บทที่ 1 ปิดล้อมเพื่อจับกุมคนร้าย
วันนี้กุ้ยเฟยอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย เมื่อคืนเป็นวันเกิดของนาง นางสวมผ้าโปร่งบางรอฝ่าบาททั้งคืน แต่ฝ่าบาทกลับไม่เสด็จมา
พอรุ่งสาง นางรับรู้จากนางกำนัลว่า
เมื่อคืนฝ่าบาทไปประทับแรมที่ตำหนักของเฉินเฟยแล้ว
นางกับเฉินเฟยนั้นเป็นศัตรูกันโดยสิ้นเชิง
หลังจากทุ่มของจนพังไปทั่วทั้งตำหนัก
สายตาของนางก็หยุดลงบนตัวข้าซึ่งหมอบอยู่บนเบาะนั่งฟาง
ข้าเลียอุ้งเท้าอย่างเกียจคร้าน แล้วร้องเหมียวตอบนางไปหนึ่งเสียง
เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าข้าเป็นดวงนำโชคของนาง ก็รีบสั่งให้นางกำนัลแต่งตัวให้ทันที
นางจะไปที่ตำหนักเฉินเฟย เพื่อแย่งฝ่าบาทกลับมา
พอมาถึงหน้าประตูตำหนักเฉินเฟย ก็เห็นฝ่าบาทกำลังเคียงคู่แนบแน่นกับเฉินเฟยพอดี
“หม่อมฉันขอถวายบังคมเพคะ”
กุ้ยเฟยเห็นเฉินเฟยกำลังช่วยจัดเครื่องแต่งกายให้ฝ่าบาท จึงซ่อนความชิงชังในดวงตา
ฝืนยิ้มอย่างน่าสงสารที่สุดออกมา
“อวี้หรูปวดท้องทรมานอยู่ทั้งคืน ข้าต้องอยู่ข้าง ๆ นางถึงจะหลับลง เลยลืมสั่งคนไปแจ้งเจ้า ลมหนาวแรงนัก ครั้งหน้าอย่าได้เอาแต่ใจอีก!”
ฝ่าบาทเอ่ยแต่คำปลอบโยนกุ้ยเฟย แต่พระวรกายกลับไม่ขยับ แม้แต่จะประคองนางก็ยังไม่ทำ
“สตรีในวังหลังของฮ่องเต้มีมากมาย แต่ไม่มีผู้ใดให้กำเนิดรัชทายาทได้เลย
แม้กุ้ยเฟยจะได้รับความโปรดปรานเพียงใด ก็ยังไม่อาจแข่งกับเฉินเฟยได้
“บุตรของเฉินเฟย ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายหรือองค์หญิง ล้วนถือเป็นพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้ทั้งสิ้น”
เมื่อข้าเห็นกุ้ยเฟยสุดจะตัดพ้อ จึงโดดออกจากอ้อมแขนของนาง กางอุ้งเท้าพุ่งตรงไปยังหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของเฉินเฟย
เพราะข้าเป็นแมวสุภาพอยู่เสมอ ไม่เคยซุกซนหรือทำร้ายใคร จึงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าข้าจะโจมตี
กรงเล็บของข้าไม่ได้ตัดแต่งมานาน นางกำนัลที่มาช่วยตัดมักถูกข้าไล่จนหนีกระเจิง
พวกนางรู้ว่าข้าคือสุดดวงใจของกุ้ยเฟย
จึงไม่กล้าฝืนใจข้า
ปลายเล็บแหลมคมของข้า จึงข่วนลงไปบนหน้าท้องของเฉินเฟยโดยตรง
ข้ามองปุยนุ่นสีขาวลอยฟ่องขึ้นกลางอากาศแล้วตกลงบนโต๊ะอย่างสงบงาม
“ใจกล้านักเฉินเฟย! เจ้ากล้าถือท้องลวงหลอกฝ่าบาทรึ!”
เมื่อกุ้ยเฟยเห็นปุยนุ่น สีหน้าก็พลันปรากฏความยินดีขึ้นทันควัน
“ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดต่อพระองค์!
หม่อมฉันหลงผิดไปชั่วขณะจึงก่อเรื่องโง่เขลาเช่นนี้…”
เฉินเฟยตกใจจนหน้าถอดสี คุกเข่าลงตรงหน้าฝ่าบาท ฟาดศีรษะลงพื้นไม่หยุด
จนเลือดไหลก็ยังมิได้หยุด
ฝ่าบาททรงไม่อยากฟังคำแก้ตัว เสด็จหนีไปด้วยความเดือดดาล
ก่อนเสด็จออกไป ฝ่าบาทได้มีพระราชโองการลดฐานันดรศักดิ์ของเฉินเฟย
และตัดเบี้ยหวัดสามปี
กุ้ยเฟยเห็นว่าข้าช่วยเปิดโปงการแกล้งครรภ์ของเฉินเฟย จึงดีใจยิ่งนัก
อุ้มข้าตามเสด็จฝ่าบาทออกไปทันที
ข้าจับได้ว่าในดวงตาของเฉินเฟย
ทันทีที่กุ้ยเฟยหันหลังให้ ได้ปะทุความเคียดแค้นล้นฟ้าออกมา
ข้าจึงหาวเบา ๆ อย่างเกียจคร้าน
หลังจากนั้น ฝ่าบาททรงสะเทือนพระราชหฤทัยอย่างหนัก
มักประทับแรมในตำหนักของกุ้ยเฟย
แทบไม่เสด็จไปที่อื่นเลย
จนกระทั่งวันนี้ ฝ่าบาทประทับอยู่ที่นี่สามวันสามคืนแล้ว แม้แต่เข้าเฝ้าราชการยามเช้าก็ยังมิได้เสด็จ
เมื่อเห็นฝ่าบาททรงบรรทมลึก กุ้ยเฟยจึงลุกจากที่ นุ่งอาภรณ์บางเบา อุ้มข้าที่ขดตัวอยู่บนเบาะนั่งฟางขึ้นมา
นางลูบขนสีขาวบริสุทธิ์ของข้าอย่างอ่อนโยน จุมพิตข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางบอกว่าข้าไม่เสียแรงเป็นดวงนำโชคของนาง มีข้าอยู่เคียงข้าง การชิงพระทัยไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว
นางรักข้ายิ่งกว่าสิ่งใด
ข้าเหลือบมองโคมไฟข้างพระแท่นบรรทม
ตบผงเครื่องหอมจื่ออินที่ยังเหลือติดอุ้งเท้าเบา ๆ
พลางกลอกตาใส่นางหนึ่งที
นางพาข้าไปชิงพระทัย แน่นอนว่าย่อมไม่ล้มเหลว
เพราะข้ามีกลิ่นหอมจื่ออินหนึ่งกอง
ที่ทำให้ฝ่าบาทติดใจอย่างลึกซึ้ง
ทุกครั้งที่ฝ่าบาทเสด็จมาที่ตำหนักของกุ้ยเฟย ข้าจะลอบโรยมันลงในโคมไฟเสมอ
