตใจไปชั่วครู่ เมื่อเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ล้านซ์ บาร์เรทท์ ยืนพิงอยู่ เอรินอดจะคิดถึงท่าทางของเขาในตอนนั้นไม่ได้ และรู้สึกชิงชังตัวเองไม่น้อยที่ถึงอย่างไรความคิดเกี่ยวกับตัวเขาก็ยังวนเวียนอยู่ในสมองของเธออยู่ดี
“นี่เป็นรูปวันแต่งงานของเรา” เมลานี่บอก
“คุณกับเขาแต่งงานกันมานานเท่าไหร่แล้วคะ” เธอนึกขึ้นมาได้ว่า ได้ตั้งคำถามนั้นกับล้านซ์มาครั้งหนึ่งแล้ว และเขาก็ตอบเธออย่างคลุมเครือเต็มที
“สี่ปีค่ะ” เมลานี่เดินมาทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างเอริน เปิดอัลบั้มสีขาวขนาดใหญ่ออก “นี่ไงคะ...เขาละ”
เอรินดึงอัลบั้มจากมือเมลานี่มาดูด้วยตัวเอง ใจหายเมื่อจับตามองผู้ชายที่ยืนยิ้มอยู่ในรูปนั้น
ภาพของเขาเริ่มพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตาที่ขึ้นมาคลอคลอง เธอปาดมันออกอย่างรวดเร็ว เพื่อจะมองใบหน้าของพี่ชายให้ชัดเจนขึ้น เขาเป็นคนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหญิงสาวเอวบางร่างน้อยที่กําลังเงยขึ้นมองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความชื่นชมบูชา เรือนผมของเขาเป็นสีดำสีเดียวกับของเอริน แม้ว่ามันจะไม่ดูนุ่มนวลเท่าของเธอก็ตาม
ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความเป็นสายเลือดเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด คิ้วเข้มคู่นั้นรูปเดียวกับคิ้วของเอรินไม่มีผิด แม้ริมฝีปากของเขาจะไม่อวบอิ่มเท่า แต่เค้าหน้าของเธอกับเขาเหมือนกันอย่างน่าแปลกใจ
“เขาหล่อมากเลยนะ คุณว่าไหม” เอรินถามด้วยน้ำเสียงแหบห้าว ลําคอตีบตันด้วยแรงอารมณ์
“ใช่ค่ะ” เมลานี่ตอบอย่างกระตือรือร้น “ฉันหลงรักเขาตั้งแต่นาทีแรกที่ฉันเดินเข้าไปในแบงค์ แล้วก็เห็นเขานั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ ฉันถามแด้ดดี้ว่าพนักงานคนใหม่เป็นใคร แต่ตอนนั้นแด้ดดี้ยังไม่รู้จักชื่อเขา ฉันก็เลยเป็นหน้าที่ที่จะต้องสืบหาเอาเอง”
“คุณพ่อของคุณทํางานอยู่ธนาคารเดียวกับเคนหรือคะ”
“พ่อเป็นประธานกรรมการของธนาคารแห่งนั้นค่ะ” เมลานี่ตอบอย่างใจลอยพลิกหน้าอัลบั้มในมือไปเรื่อย ๆ
เอรินบดย่อยข้อมูลดังกล่าวอยู่เงียบ ๆ ขณะพยักหน้าอย่างชื่นชมเมื่อเมลานี่ชี้ให้เธอดูรูปต่าง ๆ พร้อมกับอธิบายถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับรูปนั้น ๆ ให้ฟัง บอกตัวเองอยู่ว่า เธอจะดูอัลบั้มนี้อย่างเป็นการส่วนตัว เมื่อมีเวลามากกว่านี้ แต่ขณะนี้ ความรู้ที่ว่าบิดาของเมลานี่เป็นถึงประธานธนาคารที่เคนเนธทํางานอยู่ กําลังรบกวนจิตใจเธออย่างที่สุด
ว่าแต่...ความรู้สึกดังกล่าวนั้นรบกวนจิตใจเคนเนธด้วยหรือเปล่า... เป็นไปได้หรือไม่ที่มันจะกลายมาเป็นเหตุผลที่ทําให้เขาถึงกับยักยอกเงินของธนาคารไปอย่างนั้น...
“อย่าหาว่าฉันสอดรู้สอดเห็นเลยนะคะเมลานี่ แต่ฉันอยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับพี่ชายให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ เท่าที่ดูรู้สึกว่าคุณอ่อนกว่าเขาหลายปีอยู่นะคะ”
“ใช่ค่ะ” เมลานี่ตอบอย่างยอมรับ หลบตาลงต่ำ “เขาแก่กว่าฉันสิบปี ตอนที่เราแต่งงานกัน ฉันเพิ่งยี่สิบเท่านั้น แม่กับแด้ดดี้โกรธมากตอนที่เราบอกให้รู้ว่าจะแต่งงานกัน...เราแอบเดทกันลับ ๆ มาตลอด อาจจะเป็นเพราะฉันมาตลอดเวลาว่า พ่อแม่ฉันไม่เต็มใจที่เห็นฉันออกเดทกับเคนก็ได้...”
“แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าท่านทั้งสองต้องการจะให้ฉันออกเดทกับลูกชายของเพื่อนท่านคนไหนก็ได้มากกว่า ชายหนุ่มพวกที่ต้องไปเล่นเทนนิส เล่นกอล์ฟที่คันทรี่ คลับ ทุกวัน แล้วก็ยังออกไปเล่นเรือใบทุกวันหยุดสุดสัปดาห์นั่นแหละค่ะ...”
“แต่ฉันไม่เคยสนใจใครเลย ฉันรักเคนตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาจูบฉันแล้วก็ขอโทษ...อ้อนวอนให้ฉันยกโทษให้ เขาทํากับฉันอย่างนั้น...” ดวงตาคู่สีน้ำตาลเป็นประกายพราวเมื่อนึกถึงความสุขแต่หนหลัง “และฉันก็บอกเขาว่า ฉันไม่ได้โกรธเขาเลย”
แต่พ่อแม่ของคุณโกรธแน่...เอรินคิดอยู่ในใจ