ตอนที่ 2 ความลับที่ถูกซ่อนไว้
ความรู้สึกที่คล้ายกับถูกเข็มนับพันกำลังทิ่มแทง ในอกมันเป็นเช่นนี้ หญิงสาวหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงแหบแห้งไร้เรี่ยวแรง
"ตอนนี้ท่านน่าจะรู้ใช่หรือไม่ ว่ามันเป็นเพียงแผนการที่ถูกสร้างขึ้นมา ป๋อเหวินรู้เช่นนี้แล้ว ท่านยังจะตกแต่งนางเข้ามา เพื่อทำร้ายข้าอยู่อีกหรือไม่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ข้าเชื่อเสมอว่าต่อให้คนทั่วทั้งใต้หล้านี้ดูถูกข้า ว่าเป็นสตรีไร้ค่า แต่ขอเพียงแค่มีท่าน ที่เชื่อมั่นและมองข้าด้วยสายตาแบบนั้น ก็ทำให้ข้ามีแรงที่จะต่อสู้ต่อไปได้… ในเมื่อท่านเป็นผู้ก่อ งั้นท่านลองบอกข้ามาทีว่าท่านจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร"
"ในคืนนั้นพวกเราต่างก็เมามายทั้งคู่ จะโทษนางเพียงฝ่ายเดียวก็มิได้ ข้าเองก็มีส่วนผิด แต่ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้ว ว่าจะมีเพียงเจ้า แต่เด็กในท้องของนาง ถึงอย่างไรนั่นก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ลู่เสียนหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ"
"ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้อยู่ดี" หานรั่วหลานแหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
"รับได้หรือไม่ได้เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เลือก ขยะที่ไร้ซึ่งพลังธาตุเช่นเจ้า หากให้ ข้าได้เลือก ก็คงจะเลือก สะใภ้ ที่โดดเด่นและมีความสามารถอย่างหานเฟิงอี้มากกว่า อีกทั้งนางยังอุ้มครรภ์หลานของข้าอยู่ หากเจ้าไม่สามารถทำใจกว้าง รับนางเข้ามาได้ งั้นเจ้าก็จงเขียนหนังสือหย่าให้กับโอรสของข้าเสีย"
คราวนี้เป็นพระสุรเสียงของไทเฮาที่ตรัสออกมา การปรากฏตัวของพระนาง คล้ายกับได้ถูกวางเอาไว้แล้ว หานรั่วหลานคล้ายกับดิ้นอยู่บนฝ่ามือของคนเหล่านี้โดยไร้ซึ่งทางสู้
"เสด็จแม่พระองค์มาได้อย่างไร"
"ป๋อเหวินแม่รู้ว่าเจ้า รู้สึกเช่นไร ครั้งหนึ่งเจ้าเคยให้สัตย์สาบานเอาไว้แล้วว่าจะมีชายาเพียงคนเดียว เพราะเจ้ารู้แล้วว่าการที่บุรุษผู้หนึ่งที่มากภรรยานั้น สร้างปัญหาให้กับเจ้าได้มากมายเพียงใด ความเกลียดชังของบุตร ที่สามารถเข่นฆ่ากันเองได้เพื่ออำนาจ ทำให้เจ้ารู้สึกชิงชัง"
เฉินหลิวหยางเป็นพระโอรสที่ถือกำเนิดจากพระสนมกุ้ยเฟย เขาฝ่าฟัน จนสามารถไต่เต้าชิงตำแหน่งฮ่องเต้มาให้กับพระเชษฐาของตนเองได้ แต่กว่าที่จะผ่านมาจนถึงจุดนี้ ก็ผ่านเรื่องราวมาไม่น้อย ความสำเร็จที่เหยียบย่ำ มาจากศพของพี่น้อง ต่างมารดา ศพแล้วศพเล่า ทำให้จิตใจของเขาเกิดความชิงชัง และสัตย์สาบานกับตนเอง ว่าจะมีชายาเพียงคนเดียว และเลี้ยงดูบุตรชายหญิงของตนเอง ให้มีความรักใคร่ปรองดองกัน เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ตัวเขาเองก็รู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้หานรั่วหลาน จะถือเป็นสตรีไร้ค่าเป็นขยะที่ไม่เคยเกิดขึ้นใน แผ่นดินต้าหยาง นางเป็นสตรีที่ไร้ซึ่งปราณธาตุ การถือกำเนิดของนาง ถือเป็นความอัปยศของตระกูล ผู้เป็นมารดาถึงแม้จะดำรงตำแหน่งฮูหยินเอก แต่เพราะให้กำเนิดบุตรสาวที่ ไร้ค่าเช่นนี้ จึงทำให้ผู้เป็นสามีและแม่สามี เกิดความชิงชัง เป็นผลพลอยให้ชีวิตของนางไม่ราบรื่นเท่าที่ควรนัก หลังจากให้กำเนิดบุตรสาวเพียงไม่นาน เพราะความชอกช้ำใจที่ถูกสามีเมินเฉย และถูกกลั่นแกล้งจากแม่สามี จึงทำให้นางล้มป่วย และเสียชีวิตลงไปในที่สุด ทิ้งบุตรสาว ไว้เพียงลำพัง ข้างกายของนางมีเพียงแม่นมหลิว ที่คอยดูแลนางมาประดุจแม่แท้ๆ ตั้งแต่แบเบาะ เฉินหลิวหยางรู้ความจริงในข้อดี จากความรู้สึกสงสารก่อเกิดเป็นความรักใคร่ในที่สุด ไม่ว่าจะมีผู้ใดทัดทานถึงความไม่เหมาะสมของทั้งคู่ แต่เขาก็หาได้สนใจ
หานรั่วหลานเองก็รู้สึกว่าเขารักนางด้วยใจจริง และค้นพบถึงความรักที่บริสุทธิ์อย่างลึกซึ้ง ที่ไม่เคยได้รับจากผู้ใด แม้แต่ผู้เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดนั่นจึงทำให้นางทอดมองเขาเปรียบประหนึ่งต้นไม้ใหญ่ที่คอยแผ่กิ่งก้านสาขา ปกป้องนางเอาไว้จากลมแดดลมฝน
"แต่นั่นก็ถือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า เจ้าควรไตร่ตรองให้ดี และแม่ก็ไม่ยอมโดยเด็ดขาด หากเจ้า จะไม่รับนางเข้ามา เด็กที่ถือกำเนิดขึ้นมาโดยปราศจากมารดาคอยอบรมสั่งสอน เจ้าต้องการให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ ขนาดเขายังไม่ถือกำเนิด ชายาของเจ้ายังมีจิตใจเหี้ยมโหดคิดสังหารเขาได้อย่างเลือดเย็น เจ้าจะไว้ใจให้สตรีเช่นนี้มาเลี้ยงดูบุตรของเจ้าได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ ป๋อเหวินเรื่องนี้ แม่อยากให้เจ้าลองไตร่ตรองให้ดี ว่าผู้ใดควรเก็บไว้ผู้ใดควรละทิ้ง"
เมื่อกล่าวประโยคหลังเสร็จ ฟางไทเฮาก็ทอดมองมาที่หานรั่วหลานด้วยสายตาชิงชัง "สตรีที่ไร้ค่าเช่นนี้ จะคู่ควรให้เจ้าถึงขนาดทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองได้จริงๆ หรือ"
"พี่หญิงใหญ่ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องทุกอย่างเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างหาได้เป็นเช่นที่ท่านเข้าใจ ข้าหาได้วางแผน เพื่อต้องการ จะครอบครองสามีของท่าน ข้าหาได้ต้องการจะทำให้ครอบครัวของท่านต้องมีปัญหา ข้า…"
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสำนึกผิดอย่างสุดประมาณ หญิงสาวกล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ล้มลงหมดสติอีกครั้ง เฝิงซื่อผู้เป็นมารดาอยู่ใกล้ที่สุดจึงรีบคว้าร่างของบุตรสาวเอาไว้
"อี้เอ๋อร์…!!!"
นั่นจึงเป็นเหตุให้หมอหลวงต้องมาตรวจดูอาการของนางอีกรอบ ในขณะที่ หมอหลวงกำลังตรวจดูอาการของนาง เฝิงซื่อก็ได้กล่าวออกมาว่า "สตรีที่กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ไม่ควรให้มีเรื่องมากระทบจิตใจ ชินอ๋องหากพระองค์ไม่อยากเสียบุตร คนแรกของพระองค์ไป ก็ควรจะไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี"
หานรั่วหลานที่เงียบฟังอีกฝ่ายอยู่นาน สะบัดกายเดินจากไป นางไม่อยากอยู่ที่ตรงนี้แม้เพียงอีกเค่อเดียว เฉินหลิวหยางเห็นเช่นนั้นจึงได้รีบเดินตามอีกฝ่ายออกมา เขา คว้าข้อมือของนางเอาไว้ แต่หญิงสาวกลับสะบัดออก เฉินหลิวหยางไม่ยอมปล่อย เขายิ่งกำชับข้อมือของนางให้แน่นยิ่งขึ้น
"ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ มันทำให้เจ้าเจ็บปวด แต่ตัวข้าเองก็รู้สึกผิดหวังในตัวเองไม่ต่างกัน แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงสตรีเดียวที่ข้ารัก ลู่เสียนให้อภัยข้าสักครั้งเถิดนะ"
นางเอ่ยตอบเขาทั้งที่ไม่ได้หันกลับมาทอดมองดวงหน้าของอีกฝ่าย "ท่านเคยบอกว่าเด็กที่ถือกำเนิดจากมารดาคนละคนกันนั้น จะเติบโตมาอย่างไม่มีความสุข และรู้สึกเกลียดชังพี่น้องของตนเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ท่านไม่อยากให้บุตรชายหญิงของท่านเดินซ้ำรอยเดิมของตนเองที่ต้องสังหารพี่น้องคนแล้วคนเล่า แล้วตอนนี้เล่า ท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ มันแตกต่างอันใดกับที่ท่านเกลียดชัง"
"ข้า…"
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกล่าวได้เพียงเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถมีคำใดผุดออกมาได้อีก หญิงสาวจึงถอนหายใจ พร้อมกับกล่าวตอบอีกฝ่ายด้วยเสียงเย็นชา
"ตอบไม่ได้ใช่หรือไม่ เมื่อเรื่องมาถึงตรงนี้ คงยากที่ท่านจะเลี่ยงรับนางเข้ามาได้ ข้ามีเพียงต้องทำใจยอมรับเท่านั้นกระมัง เฝิงซื่อกับเสด็จแม่เป็นสหายสนิทกัน ถึงอย่างไรนางก็คงไม่ยอมปล่อยให้บุตรสาวของตนเองท้องลูกไม่มีพ่อหรอก" นางเอ่ยออกมาคล้ายกับรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที "ข้าอยากอยู่ลำพัง ท่านปล่อยให้ข้าได้คิดอะไรเถิด"
หานรั่วหลานเดินจากมา คล้ายกับแต่ละย่างก้าวของนางนั้น เต็มไปด้วยขวากหนาม หัวใจของนางรู้สึกคล้ายกับมีใบมีดนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงมันอยู่ แม่นมหลิวเดินเข้ามาปลอบใจหญิงสาว ด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ
"พระชายา"
"ข้าน่าจะเชื่อท่านเหตุใดข้าถึงดูนางไม่ออก"
"เรื่องมันผ่านไปแล้ว ต่อจากนี้พระชายาควรที่จะคิดดีกว่าว่าจะรับมือกับสองแม่ลูกนั้นอย่างไรดี"
หญิงชราลูบไปบนศีรษะของอีกฝ่าย เพื่อหวังปลอบประโลม หานรั่วหลานโผเข้ากอดแม่นมหลิวเอาไว้แน่น คล้ายกับจะใช้เป็นที่ยึดหลักสุดท้ายในชีวิตของนาง
หลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันนั้น เฉินหลิวหยางก็พยายามที่จะเข้ามาพูดคุยกับอีกฝ่าย แต่ถูกนางปิดประตูตำหนักเอาไว้ ไม่ยอมให้เขาเข้ามา ฟางไทเฮาเองก็มีพระราชโองการ ให้หานเฟิงอี้ตกแต่งเข้ามาในตำหนัก ของเฉินหลิวหยางในฐานะชายารองในที่สุด เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เขาก็ยากจะปฏิเสธได้ อีกทั้งลูกในท้องของนาง ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง
หานรั่วหลานทอดมองความวุ่นวายเบื้องหน้าแล้วก็ให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน นางควรที่จะพึ่งพาตนเอง มากกว่าที่จะคิดพึ่งพาผู้อื่น เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงหันไปเอ่ยกับแม่นมหลิวด้วยแววตาที่ดูเปลี่ยนไป
"ท่านช่วยไปนำ รายการทรัพย์สินและร้านค้าของมีค่าทั้งหมด ที่ท่านแม่ได้ทิ้งไว้มาให้ข้าที"
"เกรงว่าตอนนี้คงจะเหลือไม่มากแล้ว เพราะถูก เฝิงซื่อมาขอไปเป็นสินเดิม ให้กับคุณหนูรองในตอนที่นางแต่งออกไปก็มากโข"
"สมบัติเหล่านั้นเป็นเพียงสมบัติที่ท่านแม่ต้องการให้พวกเขารับรู้ว่ามี ข้าไม่ได้สนใจหรอกว่ามันจะเหลือมากหรือน้อยแต่ที่ข้าสนใจคือ กิจการลับทั้งหมด ที่ท่านแม่ซุกซ่อนเอาไว้ต่างหาก ข้าอยากจะรู้ว่าหลังจากที่ ผ่านมาหลายปี ภายใต้การดูแลของข้ามันเริ่มงอกเงยขึ้นมามากเพียงใด"
ในเมื่อผู้คนในยุคสมัยนี้ ต่างไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งอำนาจและอำนาจของพวกเขานั้น คือพลังธาตุที่คล้ายกับเป็นตัววัดถึงหน้าตา และสิ่งที่ผู้คนนับถือ หานรั่วหลานที่ไม่มีปราณธาตุในตัวตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมา นางจึงให้ความสนใจเกี่ยวกับการค้าและทำมันได้ดี จนมีกิจกาลับมากมาย จนสามารถเรียกได้ว่านางคือเศรษฐีนี ผู้มั่งคั่งผู้หนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งความลับนี้นางไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดทราบ แม้กระทั่งสามีของนางเอง หญิงสาวทำการค้าจนเจริญรุ่งเรืองไปจนถึงต่างแคว้น และมีสายลับที่เอาไว้ใช้ในการสืบข่าวมากมายครอบคลุมทั้งห้าแคว้นนี้ ต่อให้ผู้คนให้ค่ากับปราณธาตุแล้วอย่างไร ในเมื่อนางมีทรัพย์สมบัติที่ใช้ทั้งชาตินี้ก็ไม่มีวันหมด
ผู้มีปราณธาตุยังต้องกินต้องใช้ ขับถ่ายหลับนอน และยึดอาศัยเกี่ยวกับปัจจัยในการดำรงชีวิตพื้นฐานมิใช่หรือ พวกนาง ยังต้องการเครื่องประดับความมั่งคั่ง และความสุขสบายในชีวิต แม้แต่เฝิงซื่อที่ได้เป็นถึงฮูหยินเอกของแม่ทัพผู้ชาญศึก อย่างบิดาของนาง แต่เพราะนางขาดซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้สามีของนางต้องรับฮูหยินรองและอนุภรรยาเข้ามามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพวกนางมีพื้นหลังเป็นบุตรีของคหบดีผู้มั่งคั่ง หญิงสาวจึงได้เรียนรู้ว่า อำนาจหรือ ปราณธาตุหรือ ต่อให้มีอีกสิบธาตุ ก็ต้องแพ้ให้กับพลังอำนาจของเงินอยู่ดี
'ข้าจะทำให้พวกเจ้าดูว่าการมีเงินอยู่ในมือนั้นจะสามารถดลบันดาลสิ่งใดได้บ้าง'