บทที่ 1 แสงเทียนในโลกสีเทา
กรุงเทพฯ – 20:30 น.
กลิ่นกาแฟเข้มข้นเจือจางไปกับความเหนื่อยล้า พริมา กำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ของร้านกาแฟเล็กๆ ที่เป็นที่พักพิงในกะดึก เธอสวมชุดนักศึกษาที่ถูกซักรีดจนสะอาดปราศจากรอยยับ ทว่ามันดูเก่าและผ่านการใช้งานมานานหลายปี เธอต้องรักษาเวลางานนี้อย่างเคร่งครัด เพราะเส้นตาย รายจ่ายค่าเทอม ที่เป็นเสมือนดาบคมคอยจ่ออยู่เหนือชีวิตเธอ
เธอทุ่มเทชีวิตให้กับการศึกษาบัญชี ตามคำสอนของพ่อผู้ล่วงลับ ความรู้คือเครื่องมือเดียวที่จะมอบความมั่นคงและอิสรภาพให้แก่เธอได้
เสียงกระดิ่งประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามา ทันทีที่ชายผู้นั้นปรากฏตัว พริมาก็รู้สึกว่าบรรยากาศภายในร้าน ถูกกลืนกิน โดยเงาของเขา หลงเหว่ยหลง
เขาไม่ได้แต่งกายโอ้อวด แต่เสื้อเชิ้ตและกางเกงที่สวมใส่ก็บ่งบอกถึงรสนิยมและราคาที่คนทั่วไปไม่อาจเอื้อมถึงได้ รูปร่างของเขาแข็งแกร่งและสูงใหญ่จนน่าเกรงขาม ราว 188 ซม. แววตาคมกริบสีนิลนั้นเย็นชาและไร้อารมณ์ ราวกับพื้นผิวของทะเลสาบในยามราตรี เขาเดินไปนั่งที่มุมเงียบๆ โดยมีผู้ติดตามที่ดูแข็งแกร่งราวกับเงาตามมาอีกสองคน
พริมาทำได้เพียงโค้งคำนับ เมื่อเขาสั่งกาแฟดำด้วย น้ำเสียงทุ้มต่ำในภาษาไทยที่ชัดเจน แต่รู้สึกห่างเหินและทรงอำนาจ การมองของเหว่ยหลงไม่ได้เป็นการชื่นชม แต่เป็นการ สำรวจและประเมินค่า ทรัพย์สินที่น่าสนใจอย่างถี่ถ้วน ทำให้พริมาต้องก้มหน้าลงซ่อนตัวอยู่หลังเคาน์เตอร์ พยายามซึมซับความรู้สึกอึดอัดนี้เข้าไว้ในส่วนลึกของใจ
ในโลกของเหว่ยหลง เขามองเห็นพริมาเป็นเพียง ดอกไม้หายากสีขาว ที่กำลังดิ้นรนอยู่ในโคลนตม และความบริสุทธิ์ของเธอนั้นคือสิ่งที่เขาต้องการครอบครองมากที่สุด
ความตึงเครียดที่ถูกกดไว้ถูกจุดชนวนขึ้นเมื่อลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่มึนเมา เดินเข้ามาในร้าน และจำพริมาได้จากเหตุการณ์มีปากเสียงเรื่องความถูกต้องของบัญชีเมื่อวันก่อน
“อ้าว! แม่นักศึกษาบัญชีที่เก่งแต่คิดเงินคนอื่นนี่นา!” ชายคนหนึ่งหัวเราะอย่างหยาบคาย แล้วยื่นมือสกปรกมาบีบต้นแขนที่บอบบางของพริมาอย่างแรง
พริมาสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บปวด ความมุ่งมั่นทำให้เธอไม่ยอมร้องไห้ แต่ความกลัวก็ทำให้ร่างกายเธอแข็งทื่อ
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ” เธอพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่เสียงสั่นเครือ
“ทำเป็นหวงตัว เดี๋ยวก็ได้รู้ว่าราคาเท่าไหร่!” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางดูถูกเธอ
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ความเย็นชาของเหว่ยหลงก็เปลี่ยนเป็นความคั่งแค้น ที่เงียบเชียบและอันตรายกว่าเสียงตะคอก เขาไม่ได้ส่งเสียง แต่การลุกขึ้นยืนของเขาเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เกิด เงาของมังกร ทาบทับร่างของชายผู้นั้น
“ปล่อยมือซะ”
ถ้อยคำนั้นถูกเอ่ยออกมาด้วย น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและหนักแน่นราวกับคำพิพากษา มันเป็นภาษาไทยที่พริมาคุ้นเคย แต่มันเต็มไปด้วยอำนาจที่ทำให้ชายคนนั้นต้องผงะ
“แกเป็นใครวะ! ยุ่งอะไรด้วย!” ชายขี้เมาตะคอกตอบด้วยความหวาดกลัวระคนฮึกเหิม
เหว่ยหลงไม่เสียเวลาตอบ เขาลดระดับเสียงลงต่ำ ใบหน้าเขาไร้อารมณ์ ก่อนจะออกคำสั่งด้วยถ้อยคำที่ดุดันและเชือดเฉือน ซึ่งเป็นภาษาที่พริมาไม่คุ้นเคย เธอคิดว่าอาจจะเป็นภาษาจีนกวางตุ้งหรือจีนกลาง
“จัดการให้มันเข้าใจกฎ... อย่าให้ใครมาแตะต้อง คนของฉันอีก”
ลูกน้องของเขาน้อมรับคำสั่งที่เด็ดขาดนั้น และลากตัวชายคนนั้นออกไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงความน่ากลัวที่คลุมเครือ
พริมายังคงยืนนิ่ง ตัวสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนก เธอเพิ่งได้เห็น โลกสีดำ ที่เขาซ่อนอยู่
เหว่ยหลงเดินเข้ามาหาเธอ เขาหยุดยืนประชิดเคาน์เตอร์ ก่อนจะยกมือหนาขึ้นมาสัมผัสเบาๆ ที่รอยแดงบนต้นแขนของเธอ การสัมผัสของเขาราวกับเป็นกรงเล็บของมังกร ที่กำลังประทับตราความเป็นเจ้าของ
“อย่ากลัวฉันเลย”
เขาพูดด้วยภาษาไทย น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนลงทันที ราวกับเขากำลังปลอบขวัญเหยื่อตัวน้อย แต่ความอ่อนโยนนั้นกลับแฝงความบังคับและเสน่ห์ร้ายอย่างประหลาด
"ฉันแค่ต้องการให้เธอปลอดภัย... ดอกไม้ ที่บริสุทธิ์อย่างเธอ ไม่สมควรจะถูกทิ้งไว้ในที่แบบนี้"
เขาหยิบนามบัตรสีดำสนิทวางไว้ข้างสมุดบัญชีของเธอ "พรุ่งนี้ เธอจะถูกติดต่อเรื่องงานใหม่"
พริมาเงยหน้ามองเขาด้วยความสับสนและหวาดระแวงอย่างถึงที่สุด “คุณ… คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่คะ?”
เหว่ยหลงยิ้มเย็นๆ รอยยิ้มนั้นไม่ได้ตอบคำถาม แต่เป็นการประกาศก้องถึงเจตนาของเขา
“ฉันต้องการสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้... และเธอกำลังจะเป็นของฉัน”
เขาเดินออกไปจากร้าน ทิ้งให้พริมาจมอยู่กับ ทางเลือกที่น่ากลัว หากเธอปฏิเสธ งานใหม่นี้ เธอจะสูญเสียโอกาสที่จะได้เงินค่าเทอม แต่หากเธอรับ... เธอจะต้องก้าวเข้าสู่ กรงรักมังกรคลั่ง ที่รอเธออยู่โดยสมบูรณ์
เธอจะยอมแลกอิสรภาพกับความมั่นคงได้หรือไม่?
