บทย่อ
“คนอย่างคุณ มีแค่ร่างกายเป็นชายมีสมองเป็นคนที่ไร้สามัญสำนึกในความรับผิดชอบ..เหมือนหนอนในกองคูถ ต่อให้คลุกคลีอยู่กับสิ่งที่ดีสิ่งที่สะอาดแค่ไหนก็ย่อมต้องหันเหเข้าหาหนทางที่เป็นต้นกำเนิดแห่งสันดานจนได้..”
ตอนที่ 1
“จะไปจริง ๆ หรือคะคุณหนู..”
แม่สงวนเอ่ยถามเมื่อมองเห็นหญิงสาววัยยี่สิบสามปีที่ยังอ่อนเยาว์ เตรียมเก็บเสื้อผ้าทั้งของเธอเองและของหนูน้อยวัยห้าขวบ
“จริงสิคะป้าตอนนี้ลูกไทรอายุ ห้าขวบแล้ว..แกจำเป็นต้องมีพ่อ ในเมื่อพ่อเขายังอยู่ จะให้ผู้ชายคนนั้นไม่รับผิดชอบอะไรเลยไม่ได้..”
น้ำเสียงหวานหูดังออกมาอย่างหนักแน่น สายตาคมที่เจือแววหวานฉายแววมุ่งมั่นอย่างเด่นชัด
ร่างบางระหงในชุดเดินทางที่ทะมัดทะแมง เป็นกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดสีขาวแขนยาวคลุมทับด้วยแจ็คเก็ตสีน้ำตาล
ใบหน้าหวานละไมที่ดูสวยหวานและอ่อนเยาว์หันไปมองหน้าเด็กหญิงตัวน้อยวัยห้าขวบที่กำลังสดใสร่าเริงที่วิ่งตรงเข้ามาหาเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดูยิ่ง
“คุณแม่..”
“จ๋าลูก..ไปไหนมาคะคุณแม่จะเดินทางแล้วนะคะ..”
ร่างบางกลมกลึงด้วยความสูง ร้อยหกสิบเซนฯ ย่อกายคุกเข่าลงพร้อมกับสวมกอดหนูน้อยคนนั้นเอาไว้แน่น
หนูน้อยหันมาหาแม่สงวน
“คุณยายล่ะคะ..”
“ยายไม่ไปหรอกลูก..ยายจะอยู่ที่นี่รอให้หนูกับคุณแม่กลับมานะคะ..”
“พิณไปนะคะป้าขา..ฝากบ้านด้วย..แล้วป้าเองก็ดูแลสุขภาพให้ดีนะคะ..เสร็จธุระแล้วริณจะรีบกลับ..”
พิณธารีพูดจบก็หันไปคว้ากระเป๋าเดินทางด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งก็รวบข้อมือของหนูน้อยลูกไทรเอาไว้ก่อนจะก้าวเดินออกจากบ้านสวน ที่อบอวนไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ
เธอพาลูกไทรเดินออกมาจนถึงหน้าบ้านก่อนจะหันไปโบกมือลาแม่สงวนที่เดินออกมายืนส่ง ด้วยน้ำตาที่อาบใบหน้า
“ไปเถอะลูก..หนทางยังอีกไกล..”
พิณธารีก้มหน้าลงบอกกับเด็กหญิงตัวน้อยแล้วก็ก้าวขึ้นรถสองแถวที่แล่นผ่านมาแล้วจอดรับไปส่งผู้โดยสารยังสถานีขนส่ง
พิณธารีจองตั๋วรถแล้วก็ขึ้นไปนั่งยังที่นั่ง รอเวลาสักพักรถก็เคลื่อนตัวออกมุ่งหน้าเข้ามายังกรุงเทพฯมหานครที่กว้างใหญ่แล้วแปลกตา
------------------------
“แม่ขาเราจะไปไหนกันคะ..”
พิณธารีหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมามองดูชื่อที่อยู่ซึ่งเป็นลายมือของพี่สาวของเธอเขียนเอาไว้ มันคือจุดมุ่งหมายที่เธอมาในครั้งนี้
“ไปหาคุณพ่อของลูกไทรไงลูก..”
เธอบอกกับหนูน้อยแล้วก็หันไปเรียกรถแท็กซี่ก่อนจะพาหนูน้อยลูกไทรมุ่งหน้าฝ่าจราจรที่ติดขัดไปยังสถานที่ที่เธอมีที่อยู่ในมือ
เมื่อรถเลี้ยวมาถึงบ้านเลขที่ที่เธอบอก เธอก็ก้าวลงแต่แล้วก็ต้องตะลึงงันกับความโอฬารของบ้านหลังนี้ หากจะเทียบกับต่างจังหวัดหรือบ้านนอกของเธอที่นี่กว้างใหญ่ราวกับศาลากลางจังหวัดเลยทีเดียว
“มาหาใคร..”
พิณธารียื่นมือไปกดกริ่งที่หน้าประตูอัลลอยด์ที่สูงตระหง่านและสวยงามนั้น ก็พบกับยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเอ่ยถามขึ้น
“ฉันมาพบคุณอนาวิลค่ะ...เขาอยู่ไหมคะ..”
ยามมองดูใบหน้าที่หวานละไมของเธอก่อนจะก้มมองเด็กน้อยที่มองตาแป๋วนั้นนิ่ง
“คุณวิลยังไม่กลับครับ..วันนี้เห็นบอกว่ามีประชุมอาจจะกลับดึก..นัดไว้หรือเปล่าครับ..”
เธอก้มหน้ามองหลานสาวคนเดียวซึ่งเป็นเด็กที่เกิดจากพี่สาวของเธอผู้ที่ล่วงลับไป พลางกำมือแน่น แล้วเงยหน้ามองยามซึ่งเป็นชายอายุสี่สิบเศษนั้นนิ่ง
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนคะ..มีเบอร์โทรของเขาไหม..ฉันมีธุระสำคัญ..”
ยามคนนั้นนิ่งคิดแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงรถยนต์คันหรูก็บีบแตรลั่นทำให้ลูกไทรก้าวเข้ามากอดเอวของพิณธารีเอาไว้แน่นด้วยความตกใจ แต่เธอหันไปมองรถคันนั้นที่เลี้ยวผ่านหน้าเธอเข้าไปในกำแพงที่สูงใหญ่นั้น
“ผมว่าไว้มาวันหลังดีกว่าไหมครับ..”
ยามก้าวหนีเธอไปเสียดื้อ ๆ แล้วไม่ยอมออกมาพบอีก ทำให้พิณธารีเพิ่มความเคียดแค้นในใจมากขึ้นไปอีก เธอหยิบรูปถ่ายของเขาคนนั้นออกมามอง
“คิดจะปัดความรับผิดชอบอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง..ในเมื่อฉันตัดสินใจก้าวมาที่นี่..ก็อย่าหมายว่าฉันจะยอมถอยง่าย ๆ..”
เธอคิดในใจก่อนจะพาลูกไทรเดินไปหาที่หลบ เพราะฝนทำท่าจะตก
“แม่ขาลูกไทรหิว..”
“โถ..”
เธอเหลียวมองไปรอบตัว ซึ่งมองแทบไม่เห็นอะไรอีกทั้งฝนก็ตกหนัก ประกอบกับเวลานั้นท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงมากแล้ว
“ไว้ฝนหยุดก่อนนะลูกนะ..”
เธอกอดลูกไทรเอาไว้แนบอกแล้วพยายามเอาร่างของเธอบังละอองฝนไม่ให้กระเซ็นมาถูกเด็กหญิงตัวน้อย
รอจนกระทั่งเวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง ทั่วทั้งท้องฟ้าในยามราตรีถูกประดับประดาตกแต่งแต้มไว้ด้วยแสงไฟนีออนจากทุกหัวระแหง ประกอบกับแสงไฟจากรถยนต์ที่ทะยานออกจากที่ทำงานเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพักของตัวเอง
กลับกลายเป็นเครื่องประดับบนท้องถนนที่ดูสวยงาม โดยที่ไม่มีใครมาจัดระเบียบ
“ลูกไทรนั่งรอแม่อยู่ตรงนี้นะคะลูก..คุณแม่จะไปซื้ออาหารมาให้..”
เธอบอกลูกไทรแล้วก็ก้าวออกจากที่เพราะมองเห็นร้านค้าอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่เมื่อก้าวมาถึงริมฟุตบาตสายตางามก็หันไปมองรถที่กำลังแล่นมายังคฤหาสน์เบื้องหน้า
ปลายเท้าเรียวสะอาดภายใต้รองเท้าผ้าใบราคาถูกก็เหยียบพลาดลื่นไถลลงไปยังท้องถนน เป็นจังหวะที่รถสปอร์ตสีน้ำเงินเข้มเคลื่อนตัวมาถึงร่างบางที่เซถลาลื่นล้มลง
เสียงเบรกดังสนั่น ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยรีบวิ่งออกมาหาร่างบางที่เปียกโชกของพิณธารีทันที
“คุณแม่ขา..”
พิณธารีรีบยันกายลุกขึ้นนั่งแต่เธอกลับรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนเดินแทบไม่ไหว ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้เจ้าของรถคันหรู ก้าวลงจากรถตรงมาหาร่างบางระหงแทบทันที
“เป็นอย่างไรบ้างครับ..”
น้ำเสียงทุ้มดังกังวานขึ้นอย่างสุภาพ เขายื่นมือมาแตะที่ไหล่ของเธอพร้อมกับช่วยพยุงให้เธอลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกมาจากริมถนนซึ่งเต็มไปด้วยน้ำที่เจิ่งนอง
“เจ็บข้อเท้านิดหน่อยค่ะ..”
เธอบอกเขาแล้วก็เงยหน้าขึ้น แสงไฟจากรั้วอัลลอยด์ทำให้เธอมองเห็นดวงหน้าของเขาได้อย่างถนัดตา
“คุณอนาวิล !”
หัวคิ้วเข้มของเขาขมวดมุ่มเมื่อเธอเรียกชื่อของเขาออกมา
“รู้จักผมด้วยหรือครับ..”
ความเจ็บปวดที่ข้อเท้าเลือนหายไปแทบทันที ความดีใจและแค้นใจผุดโผล่ขึ้นมาแทรกในเวลาเดียวกัน
“ใช่..ฉันรู้จักคุณดี..แล้วที่ฉันมานั่งเฝ้าอยู่หน้าบ้านหลังนี้ก็เพราะคุณ..”
เขามองดวงหน้าหวานของเธอนิ่งก่อนจะมองหนูน้อยตรงหน้าที่เงยหน้ามองเขา
“ฉันเป็นน้องสาวของพี่สุวีรา..ชื่อพิณธารี..ฉันมาตามหาคุณตามคำสั่งเสียของพี่สาวฉัน..”
“หมายความว่าคุณสุ..เสียแล้วหรือครับ..”
สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกอย่างชัดเจน
“เมื่อห้าปีก่อน..เธอจากโลกนี้ไปด้วยความทรมาน..ในขณะที่คุณเสพสุขอย่างสบายใจ..”
เขามองลึกเข้าไปในดวงตางามของเธอ
“เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่านะครับ..”
“แต่ยามของคุณไม่ยอมให้ฉันเข้าไปแล้วไม่ยอมให้ที่อยู่หรือเบอร์โทรของคุณกับฉัน..”
“ผมต้องขอโทษด้วย..เพราะเขาไม่รู้จักคุณ..เชิญครับ..”
เขาหันไปหยิบกระเป๋าเดินทางของเธอแล้วอุ้มลูกไทรเข้าไปในรถก่อนจะหันมาหาเธอ ที่เดินกะโผลกกะเผลกไปที่ประตูรถ
“เดินไหวไหมครับ..”
“อย่าใส่ใจเลยค่ะ..ฉันมาเพื่อทำธุระเท่านั้น..”
เธอก้าวขึ้นไปนั่งแล้วรั้งเอาลูกไทรมานั่งตักก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาแล้วขับรถเลี้ยวผ่านรั้วประตูที่สูงตระหง่านเข้ามาในตัวบ้าน ซึ่งเป็นตึกสไตน์ยุโรปที่โดดเด่นแล้วสูงค่า