บทที่ 2 นับว่าเป็นโชคชะตา
บทที่ 2 นับว่าเป็นโชคชะตา
เปรี้ยง เปรี้ยง! ซ่า ซ่า….
เสียงฟ้าร้องแข่งกับสายฝนเป็นระลอก ๆ แม้จะเป็นยามค่ำคืนแต่เมื่อแสงสายฟ้าฟาดลงมาเผยให้เห็นว่าตอนนี้บ่าวรับใช้ในเรือนกำลังจับร่างของสตรีมาโยนทิ้งที่หน้าผาเพื่อจัดการตามที่นายท่านบอก เมื่อเสร็จสิ้นรีบพากันเดินทางกลับ ร่างของหนิงเซียนตกลงมาโชคดีที่ด้านล่างเป็นพุ่มหญ้าปกคลุมทำให้ร่างกายของนางไม่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม
ในยามนั้นมีนักพรตกับลูกศิษย์ที่ออกเดินทางไปเรื่อย ๆ โดยไร้จุดหมายเมื่อที่นอนหลับค่ำคืนนี้เกิดฟ้าฝนกระหน่ำลงมาทำให้นอนไม่ได้ จึงพากันเดินออกมาจากที่เดิมเพื่อหาที่หลบฝน บัดนั้นนั่นเองทั้งสองเดินผ่านมาพบเห็นร่างคนที่นอนแน่นิ่ง ลูกศิษย์จึงได้เอ่ยถามนักพรต
"ท่านอาจารย์นั่นไม่ใช่คนหรือขอรับ? "
"นั่นสิว่าแต่เป็นผู้ใดกันสภาพถึงเป็นเช่นนี้หล่นลงมาอย่างตั้งใจหรือว่าถูกกระทำเจ้าลองเข้าไปแตะชีพจรดูสิว่ายังมีชีพจรอยู่หรือไม่? "นักพรตบอกแก่ศิษย์ เขารีบเดินเข้าไปใกล้จับกายของนางพลิกหงายขึ้นเมื่อเห็นยามแรกเขาสะดุ้งอย่างตกใจเพราะสายฟ้าฟาดลงมาพอดีเผยให้เห็นใบหน้าเละของหนิงเซียน
เปี้ยง!
"เฮือก! "
"เกิดอะไรขึ้นหรือว่าร่างไร้วิญญาณเสียแล้ว"
"มิใช่ขอรับข้าเพียงตกใจเท่านั้น ใบหน้าของคนผู้นี้ดูไม่ได้เลยขอรับ อีกอย่างนางเป็นสตรีข้าคิดว่านางมิได้กระโดดลงมาเองแน่นอนเท่าที่ดูร่างกายของนางถูกทำร้ายชีพจรของนางยังคงมีอยู่แต่เหลือเพียงน้อยนิด เราจะทำอย่างไรดีขอรับท่านอาจารย์" ลูกศิษย์เอ่ยถามท่านอาจารย์อีกครั้ง หากปล่อยเอาไว้นางคงไม่รอดพ้นความตายแน่ หากช่วยเหลือก็ช่วยได้ทัน
"อย่างนั้นเจ้าแบกนางขึ้นมาเถอะในเมื่อนางบาดเจ็บขนาดนี้อยู่แต่ยังพยายามจะมีชีวิตอยู่นับว่านางมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ข้าจะช่วยเหลือนางเอง "
"ขอรับท่านอาจารย์" เมื่อสิ้นเสียงเขาได้แบกร่างของนางขึ้นหลังพากันเดินผ่าฝนจนกระทั่งถึงกระท่อมร้างแห้งหนึ่ง
ท่านนักพรตผู้นี้เป็นผู้ที่บำเพ็ญเพียงมานานมีวิชาพลังที่สามารถช่วยเหลือคนเขาจึงเดินทางไปเรื่อย ๆ เพื่อช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือดร้อน แต่มิได้ช่วยเหลือทุกคนหากมีโชคชะตาร่วมกันให้เขาได้พบระหว่างทางเขาถึงจะช่วยเหลือ เช่นเดียวกับสตรีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟางที่อยู่ในกระท่อมร้างยามนี้
"ข้านำร่างนางนอนลงตรงนี้แล้ว จะออกดูว่ามีไม้พอให้จุดไฟเพิ่มความอุ่นได้หรือไม่? แต่ว่าอาจารย์เท่าที่ข้าแบกนางมาร่างกายของนางแตกสลายทั้งแขนทั้งขา หากท่านอาจารย์ช่วยเหลือคงใช้พลังลมปราณมากน่าดูเลยขอรับ"
"เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงการช่วยเหลือคนเท่ากับเพิ่มพลังลมปราณตนเอง เจ้าไปหาดูไม้มาจุดให้ร่างกายของนางอบอุ่นเร็วเข้า นี่คงยามสี่แล้วอีกไม่นานฟ้าคงสว่างข้าจะช่วยเหลือนางตอนที่แสงตะวันขึ้นโผล่ขึ้นฟ้า” ผู้เป็นอาจารย์รีบบอกกล่าวศิษย์ของตนเพราะสตรีที่อยู่ตรงหน้าสำคัญที่สุดในตอนนี้
ลูกศิษย์เร่งรีบทำตามที่อาจารย์บอก จัดการหาฟืนที่อยู่ในกระท่อมร้างมาจุดไฟเพื่อให้ร่างกายของหนิงเซียนอบอุ่นขึ้นมา
ไม่นานนักแสงตะวันเริ่มโผล่ขึ้นท้องฟ้าบัดนี้ฝนหยุดตกลงมาท้องฟ้าเปิดแจ่มใสแสงแดดเริ่มสาดส่องมาเข้ามากระท่อมนักพรตนั่งสมาธิระหว่างที่รอท้องฟ้ามีแสง
“ท่านอาจารย์เช้าแล้วขอรับ ยามนี้ท้องฟ้าเปิดแล้ว ข้าจะออกไปหาอาหารเช้าละแวกนี้มาให้นะขอรับ” นักพรตลืมตาขึ้นกวาดตาจ้องมองออกไปด้านนอก ก่อนจะจ้องร่างกายของหนิงเซียน
“เจ้าลองเดินดูแถวนี้หากมีตลาดช่วยซื้ออาภรณ์มาเปลี่ยนให้นางใหม่พร้อมกับยาบรรเทาอาการปวดให้นางด้วย เมื่อเจ้ากลับมาข้าค่อยทำการรักษานาง”
“ขอรับท่านอาจารย์” ไป๋ฉีลูกศิษย์ของนักพรตรับเงินจากอาจารย์หลังจากนั้นเขาได้เดินสำรวจหาตลาดไม่นานก็มาถึง เขาเลือกซื้อทุกอย่างตามที่อาจารย์สั่งมา อีกทั่งยังหาซื้ออาหารที่โรงเตี๊ยมกลับไปด้วย
เมื่อกลับมาถึงกระท่อมท่านอาจารย์สั่งการให้เขาเปลี่ยนอาภรณ์ให้แก่หนิงเซียนแม้เขาจะเป็นบุรุษแต่เขาช่วยเหลือผู้คนมามากมายอีกอย่างร่างกายของหนิงเซียนแตกหักจนแทบไม่น่าดูเขารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางจนเสร็จ อาจารย์ของเขาทำการตรวจลมปราณของหนิงเซียนก็พบว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บจนแทบไม่สามารถรักษาได้เลยด้วยซ้ำ หากเป็นคนทั่วไปไม่แน่อาจจะตายไปแล้วเพราะมิอาจจะทนบาดแผลไม่ไหว แต่ทว่าร่างกายนี้มีจิตที่แข็งแกร่งอยากมีชีวิตอยู่ นักพรตมิอาจจะปล่อยไปได้หากนางต้องการมีชีวิตอยู่เขาจะช่วยเหลือนางเอง
ครั้นใช้พลังตนเองช่วยเหลือให้กระดูกของนางสมานเข้ากันได้ แต่ทว่าข้างในของนางต้องใช้เวลาอีกนานในการรักษา ใบหน้าของนางไม่ดูไม่ได้แม้แต่น้อย นักพรตใช้พลังของตนเองจัดการเปลี่ยนแปลงใบหน้าของนางราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน
เวลาล่วงเลยไปเกือบสองชั่วยาม ไป๋ฉีใจจดใจจ่อเฝ้ารออาจารย์อยู่ด้านนอกระหว่างที่รักษาเขาไม่อาจจะอยู่ด้านในได้ เขาเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจสักพักเสียงฝีเท้าของอาจารย์ได้เดินออกมา
“อาจารย์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” ไป๋ฉีรีบเขาไปพยุงเมื่อเห็นใบหน้าของอาจารย์ที่ซีดเซียวเนื่องจากใช้พลังช่วยเหลือหนิงเซียนเป็นเวลานาน
“ข้าเคียงแค่พักสักครู่เดี๋ยวจะดีขึ้น ยามนี้สตรีนางนั้นร่างกายของนางอาจจะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ทว่าภายในของนางต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะฟื้นฟูกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ ช่วยพยุงข้าไปใกล้ ๆ สายธารด้านหน้านั้นที ข้าต้องการอยู่ในที่ ๆ เงียบสงบเพื่อทำสมาธิระหว่างนั้นเจ้าช่วยดูแลนางที ไม่แน่นางอาจจะฟื้นขึ้นมาในวันนี้ ที่นี่คงไม่มีผู้ใดอยู่ระหว่างที่นางจะกลับมาแข็งแรงข้ายังต้องช่วยเหลือนางอีกมาก เราจะพักอยู่ที่นี่กันก่อนจนกว่านางจะหายดีถึงจะเดินทางต่อไป ฝากเจ้าจัดการด้วย” ไป๋ฉีไม่เข้าใจอาจารย์เลยแม้แต่น้อย หากปล่อยให้คนใกล้ตายได้ตายสู้ไม่ดีกว่าต้องใช้พลังของตนเองช่วยเหลือเช่นนี้หรอกหรือ เขาไม่เห็นด้วยที่อาจารย์ต้องลงแรงช่วยเหลือสตรีที่ไม่รู้จักนี้ด้วยซ้ำ
“ท่านอาจารย์ข้าไม่เข้าใจสักนิดเหตุใดท่านต้องช่วยเหลือสตรีนางนั้นมากถึงเพียงนี้กัน เพียงแค่ข้าดูด้วยตาเปล่ายังมองออกว่าอีกไม่นานนางคงต้องตาย สู้อาจารย์เก็บพลังลมปราณของตนเอาไว้ปล่อยให้นางหายใจโรยรินจนหมดลมไปเองจะดีกว่านะขอรับ” นักพรตส่งสายตาเขม็งจ้องมองลูกศิษย์ก่อนจะเอ่ยเสียงแข็ง
“เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าจริงหรือไม่? นี่มิใช่ครั้งแรกที่ข้าช่วยเหลือผู้คน ข้าสั่งสอนเจ้าอย่างไร”
“ข้าขอโทษขอรับท่านอาจารย์ จากนี้ศิษย์จะไม่สงสัยและห้ามท่านอาจารย์อีกแล้ว หากจะอยู่ที่นี่จนกว่านางจะแข็งแรงข้าจะเก็บกวาดกระท่อมหลังนี้ให้น่าอยู่เสียก่อนขอรับ” เขาก้มหน้าลงต่ำพลางสำนึกผิด ก่อนจะพาอาจารย์ ไปที่โขกหินนั่งทำสมาธิ ส่วนตัวของเขากลับไปที่กระท่อมจ้องมองร่างสตรีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง จึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ทันทีที่เห็นใบหน้าใจของเขาเต้นตึกตักเมื่อตอนที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเหตุใดใบหน้าของนางไม่ได้ดูเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ใบหน้าของนางเละจนมองไม่ออกว่าเป็นสตรีหรือบุรุษแต่ทว่ายามนี้เพียงแค่เห็นครู่เดียวน่าดึงดูดน่าสนใจยิ่งนัก
“นี่คงเป็นเพราะอาจารย์ช่วยเหลือเอาไว้สินะ! นี่แม้เจ้าจะมีใบหน้างดงามแล้วแต่ข้าก็ยังไม่ชอบเจ้าอยู่ดี เพราะเจ้าทำให้ข้ากับท่านอาจารย์ต้องหยุดเดินทางอยู่ที่นี่และท่านอาจารย์ยังช่วยเหลือเจ้าจนร่างกายของตนเองเสียพลังไปมาก เฮอะ! นี่ข้าจะมาพูดกับนางที่ไร้สติทำไมรีบไปจัดการกระท่อมหลังนี้ให้น่าอยู่ดีกว่า” ไป๋ฉีพูดจบได้เดินไปสำรวจในตัวเรือนจัดการปัดกวาดเช็ดถู โชคดีที่กระท่อมร้างนี้มีของใช้มากมายที่ถูกทิ้งไว้อีกทั่งยังอยู่ใกล้แม่น้ำอีกด้วย หากอยู่ที่นี่คงไม่ยากลำบากอันใด