บทที่ 4 จับดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพงจวน 2
“จริงหรือ? นางพูดแบบนั้นออกมาจริงๆ หรือ?” กงไป๋อวี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเครียดขึง
“จริงเจ้าค่ะซือจื่อ บ่าวได้ยินมาเต็มสองหู องค์หญิงแปดผู้นั้นพูดชัดเจนว่ามีแผนการในใจ” สาวใช้รายงานในสิ่งที่ตนเองได้ยินมาหมดเปลือก
“แล้วในแต่ละวันนางออกไปพบปะผู้ใดบ้างหรือไม่?”
“ไม่เคยพบปะผู้ใดเลยเจ้าค่ะ มีเพียงออกนอกจวนไปเดินเที่ยวชมเมืองและซื้อของในตลาดครั้งหนึ่งเท่านั้น”
ยิ่งฟังกงไป๋อวี่ก็ยิ่งรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นไปอีก ในเมื่อนางไม่เคยพบปะผู้ใด แล้วแผนการในใจอะไรนั่นของนางคืออะไร สตรีตัวเล็กรูปร่างบอบบางเพียงนั้นจะวางแผนอะไรเพียงคนเดียวได้อย่างไร?
...แต่ก็ช่างเถิด ไม่ว่าแผนการของนางจะเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจเทียบได้กับแผนการของเขาที่เตรียมไว้รอคอยนางอยู่เบื้องหน้าในอีกไม่นานนี้ได้
“จับตาดูนางต่อไป ห้ามคลาดสายตาแม้แต่น้อย นางจะทำอะไร กินอะไร พูดคุยกับผู้ใดข้าต้องได้รู้ทุกเรื่อง”
“เจ้าค่ะซือจื่อ”
หลังจากสาวใช้คนนั้นออกจากห้องหนังสือไป คนสนิทของกงไป๋อวี่นามว่าเกาติงก็เดินเข้ามา เกาติงเป็นทหารหนุ่มฝีมือดีที่เติบโตร่วมกันมากับกงไป๋อวี่ ดังนั้นแล้วหากจะกล่าวถึงความซื่อสัตย์ต่อจวนอ๋อง เกาติงผู้นี้ย่อมไม่เป็นสองรองใคร
“มีความคืบหน้าอะไรบ้าง” คนเป็นนายเอ่ยถามทันทีที่เห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามาในห้อง
“เรียนซือจื่อ อีกไม่เกินสามวันขบวนเดินทางของคนผู้นั้นก็จะมาถึงเมืองฉายจี๋แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“รวดเร็วถึงเพียงนั้น? ...แต่ก็ดี ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี เกาติง เช่นนั้นในระหว่างนี้เจ้าไปเตรียมการให้พร้อม เรามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องได้คนผู้นั้นมาอยู่ในกำมือให้จงได้”
“ขอรับซือจื่อ”
ระยะเวลาเจ็ดวันนั้นจะว่านานก็ไม่นานเท่าใดนัก จะว่าเร็วก็มิได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น ทว่าสุดท้ายไม่ว่าจะช้าเร็วอย่างไรสุดท้ายวันนั้นย่อมต้องมาถึง ซ่งชิงเยียนในชุดแต่งงานสีแดงลวดลายมงคลถูกสาวใช้ประคองแขนซ้ายขวาเข้ามาในโถงใหญ่ที่วันนี้ถูกจัดให้เป็นห้องสำหรับทำพิธีแต่งงานระหว่างนางกับกงไป๋อวี่
ร่างสูงในชุดสีแดงปักลายเมฆาด้วยดิ้นสีทองมองตรงยังเบื้องหน้าตนเองด้วยรอยยิ้ม กงไป๋อวี่ไม่คิดว่าองค์หญิงแปดที่เขาเห็นเมื่อเกือบหนึ่งเดือนก่อนนั้นจะมีรูปโฉมโนมพรรณที่งดงามน่าทะนุถนอมถึงเพียงนี้ สมแล้วที่เป็นสตรีที่เติบโตอยู่ในวังหลวง หน้าตาผิวพรรณงดงามไร้ที่ติสมแล้วที่มีคำกล่าวว่ามังกรย่อมไม่ออกลูกเป็นงูดิน ความงดงามของนางไม่ทำให้เขาอับอายผู้คนเลยจริงๆ
แม้ว่าทัศนียภาพเบื้องหน้าของซ่งชิงเยียนจะถูกบดบังด้วยผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว แต่ถึงกระนั้นความหนาของผ้าผืนเล็กนั่นก็มิได้มีมากเสียจนมองสิ่งใดไม่เห็น
ซ่งชิงเยียนทอดสายตาผ่านผ้าคลุมมองไปยังเบื้องหน้าที่มีบุรุษผู้หนึ่งในชุดสีแดงปักลายเมฆายืนอยู่ไม่ไกล ไม่ต้องใช้สมองส่วนใดใคร่ครวญเลยก็คิดว่าบุรุษผู้นั้นแน่นอนว่าเขาจะต้องเป็นเจ้าบ่าวของนางอย่างแน่แท้...กงไป๋อวี่
ซ่งชิงเยียนลอบถอนหายใจไปเปลาะหนึ่งพร้อมกับพูดในใจว่านางโชคดีแล้วที่เจ้าบ่าวของนางในวันนี้เป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง มิใช่คนรูปชั่วตัวเตี้ยหรืออัปลักษณ์มาจากไหน
สารภาพจากใจจริง...สำหรับงานแต่งงานในวันนี้ หญิงสาวกลัวเหลือเกินว่าเจียเฉิงอ๋องจะให้คนอื่นมาปลอมกายมาเป็นบุตรชายของตนแล้วให้แต่งงานกับนาง สาเหตุเพราะกงไป๋อวี่ผู้นั้นอาจจะมีนางในดวงใจอยู่ก่อนแล้ว เรื่องถูกบังคับให้แต่งงานเพราะราชโองการอภิเษกสมรสนั้นจึงเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายไม่สามารถรับเอาไว้ได้
ความจริงแล้วนางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองมีความคิดแบบนั้นได้เช่นไร ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าการขัดราชโองการนั้นถือเป็นความผิดร้ายแรง เจียเฉิงอ๋องย่อมไม่ต้องการหาเหาใส่หัวให้ตัวเอง
แต่ถ้า...ถ้าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจในความสำคัญของราชโองการฉบับนั้นเล่า?
หากพวกเขามีความคิดที่จะเปลี่ยนใจเป็นอื่นจริงๆ อย่างที่เสด็จทรงระแวง...ไม่แน่ว่าบุรุษตรงหน้าก็อาจจะมิใช่บุตรชายแท้ๆ ของเจียเฉิงอ๋อง อาจจะเป็นบุตรบุญธรรมหรือไม่ก็ใครสักคนที่เขาสามารถใช้เป็นเบี้ยหมากได้ในอนาคต
ซ่งชิงเยียนยิ่งคิดก็ยิ่งใจสั่น นางรู้ว่าตนเองอาจจะคิดมากไป ผู้คนในงานแต่งงานมีมากมายหลายร้อย เป็นไปได้หรือที่พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีใครเคยเห็นหน้าของกงไป๋อวี่และถ้าหากว่าเจ้าบ่าวในวันนี้ไม่ใช่เขา เป็นไปได้หรือที่แขกเหรื่อในงานจะไม่มีท่าทีแปลกประหลาดอะไรเลย
เป็นนางที่คิดมากไป... เลอะเลือน...เลอะเลือนจริงๆ
“คำนับฟ้าดินนนนนน!!”
ไม่รู้ว่าหญิงสาวมัวแต่วุ่นวายอยู่กับความคิดอันฟุ้งซ่านของตัวเองไปมากแค่ไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีมือของนางก็ถูกปล่อยออกจากมือของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าวเสียแล้ว อีกทั้งเสียงประกาศของชายชราที่เป็นผู้นำพาทำพิธีก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับสติของนางที่เพิ่งกลับมา
“ยินดีด้วยนะขอรับท่านอ๋อง ในที่สุดซือจื่อก็ได้แต่งงานเสียที”
“ยินดีด้วยขอรับ ท่านอ๋อง ขอให้ซือจื่อมีทายาทโดยเร็ววันนะขอรับ”
“ยินดีด้วยขอรับท่านอ๋อง ขอให้...”
เสียงคำอวยพรยินดีจากบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายถูกทิ้งวันที่เบื้องหลังเพราะเมื่อเสร็จงานพิธีในโถงใหญ่แล้วเจ้าสาวอย่างซ่งชิงเยียนก็ถูกพาตัวมายังเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางปีกขวาของจวนอ๋อง ห้องใหญ่ริมสุดฝั่งขวาถูกจัดให้เป็นห้องของฮูหยินเอกในซือจื่อ
ซ่งชิงเยียนถูกพาตัวเข้ามาในห้องหอนี้โดยมีตี้ฉางและสาวใช้อาวุโสผู้หนึ่งเดินมาส่ง จางมามาเป็นสาวใช้อาวุโสของจวนอ๋อง เดิมทีนางเป็นคนของพระมารดาของซือจื่อผู้ล่วงลับ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดทุกวันนี้นางจึงกลายเป็นคนของพระชายาเอกของเจียเฉิงอ๋องคนปัจจุบันซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของกงไป๋อวี่ไปได้ก็ไม่มีใครรู้
“ขอบคุณจางมามาที่มาส่ง” ซ่งชิงเยียนเอ่ยขอบคุณหญิงวัยกลางที่คาดคะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะอายุประมาณสี่สิบกลางๆ
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะฮูหยิน เป็นหน้าที่ของบ่าวที่ต้องดูแลเจ้าสาวของซือจื่อ สุราอาหารตั้งอยู่ทางนั้น ฮูหยินอาจจะต้องรอซือจื่อนานสักหน่อย ต้องการสิ่งใดทานรองท้องก่อนหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะไปหามาให้” จางมามาเอ่ยด้วยท่าทางมีน้ำใจ
“ข้าไม่ต้องการอะไร ขอบคุณจางมามาที่เป็นห่วง” ซ่งชิงเยียนเอ่ยตอบ
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกบ่าวต้องออกไปรออยู่ด้านนอกก่อนแล้วนะเจ้าคะ”
“องค์หญิง”
“ออกไปรออยู่ด้านนอกเถิดตี้ฉาง ที่นี่ไม่มีอะไร” ซ่งชิงเยียนว่า จากนั้นก็ขยับกายเล็กน้อยให้ท่านั่งเข้าที่เข้าทาง
วันนี้นางรับหน้าที่เป็นเจ้าสาว ก่อนดวงตะวันของวันพรุ่งนี้จะโผล่พ้นขอบฟ้า นางยังต้องทำหน้าที่ในคืนนี้ให้ดีที่สุดเพราะว่ามันหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตจากนี้ไปอีกหลายปีของนาง
ทว่า...ซ่งชิงเยียนกลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ภายในห้องหอแห่งนั้นนอกจากถูกตกแต่งให้เป็นห้องหอแล้ว ยังถูกเตรียมการไว้เพื่อเป็นโรงละครอีกด้วย
จะเป็นอย่างไรเล่า? ...ถ้าดอกซิ่งกิ่งนั้นไม่เคยย่างกรายออกนอกกำแพงด้วยตนเอง หากแต่เป็นมนุษย์และบุญกรรมที่จัดแจงและชักนำให้ซิ่งดอกน้อยนั้นต้องโผล่พ้นขอบนอกชานเรือนไป...
“ซ่งชิงเยียน...เจ้ากล้าสวมหมวกเขียวให้ข้าหรือ!?” กงไป๋อวี่เอ่ยถามลอดไรฟัน
“...!”