ตอนที่ 3
“นายท่านจะทำยังไงต่อไปครับ”
ตาแม้นที่วันนี้ทำหน้าที่คนขับรถให้กับท่านเนาว์เอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้านายเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานใจ
“ฉันอยากจะพาหลานสาวของฉันกลับบ้าน...อยากจะพาแกกลับบ้าน...”
กระแสเสียงแหบแห้งของท่านเนาว์สั่นเทา ความรู้สึกผิดโจมตีเข้าสู่เนื้อหัวใจอย่างรุนแรง แล้วยิ่งได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของหลานสาวที่แร้นแค้นยิ่งกว่ายาจก เขาก็ยิ่งทรมานใจ
“แต่แกคงไม่ยอมกลับอย่างแน่นอน พุดซ้อนจะต้องเกลียดปู่อย่างฉัน”
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับนายท่าน บางทีคุณหนูใหญ่อาจจะไม่ได้คิด...”
ตาแม้นกำลังจะบอกว่าบางทีพุดซ้อนอาจจะไม่ได้เกลียดท่านเนาว์ก็ได้ แต่ก็ถูกเจ้านายแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเสียก่อน
“สายตาของแกบอกฉันแบบนั้น แกหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีไม่ต่างจากตานัยเลย”
เอ่ยถึงบุตรชายที่เสียไปแล้ว น้ำตาไหลก็ออกมา มือเหี่ยวๆ ยกขึ้นป้ายทิ้งช้าๆ ตาแม้นเห็นแล้วก็อดสงสารเจ้านายวัยชราไม่ได้
“คุณหนูใหญ่จะต้องเข้าใจ เธอจะต้องให้อภัยนายท่านแน่นอนครับ ผมเชื่ออย่างนั้น”
ท่านเนาว์หลับตาลงอีกครั้ง ไม่คิดจะโต้ตอบอะไรกับคนขับรถอีก ในสมองอัดแน่นไปด้วยความสำนึกผิดที่กัดกินหัวใจมานานหลายปี เขาจะทำยังไงดีนะเพื่อชดเชยสิ่งที่พุดซ้อนเสียไปตั้งแต่เล็ก แล้วเขาจะทำยังไงดีเพื่อให้พุดซ้อนยอมแต่งงานกับวูลฟ์ด้วยความสมัครใจ
บาสเตียน แอสตัน เจ้าพ่อแห่งวงการยานยนต์แห่งอเมริกาเหนือขับรถสปอร์ตออกมาจากตึกสูงระฟ้าจำนวนสามตึกที่เชื่อมต่อกันที่ชั้นสิบของตึกอย่างสมบูรณ์แบบด้วยความเร็วสูง ใบหน้าหล่อระเบิดติดกระด้างแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหยันตลอดเวลา เมื่อนึกถึงเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องรีบเผ่นออกมาจากที่บัญชาการส่วนตัวปานสายฟ้าแลบแบบนี้ ซึ่งสาเหตุนั้นจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิง!
พวกหล่อนน่าเบื่อ น่ารำคาญ และไม่ว่าเขาจะใช้บอดี้การ์ดมากมายสักแค่ไหน แต่พวกหล่อนก็ใช้ความสามารถที่มันอัดแน่นอยู่ในสันดานของผู้หญิงหลอกล่อเข้ามาสร้างความวุ่นวายในออฟฟิศของเขาจนได้ เขาปวดหัวทุกวันกับแม่ผู้หญิงพวกนี้ และก็ซาบซึ้งดีแล้วว่าการไล่พนักงานหรือบอดี้การ์ดออกไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถาวร
มือหนาสีแทนหยิบโทรศัพท์มือถือบางเฉียบขึ้นมาแนบหู
“ผมจะไปเมืองไทยค่ำนี้ เตรียมตั๋วเครื่องบินและประสานงานกับออฟฟิศที่กรุงเทพฯ ให้เรียบร้อย อย่าให้มีอะไรผิดพลาดอย่างเด็ดขาด”
เสียงราบเรียบแต่ทรงอำนาจยิ่งนักถูกกรอกไปตามสายโทรศัพท์เข้าหูของเลขาฯ ส่วนตัว และเมื่อคู่สนทนาตอบรับความต้องการของตัวเองแล้ว บาสเตียนก็ตัดสายสนทนาและโยนเจ้าโทรศัพท์มือถือลงกับเบาะนั่งคู่คนขับอย่างไม่แยแสมันอีก ชายหนุ่มหักพวงมาลัยรถมุ่งหน้าตรงไปยังสนามบินนานาชาติทันที
ร่างสูงใหญ่ของวูลฟ์ เมอร์ดิสันยืนกอดอกพิงเสาของศาลากลางสวน โดยมีแก้วเหล้าที่ยังมีน้ำสีอำพันหลงเหลือเล็กน้อยอยู่ในมือใหญ่ ดวงตาสีทองอร่ามเข้มจัดขึ้นเมื่อแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ตอนนี้เหลือแค่เสี้ยวเล็กๆ
‘คืนข้างแรม...ก็คงเหมือนกับหัวใจของเขาล่ะมั้งที่มันมืดดำ มืดมอดมาเนิ่นนาน’
คนตัวโตแสยะยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้ามานั่งภายในศาลา เฟอร์ดินานที่ยืนรับใช้อยู่ไม่ห่างเดินขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก และเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มเทเหล้าลงคอไปจนหมด เขาก็รีบรินให้อีกครั้ง
“คุณวูลฟ์กำลังเครียด...”
เจ้าของชื่อละสายตาที่กำลังจ้องแก้วเหล้าในมือขึ้นมาจ้องหน้าคนพูด ก่อนจะยิ้มน้อยๆ
“ทำไมถึงคิดว่าฉันเครียดล่ะเฟอร์”
“ผมรับใช้คุณวูลฟ์มาตั้งแต่เกิด ผมจึงย่อมรู้ดีว่าตอนนี้คุณวูลฟ์กำลังคิดอะไรอยู่”
“ขนาดนั้นเชียวหรือ งั้นลองสาธยายให้ฉันฟังหน่อยสิว่า นายเห็นอะไรจากสายตาของฉันบ้าง”
วูลฟ์จ้องหน้าคนสนิทนิ่ง และหากเป็นในยามปกติเฟอร์ดินานคงไม่กล้าจะสบตากับเจ้านายหนุ่ม แต่ในยามนี้มันคือคำสั่ง และคำสั่งของวูลฟ์ก็ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าบัญชาของพระเจ้าเสียอีก
“นายเห็นอะไรบ้างล่ะ”
“ผมเห็นความเป็นกังวลของคุณวูลฟ์ ทั้งเรื่องของคุณแฟรงซ์และเรื่องของคู่หมั้น”
วูลฟ์ปรบมือเบาๆ ให้กับคนสนิท ก่อนจะเอื้อมไปหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาเทลงคอจนหมดทุกหยด และเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาด้วยดวงตากระด้างตามความเคยชิน
“นายพูดถูกทุกอย่าง ฉันกังวลในทุกเรื่องที่นายพูดมานั่นแหละ แต่นายยังเห็นไม่หมดหรอก เพราะยังมีอีกเรื่องที่มันทำให้ฉันนอนไม่หลับตลอดเวลาสามอาทิตย์ที่ผ่านมา”
“คุณวูลฟ์คงไม่ได้หมายถึง...”
ดวงตาคมกริบของวูลฟ์วาววับขึ้นมาทันควัน และมันก็น่าสยองขวัญนักในความคิดของเฟอร์ดินาน
“ผู้หญิงคนนั้นหรือครับ...นี่คุณวูลฟ์ยังไม่ลืมเธอ...”
“ใครจะไปลืมแม่ผู้หญิงที่ขโมยกระเป๋าสตางค์ของตัวเองได้ง่ายๆ ล่ะ แล้วคนอย่างวูลฟ์ เมอร์ดิสันไม่เคยถูกลูบคมแบบนี้มาก่อน และแน่นอนว่าเจ้าหล่อนได้ชดใช้อย่างสาสมแน่นอน”
น้ำเสียงของวูลฟ์ราบเรียบแต่สายตาคมกริบกลับอัดแน่นไปด้วยไฟบรรลัยกัลป์ และแน่นอนว่าแม่ผู้หญิงคนนั้นคนที่วูลฟ์เอ่ยถึงคงใกล้ชะตาขาดเต็มทนแล้ว เฟอร์ดินานคิดอย่างขยาด แล้วก็อดไม่ได้ที่จะชวนเจ้านายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุย
“วันนี้เป็นคิวของนางแบบจากรัสเซียครับ คุณวูลฟ์จะให้ผมเรียกเธอมาเลยหรือเปล่าครับ”
สิ้นคำถามนั้น แก้วเหล้าในมือของวูลฟ์ก็หยุดชะงักอยู่ที่ปลายคาง ดวงตาคมกริบตวัดมาจ้องหน้าคนสนิท
“คืนนี้ฉันอยากหลับมากกว่าทำอย่างอื่น”
“ครับคุณวูลฟ์”
รอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากหยักสวยที่น้อยคนนักจะได้เห็นผุดขึ้นมาให้เฟอร์ดินานเห็น ก่อนที่เจ้าของรอยยิ้มจะก้าวยาวๆ เดินหายเข้าไปในตัวตึกอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนสนิทอย่างเฟอร์ดินานมองตามไปด้วยความห่วงใย