บทที่ 1
ในยามเช้าตรู่ของวันที่สายฝนพรำ ทุกตารางนิ้วของท้องถนนเต็มไปด้วยหยาดน้ำฝนที่เจิ่งนอง คราใดรถลีมูซีนสีดำสนิทวิ่งผ่าน สายน้ำเหล่านั้นก็กระเซ็นกระซ่านอันเกิดจากขอบล้อสัมผัสกับผิวน้ำที่เจิ่งนองบนผิวถนน
รถลีมูซีนติดฟิล์มหนาทึบสีเดียวกันกับสีรถ คันแล้วคันเล่าได้แล่นผ่านถนนสายนี้ เพื่อตรงไปยังสุสานของตระกูลคาดิโอร์
อาณาบริเวณเกือบสิบไร่ของสุสานคาดิโอร์ แทบไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับการจอดรถหรูราคาแพงเหยียบสิบล้าน ที่เหล่าบรรดามาเฟียในกรุงโรมต่างก็ขับมาเพื่ออวดความร่ำรวย และเพื่อเป็นการเบ่งอำนาจข่มฝ่ายตรงกันข้ามให้ดูด้อยกว่าตนเอง
มาเฟียเหล่านี้ถ่อสังขารเดินทางมายังสุสานคาดิโอร์ หาใช่เพราะต้องการมาเคารพศพของอัลแบโตร์ คาดิโอร์ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวของเหล่ามาเฟียไม่!
แต่พวกเขามาเพราะต้องการรู้ว่าใคร? จะถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าครอบครัว กุมอำนาจเงิน อำนาจบารมีของเหล่ามาเฟียทั้งหมดในกรุงโรม แทนอัลแบโตร์ คาดิโอร์ หัวหน้าครอบครัวคนเก่า ที่ลอบถล่มด้วยอาวุธสงคราม ขณะเดินทางจากสนามบินกลับมายังคฤหาสน์คาดิโอร์
“มึงคิดว่าตาเฒ่ารอสโซจะเลือกใครให้เป็นดอน แทนไอ้อัลแบโตร์ ที่นอนเน่าอยู่ในโลงศพ”
ฟิลิโป หนึ่งในมาเฟียที่เคยอยู่ใต้การปกครองของอัลแบโตร์ เอ่ยถามเพื่อนขณะเดินกางร่มฝ่าสายฝนตรงไปยังบริเวณจัดพิธีฝังศพ
“บอกตามตรงว่ากูเดาใจตาเฒ่ารอสโซไม่ถูก ว่ามันจะเลือกใครให้มาแทนที่ไอ้อัลแบโตร์”
โลเรนซาส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่อาจให้คำตอบกับเพื่อนได้ ก่อนจะเค้นเสียงพูดต่อด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“กูไม่สนใจว่าตาเฒ่ารอสโซมันจะเลือกใครเป็นดอนคนใหม่ ขอแค่เพียงอย่าให้มันเลือกไอ้เด็กเมื่อวานซืน ลูกชายของไอ้อัลแบโตร์ขึ้นมาเป็นดอนแทนพ่อของมันก็แล้วกัน”
ขณะเค้นเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจนั้น ดวงตาทั้งคู่ของโลเรนซาไหววาบเพราะไฟโทสะ ทั้งอิจฉา ทั้งแค้น หากคนที่เขากำลังพูดถึง ได้ขึ้นเป็นดอนคนใหม่ กุมอำนาจของมาเฟียที่มีอยู่ทั้งหมดในกรุงโรม
“ไม่แน่เหมือนกัน โลเรนซา มึงมองดูสิ ตาเฒ่ารอสโซดูท่าจะพิศวาสไอ้เด็ก
เมื่อวานซืนเอามาก กูได้ข่าวมาว่าตอนไอ้อัลแบโตร์ถูกถล่มยิงจนตัวพรุน ตาเฒ่ารอสโซ มันไปถึงที่เกิดเหตุแทบจะทันที มันทั้งเห็นอก เห็นใจ และสงสารไอ้เด็กคนนี้มาก”
ฟิลิโปบุ้ยปากพยักพเยิดให้เพื่อนรัก มองไปยังภาพข้างหน้าตรงบริเวณพิธีฝังศพ ซึ่งภาพที่เขาและโลเรนซาเห็นก็คือดอนรอสโซ มาเฟียรุ่นใหญ่ในวัยเจ็ดสิบปี ยืนเคียงคู่อยู่กับลูกชายของคนตายในตลอดเวลา
โลเรนซากัดฟันกรอด จ้องมองภาพตรงหน้าเขม็ง เค้นเสียงออกมาด้วยความโกรธจัดระคนอิจฉาเป็นที่สุด
“กูไม่มีวันยอมแน่ ฟิลิโป กูไม่ยอมให้ไอ้เด็กเมื่อวานซานขึ้นมาเป็นดอนแทนที่พ่อของมัน และกูจะไม่ยอมก้มหัวให้มันเด็ดขาด”
ฟิลิโปกระตุกยิ้มหยันกับน้ำเสียงเค้นพูดอย่างคลั่งแค้นของเพื่อนรัก เขาเหลือบสายตามองคนที่กำลังเดินตีคู่กันกับเขา ตรงไปยังบริเวณจัดพิธีฝังศพ จากนั้นก็เติมเชื้อฟืนไฟ เพิ่มความโกรธ สร้างความเกลียดชังที่มีต่อตระกูลคาดิโอร์ให้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“รู้ไปถึงไหน คงอายไปถึงนั่น ที่คนแก่ผมหงอกอย่างเราสองคน ต้องก้มหัวให้กับมัน ถ้ามาเฟียอย่างมึงไม่อยากอับอายขายขี้หน้าคนอื่นๆ มึงต้องทำอะไรสักอย่างไม่ให้มันได้ขึ้นเป็นดอน”
“กูสาบานว่าจะไม่มีทางก้มหัวให้กับมันแน่” โลเรนซาย้ำเสียงห้วน
“อย่าดีแต่เห่าอยู่ในกรง มึงต้องลงมือทำด้วย”
ฟิลิโปยุส่งคนที่กำลังกัดฟันดังกรอดๆ ด้วยความแค้น แถมยังจ้องมองไปยังว่าที่ดอนคนใหม่เขม็งอย่างไม่กะพริบตา
“กูลงมือแน่ มึงไม่ต้องกลัว ฟิลิโป”
โลเรนซารับคำ หัวสมองกำลังทำงานอย่างหนัก คิดหาวิธีกำจัดอีกหนึ่งเสี้ยนหนามให้พ้นเส้นทางความยิ่งใหญ่ของตนเอง
“ต้องรีบหน่อยนะเพื่อนรัก อย่าลืมว่าอีกเจ็ดวันหลังจากนี้จะมีการเลือกดอนคนใหม่แล้ว ถ้าตาเฒ่ารอสโซยังคงพิศวาสไอ้เด็กเมื่อวานซืนจอมโอหังอยู่เช่นนี้ แกก็ไม่มีทางไปถึงฝันแน่”
ฟิลิโปลอบยิ้ม เขาฉลาดในเรื่องการใช้คำพูดและใช้สมองเชิดคนอื่นให้ทำตามคำยั่วยุ เรื่องยืมมือคนอื่นฆ่าศัตรู เขาถนัดยิ่งนัก
“ไม่ต้องห่วง ภายในเจ็ดวันนี้ พวกเราต้องได้มายืนในสุสานของตระกูลคาดิโอร์อีกครั้งแน่”
โลเรนซารับคำเสียงเย็น ดวงตาทั้งคู่กระหายไปด้วยเลือดของคนในตระกูลคาดิโอร์
ยิ่งเพื่อนรักหน้าโง่เผยความโกรธแค้น กระหายในตำแหน่งอันยิ่งใหญ่สูงสุดในวงการมาเฟียมากเพียงใด ฟิลิโปก็ยิ่งยั่วยุ เพิ่มเชื้อฟืนไฟความโกรธแค้นให้กับโลเรนซามากเท่านั้น
“ใช่ วันนี้เรามาเพื่อฝังศพพ่อของวัน อีกเจ็ดวันข้างหน้า เราจะมายืนที่นี่อีกครั้ง เพื่อส่งมันไปรับใช้พ่อของมันในยมบาล” ฟิลิโปเพิ่มความกระหายในรสเลือดให้กับโลเรนซา ลอบยิ้มเยาะตรงมุมปาก เค้นเสียงเยาะหยันหุ่นเชิดหน้าโง่อยู่ในใจ
‘ไอ้โลเรนซา ไอ้โง่ ถ้ารู้ว่ายุขึ้นแบบนี้ กูยุมึงให้ฆ่าไอ้อัลแบโตร์ตั้งนานแล้ว’
“แน่นอน ฟิลิโป กูไม่มีทางยอมให้มันผงาดขึ้นมาเป็นดอนแทนที่พ่อของมันอย่างแน่นอน กูจะกำจัดมันให้สิ้นซาก คนที่จะได้ขึ้นเป็นดอนคนใหม่จะต้องเป็นกู!”
โลเรนซาเค้นเสียงย้ำด้วยความมั่นใจ ดวงตาทั้งสองเป็นประกายเมื่อนึกถึงตำแหน่งอันหอมหวานและยิ่งใหญ่ที่สุดในการเดินบนเส้นทางมาเฟีย นั่นก็คือการเป็นดอน ออฟ ดอน เป็นหัวหน้าครอบครัวของมาเฟีย บรรดามาเฟียทุกคนที่อยู่ในกรุงโรม และในอิตาลีจะต้องก้มหัวให้กับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในขณะมาเฟียหลายร้อยคนต่างทยอยเดินเข้ามาในสุสาน เพื่อร่วมพิธีฝังศพของดอนอัลแบโตร์ คาดิโอร์ และต่างก็แสดงความเสียใจกับลูกน้อง ซึ่งเป็นคนในครอบครัวคาดิโอร์ และหลายๆ คนพยายามเข้ามาแสดงความเสียใจกับลูกชายของอัลแบโตร์ ซึ่งมีข่าวลือสะพัดไปทั่วทั้งกรุงโรมว่า ‘ลูฟร์ คาดิโอร์’ คือมาเฟียเลือดใหม่ไฟแรงที่ตาเฒ่ารอสโซต้องการปลุกปั้นให้เป็นดอน ออฟ ดอน ผู้ยิ่งใหญ่แทนผู้เป็นพ่อของเขา
สายฝนอันเย็นชุ่มฉ่ำเริ่มซาเม็ดบางเบาลง บรรดามาเฟียทั้งหลาย รวมทั้งฟิลิโปและโลเรนซา ต่างก็เดินมารายล้อมรอบคนที่ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าโลงศพของผู้เป็นบิดา
ลูฟร์ คาดิโอร์ มาเฟียเลือดผสมไทย-อิตาลี อยู่ในชุดสูทสีดำสนิท สวมแว่นตาดำ ยืนสงบนิ่งไม่ไหวติงอยู่หน้าโลงศพของบิดา ไม่ว่าใครหน้าไหนเข้ามาแสดงความเสียใจด้วย มาเฟียหนุ่มก็ยืนนิ่งไม่ทักทายกลับ ไม่แม้กระทั่งหันไปมองหน้ามาเฟียรุ่นใหญ่เหล่านั้น
นั่น! ก็เป็นเพราะว่าลูฟร์รู้ดีว่าคนเหล่านี้ เสแสร้งแกล้งทำเป็นเสียใจกับความตายของบิดาเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังตะโกนกู้ก้องดีใจต่างหาก ที่ดอนอัลแบโตร์ บิดาของเขาถูกโค่นลงจากตำแหน่งลงไปนอนอยู่ในก้นหลุมอันเย็นเฉียบ และแน่นอนว่า หนึ่งในมาเฟียนับร้อยที่เดินทางมาร่วมพิธีศพในเช้าวันนี้ คือฆาตกรที่ขนอาวุธสงครามไปยิงถล่มบิดาของเขา
โลเรนซาแหวกบรรดามาเฟียทั้งหลาย รวมทั้งลูกน้องในตระกูลคาดิโอร์ ที่ยืนรายล้อมเป็นดั่งเกราะกำบังให้กับเจ้านายหนุ่ม ให้หลบทางตนเอง จนกระทั่งสามารถเข้าไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ กับร่างใหญ่ล่ำสันของมาเฟียหนุ่มผู้นี้ได้ จากนั้นก็เล่นละครตีหน้าเศร้า เอ่ยแสดงความเสียใจกับลูฟร์ เพื่อเรียกคะแนนให้กับตนเองด้วย
“ลูฟร์ ลุงเสียใจด้วย อัลแบโตร์ เป็นเพื่อน เป็นพี่ที่ดีที่สุดของลุง เขาไม่น่ามาด่วนจากพวกเราไปเลย”
ลูฟร์ยังคงยืนนิ่ง ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาตั้งตรง ไม่หันไปมองคนที่เข้ามาพ่นคำโกหกใส่เขา ดวงตาสีสนิมภายใต้แว่นตาดำ แข็งกร้าวลุกโชนไปด้วยไฟแค้น
เมื่อการทักทาย แสดงความเสียใจในครั้งแรกไม่เป็นผล ว่าที่ดอนคนใหม่ยังยืนนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยิน โลเรนซาจึงขยับปากพ่นคำโกหกออกมาอีกครั้ง
“ลูฟร์ ลุงเสียใจ...”
“หุบปาก! ผมไม่มีอารมณ์ฟังใครพล่ามในตอนนี้”
เป็นประโยคแรกที่ลูฟร์ปริปากพูดนับตั้งแต่เดินทางมาถึงสุสานแห่งนี้ และโลเรนซาก็เป็นคนโชคร้ายชะมัดญาติที่ถูกลูฟร์เค้นเสียงด่าโดยไม่ไว้หน้า