2
เนื่องจากมีผ้าผูกปิดตาเขาไว้ และผิวกายส่งไอร้อนไม่หยุด นางผู้อ่านออกเขียนได้ จึงคะเนว่า เขากำลังการรักษาโรคประหลาด ไม่ก็ขับพิษร้ายอยู่ โดยอาศัยเตียงหินนั่นเอง
หญิงสาวอดเป็นห่วงคนผู้นั้นไม่ได้ ยิ่งเห็นร่างกายเขาสั่นขึ้นเรื่อยๆ จึงถอดผ้าคลุมของตน หวังห่มร่างกายแกร่งนั้น
ทว่าเป็นอึดใจเดียวกันที่นางต้องตกใจ เมื่อคนที่นอนอยู่คล้ายรับรู้ได้ถึงการเป็นอยู่ของอิ่นสิ่งอี้
โอ้... นี่คงเรียกได้ว่า เป็นการทำบุญบูชาโทษโดยแท้ อีกฝ่ายรั้งร่างนางไปอยู่บนแท่นหินกว้างด้วยกัน จากนั้นโลกอิ่นสิงอี้ก็คล้ายจะหยุดหมุน
กายแกร่งเคลื่อนมาโถมทับร่างบอบบาง มือใหญ่ข้างหนึ่งบีบลำคอระหงไว้
นางไม่ใช่ผู้ร้าย ไม่มีวรยุทธ์ด้วยซ้ำ หากคนผู้นี้กระทำรุนแรงต่อนางเหลือเกิน
แรงบีบนั้นค่อยๆ ผ่อนปรนลง เมื่อน้ำตานางไหลออกจากทางหางตา ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงขาดห้วงบอกเขา
“หะ หายใจไม่ออก ทะ ท่าน... ข้ามิใช่ศัตรู ไม่ได้คิดร้ายอันใด”
“เข้ามาที่นี่ได้เยี่ยงไร”
อิ่นสิงอี้ไม่เห็นว่าเขาขยับริมฝีปาก แต่เสียงนั้นส่งถึงโสตประสาทนาง วรยุทธ์คนผู้นี้ล้ำเลิศนัก
“ข้าเพียงแต่ไม่สบายตัว อยากหาที่เย็นๆ อยู่อย่างสงบสักพัก ร่างกายเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว กระทั่งได้พบไอเย็นจากแท่นหินนี้ ทว่า... มีท่านนอนอยู่ ถ้าหากเป็นการล่วงเกิน ขะ ข้าก็ขออภัย”
“แต่เจ้าร้องไห้ คงเป็นข้าที่ทำผิด เยี่ยงนี้คงต้องปลอบขวัญ” เขาสื่อสารออกมาเช่นนั้น และจู่โจมนางอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ... อื้อ... มะ ไม่ได้”
นางร้องประท้วง และเป็นแค่เสียงเท่านั้นที่ปฏิเสธชายปริศนา ด้วยร่างกายกลับมีแรงปรารถนาซึ่งไม่อาจหักห้ามไว้ได้
เหตุใดอิ่นสิงอี้ จึงเป็นสตรีที่ไร้ยางอายนัก
ในหัวนางคิดถึงภาพต่างๆ ที่ชอบแอบดู ทั้งหนังสือภาพใต้หมอนของเจ้าสาว และยังชอบไปฟังเรื่องลับๆ ที่คนเล่านิทานสัปดนจัดการแสดงให้เหล่าสตรีแม่หม้ายหญิงตามตรอกสำนักโคมเขียวฟัง
แล้วเหตุใดอิ่นสิงอี้จึงชอบเรื่องแบบนั้น คงเพราะมันทำให้นางลืมการกดขี่ข่มเหง จากแม่เลี้ยง น้องสาว รวมถึงท่านย่าที่มักเข้มงวดกับนาง อีกทั้งนางเป็นคนงาม มีชายหนุ่มหล่อเหลาคลั่งไคล้เสมอ นางจึงยอมรับว่า ชอบเพ้อฝันว่าตนได้ครองรักชายแสนดีสักคน แต่อนิจจา ในจวนอิ่น ล้วนมีแต่คนอยากผลักไสนางไปให้ ขุนนางบ้าตัณหา เพราะพวกเขาริษยาความงามของอิ่นสิงอี้
“อื้ม... อี๊... ไม่นะ!”
อิ่นสิงอี้ร้องอย่างนั้นอีกหน ก่อนที่ริมฝีปากนางจะถูกอีกฝ่ายชกชิมอย่างเร่าร้อน
เขาดูด ขบเม้มเบาๆ เพียงเท่านั้นวิญญาณก็เหมือนจะหลุดออกจากร่าง
พอนางใช้สองมือทุบไหล่หนา ก็กลายเป็นว่าทำให้ร่างกายชายหนุ่มที่มีผ้าผืนบาง และเสื้อคลุมนางปกปิดอยู่เลื่อนหล่นออกจากตัวเขา
หญิงสาวไม่อยากเห็นเรือนกายที่ชวนให้หวามใจ นางอยากวิ่งหนีสุดชีวิต ด้วยคาดคะเนได้ว่า ตนคงไม่อาจสลัดเรื่องเลื่อนเปื้อนในหัวได้แน่ หากใกล้ชิดอีกฝ่ายเช่นนี้ อาจเป็นนางที่ปลุกปล้ำอีกฝ่าย!
“ปล่อย...”
บอกเขาแล้ว แต่นางกลับตอบรับเรียวลิ้นสากร้อนที่ตวัดอยู่ในโพรงปากของตน
เขาใช้ลิ้นไล่ต้อนนางด้วยความชำนาญ ดักทางไม่ให้นางหลบพ้น ลิ้นสากและอุ่นจัดตวัดเย้าหยอก ดูดรัดพันกันไปมา
ส่วนมือใหญ่ๆ ล้วงเขาไปในสาบเสื้อ คลึงเน้นหน้าอกอวบสวยของอิ่นสิงอี้ สมองนางขาวโพลนชั่วขณะ นิ้วเขายาวใหญ่แข็งแรง และปลายนิ้วเขาหยาบเล็กน้อย ยิ่งปลุกความเสียวสยิวให้นางจนส่งเสียงกระเส่าไม่หยุด
ความหวานซาบซ่านคล้ายระเบิดลูกแล้วลูกเล่าที่ทำงานไม่หยุด และมันแตกติดๆ กันอย่างรุนแรง ส่งผลทำให้กายสาวสั่นสะท้าน ยิ่งเขาแตะยอดถันสีผลอิงเถาของนางที่แข็งขัน แล้วบีบบี้ จนมันสู้มือ อิ่นสิงอี้ก็ส่งเสียงสูงต่ำ สลับไปมา
“ทะ ท่าน... ยั้งมือเถิด... ข้าไม่ใช่สตรีที่จะทำเรื่องน่าละอายกับคนแปลกหน้าได้ หากท่านยังรังแกเช่นนี้ ขะ ข้า...อยู่ก็มิสู้ตายเสียดีกว่า”
อีกฝ่ายหยุดนิ่งชั่วขณะ ริมฝีปากบางที่มุมด้านบนเป็นหยักสวยขยับไหว คล้ายจะสื่อสารบางสิ่งกับนาง และอิ่นสิงอี้ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังเข้าในหู
“หากแม่นาง มีความปรารถเช่นข้า จงอย่าผลักไสเลย แม้ข้าต่ำต้อยกว่าธุลีดิน ก็จะรับผิดชอบการกระทำทุกอย่างของตน ขอเพียงเรื่องระหว่างเรานี้ไม่ใช่การข่มเหง หรือทำให้แม่นางรู้สึกว่า กำลังถูกเอาเปรียบ”
ชายปริศนามีวิธีหว่านล้อมสตรีเช่นนี้เอง ฝ่ายอิ่นสิงอี้แม้ไม่ฉลาดเฉลียว แต่นางยอมรับว่า ยามนี้ได้ถูกเขาปรนเปรอด้วยลิ้นสากร้อน ทั้งสองมือใหญ่ๆ มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เหลือเกิน
อึดใจต่อมา มือหนึ่งยังคงนวดเฟ้นหน้าอกนาง แต่อีกมือเลื่อนลงต่ำ และอิ่นสงอี้ยอมปล่อยใจ ปล่อยความรู้สึกให้นำทาง ด้วยนางก็อยากก้าวผ่านความกลัวนี้ มันคือความรู้สึกที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากำลังเป้นสุข
เสียงเล็กๆ กู่ก้องร่ำร้องในใจ หากนางต้องตกเป็นของบุรุษสักคน ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ คือตัวเลือกที่นางอยากให้เขากระทำต่อนาง อย่างไม่ออมมือ!