ตอนที่5
ตอนที่5
น้ำค้างลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกยุบยิบบริเวณหน้าอกมือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนฐานอกเธอ ร่างบางเอี้ยวตัวไปมองคนที่นอนช้อนแผ่นหลังเธออยู่ ฝ่ามือหนายังคงนวดเฟ้นหน้าอกของเธอไม่หยุดทั้งที่เปลือกตาปิดสนิท น้ำค้างค่อยแกะฝามือหน้าออกจากหน้าอกกลมกลึงขยับตัวออกจากอ้อมกอดแกร่งแล้วเอาหมอนมาวางแทนที่ของตัวเองอย่างเบามือกวาดสายตามองหาเสื้อผ้าที่ถูกคนที่นอนอยู่โยนทิ้งขว้าง เมื่อเห็นชุดสวยกองอยู่บนพื้นน้ำค้างรีบคว้าเสื้อผ้าและชุดชั้นในวิ่งแจ่นเข้าห้องน้ำไป เมื่อแต่งตัวให้เรียบร้อยก็ย่องออกมาจากห้องน้ำ ภูรินทร์ยังคงหลับคว่ำหน้าแอบอิงแนบใบหน้าคนคายบนหมอนใบนุ่ม แผ่นหลังเปลือยเปล่าโผล่พ้นผ้าห่ม น้ำค้างมองสภาพเตียงแล้วก็พลันใบหน้าแดงก่ำเมื่อคืนกว่าไฟราคะจะดับลงเล่นเอาเธอสลบคาอกเขา น้ำค้างรีบสลัดความคิดติดเรทเดินออกจากห้องก่อนที่คนบนเตียงจะตื่นมาเจอเธอ
เมื่อเดินผ่านประตูกระจกคอนโดมิเนียมได้ก็รีบโบกเรียกรถแท๊กซี่กลับโรงแรม วันนี้เธอมีจุดหมายที่ต้องไป อีกทั้งหากภูรินทร์ตื่นมาเธอก็ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร เมื่อคืนมีแอลกอฮอล์ในร่างกายจึงใจกล้าทำอะไรแบบนั้นได้ ขึ้นแท๊กซี่ได้ร่างบางทิ้งตัวพิงเบาะรถ บีบนวดตามร่างกายคลายความเมื่อยขบ
น้ำค้างมาโรงแรมก็เก็บข้าวของแพคลงกระเป๋าเดินทางเตรียมไปสนามบิน แต่เธอมีจุดหมายที่ต้องแวะก่อน
เธอนั่งแท๊กซี่มายังวัดแห่งหนึ่งเพื่อเยี่ยม เจดีย์ที่ผังเถากระดูกของพ่อและพี่สาว ค่อยๆ เปิดเจดีย์นำเถากระดูกของมารดาที่บรรจุในขวดแก้วใบเล็ก เธอนำมันจากประเทศจีน คำสั่งเสียสุดท้ายก่อนจากไปของท่านคืออยากกลับมาอยู่กับครอบครัว
“มะม๊า…น้ำพามะม๊ามาหาป๊ากับเจ้รุ้งแล้วนะ” น้ำตาเม็ดโตเม็ดโตร่วงหล่นจากดวงตาแดงก่ำ ทั้งๆ ที่รับปากกับมารดาเอาไว้แล้วว่าจะเข้มแข็งและมีชีวิตต่อไป
“ทำไมทุกคนต้องทิ้งน้ำ แล้วจากนี้น้ำจะอยู่คนเดียวได้ยังไง” น้ำค้างก้มลงกอดเจดีย์ที่ใช้เป็นที่พักพิงสุดท้ายของทุกชีวิตในครอบครัวเธอ ร่างบางกรีดร้องไห้ออกมา เสียงเอื้อนไห้ดังไปทั่วบริเวณ แต่ไม่ว่าเธอจะร้องไห้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายใน แผดเสียงคร่ำครวญปริ่มจะขาดใจออกมากมายมากเพียงใด ทุกคนก็ไม่กลับมาหาเธอ
น้ำค้าง วิโรจน์วาณิชย์ เธอเคยมีครอบครัวที่สมบูรณ์อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ปะป๊าแต่งงานกับมะม๊าที่เป็นคนจีน จนมีเจ่เจ้ทอรุ้งกับเธอ ตอนนั้นเธออายุเพียง 10 ขวบ และพี่ทอรุ้งอายุ 12 ขวบ พ่อของน้ำค้างเป็นลูกชายภรรยาน้อยของนักธุรกิจใหญ่ แค่คำว่าลูกเมียน้อยคนในบ้านก็ไม่ต้อนรับอยู่แล้ว คุณปู่ของเธอหัวโบราณไม่ชอบสะใภ้ต่างชาติ พ่อของเธอจึงเหมือนลูกชังได้ทำงานในตำแหน่งเล็กๆ ในบริษัทของคุณปู่เท่านั้น แม้บ้านใหญ่จะไม่มีใครต้อนรับครอบครัวของพวกเรา ตอนนั้นน้ำค้างยังเด็กก็มีความสุขไปตามประสา
คุณปู่จากไปด้วยโลกหัวใจหลังจากจบงานศพ วันเปิดพินัยกรรมก็มาถึง ท่านถือหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 70% แบ่งให้คุณหญิงวรรณ ภรรยาหลวงของท่าน 50% ให้ลูกชายคนโต 15% ให้พ่อของเธอ 5% หลังนายทนายอ่านพินัยกรรมจบก็ไม่มีใครคัดค้าน พ่อของเธอก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจที่ได้รับหุ้นเพียงเท่านั้น
คุณหญิงวรรณอยากลดความบาดหมางลงจึงเสนอให้ครอบครัวของน้ำค้างย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหญ่นี้คือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของน้ำค้างและทุกชีวิตในครอบครัวไปตลอดกาล
หลังจากย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหญ่ ป๊าก็มีอาการแปลกๆ หน้ามืดเป็นลมเกือบทุกเช้า แรกก็คิดว่าแพ้ท้องแทนแม่ พาแม่ไปตรวจโรงบาลหลายครั้งก็ไม่พบข่าวดี ผ่านไปซักระยะพี่ทอรุ้งและแม่ก็มีอาการเดียวกันกับพ่อ คุณหญิงวรรณก็พยายามบอกให้พวกเธอไม่ต้องกังวล อาจเป็นอาการของคนอยู่แปลกที่แปลกทางเท่านั้น ตอนนี้น้ำค้างก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ตามคนอื่นๆ
น้ำค้างจำภาพวันสุดท้ายของป๊าและเจ่เจ้ได้ไม่เคยลืม ตอนนั้นทุกคนกำลังนั่งทานอาหารเย็นกันอยู่ อยู่ๆ ป๊าก็อ้วกออกมาเป็นเลือด ทุกคนตกใจจนน๊อตหมดสติไป ทั้งสี่ชีวิตถูกส่งโรงพยาบาลในเย็นวันนั้น หลังเธอพื้นแม่ก็พาเธอบินลัดฟ้ามาอยู่ประเทศจีนทันที เธอมารู้ภายหลังว่า พวกเราทั้งสี่คนถูกวางยา นานแค่ไหนแล้วไม่รู้ ป๊าเสียเสียชีวิตบนรถฉุกเฉินพี่สาวเธอไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วนแม่กับเธอรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
พอแม่ฟื้นก็หอบเธอหนีกลับบ้านเกิดของแม่ที่ประเทศจีน ทิ้งทุกอย่างเพื่อให้ลูกสาวที่เหลือเพียงคนเดียวรอดชีวิต ผ่านมาก็ 15 ปีแล้ว เดือนตุลาคมของทุกปีเธอและแม่จะแอบกลับมาประเทศไทยเพื่อมาทำบุญให้พ่อกับพี่สาว น้ำค้างและแม่อาศัยกันอยู่เมืองจีนเงียบ ช่วงปีหลังๆ แม่เธอก็สุขภาพไม่ค่อยดี ตัดการติดต่อกับทุกคนในตระกูลวิโรจน์วาณิชย์เพราะพิษที่เคยได้รับทำลายอวัยวะภายในบางส่วน ทำให้เจ็บออดๆ แอดๆ เรื่อยมา จนในที่สุดท่านก็จากเธอไปอีกคน
แม่เธอย่ำเตือนกับเธอเสมอว่าการมีตัวตนอยู่ของน้ำค้างในเมืองไทยไม่ปลอดภัยสักเท่าไร เธอจึงมาอยู่แค่1-2 อาทิตย์เท่านั้นแล้วก็รีบกลับ
เครื่องบินเทคออฟออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มองจากหน้าต่างบานเล็กเห็นกลุ่มก้อนเฆมอยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ น้ำค้างมองออกไปยังหน้าต่างคิดถึงค่ำคืนสุดท้ายที่ประเทศไทย เธอไม่เหลือใครในชีวิตอีกแล้วแค่อยากมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน โอบกอดยามที่เธอเศร้าหมอง และภูรินทร์ก็เดินเข้ามาในเวลาที่เธอต้องการใครสักคน แม้เธอจะรู้สึกดีๆ กับเขาแต่เธอก็ต้องกลับไปยังที่ของเธอ
“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนน้ำนะคะ น้ำจะไม่ลืมหนึ่งคืนที่เราพบกัน ลาก่อนค่ะ”
หากโชคชะตามีจริง ขอให้เราได้พบกันอีกครั้ง one night คืนหนึ่งเราเคยพบกัน