บทที่1.เรื่องมันเริ่มต้นที่นี่แหละ 5/6
หวานตากดปิดแล็ปท็อปตรงหน้า เธอรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้คือเรื่องสำคัญแน่ๆ สัญชาตญาณบอกเธอเช่นนั้น ท่าทางเรืองฤทธิ์ดูเคร่งเครียด เขามีสีหน้าหมองๆ เหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง และนั่นน่าจะเกี่ยวข้องกับเธอ
เรืองฤทธิ์ยกมือขึ้นคลายปมเน็คไท เขารูดปมตรงคอให้เลื่อนต่ำลงมาเพื่อให้ความอึดอัดที่เกิดขึ้นทุเลาลง แววตาของหวานตายิ่งทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก เขาพยายามเรียบเรียงคำพูดที่คิดไว้ในใจคร่าวๆ
“ไม่ใช่เรื่องงาน แล้วเรื่องอะไรคะ หรือว่าเรื่องหวาน?”
หวานตาลองเสี่ยงเดาและดูเหมือนว่าเธอจะเดาถูก
เรืองฤทธิ์จ้องหน้าหวานตา เขาเม้มปากจนริมฝีปากเป็นเส้นตรง แววตาดำมืดขุ่นมัวจ้องหน้าเธอ ตอนที่พูดขึ้นมา “หวานจะทำยังไงหากวันนี้เราต้องเลิกกันครับ?”
ชายหนุ่มตัดสินใจถาม
หญิงสาวตัวแข็งทื่อ เธอค่อยๆ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้หรี่เปลือกตาลง ยกมือขึ้นกอดอกและค่อยๆ กวาดตามองชายตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง
หวานตาไม่ได้มีท่าทีตกใจ เหมือนที่เรืองฤทธิ์คาดไว้ สีหน้าของเธอทำให้ชายหนุ่มเริ่มผวา ท่าทางนิ่งๆ เย็นๆ ของหวานตานี่คือต้นกำเนิดพายุดีๆ นี่เอง เขารู้ดีเพราะทำความเข้าใจกับอุปนิสัยส่วนตัวของเธอมาเป็นอย่างดี หวานตาเป็นสาวอินดี้ และเมื่อไหร่ที่เธอแผลงฤทธิ์ นั่นหมายถึงไม่ใครก็ใครต้องแหลกกันไปข้าง
“ทำไม?” เป็นคำถามที่สั้นเสียจนเรืองฤทธิ์ตอบไม่ถูก
หญิงสาวตวัดปลายขาขึ้นมาไขว้กัน เธอคลายมือที่กอดอกไว้ เลื่อนไปวางไว้ที่หัวเข่าแทน พยายามปรามตัวเองให้ใจเย็นๆ เรืองฤทธิ์ต้องมีเหตุผล ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดออกมา
“ถ้าผมบอกว่า ผมเจอคนที่เหมาะกับผมมากกว่าหวานแล้วล่ะครับ”
ชายหนุ่มพยายามทำใจให้สงบ เขาผวากับแววตาของผู้หญิงตรงหน้าเหมือนกัน
หวานตาสูดลมหายใจลึกๆ เธอนับหนึ่งถึงสิบ แล้วก็เริ่มต้นนับใหม่ เป็นการลดอุณหภูมิความโกรธให้ลดลงที่ได้ผลชะงัด ครั้งหนึ่งเธอเคยวีนแตกเพราะเก็บอารมณ์โกรธไว้ไม่อยู่ และครั้งนั้นทำให้เธอพลาดโอกาสดีๆ ภูมิเตือนเธอ เขาสอนให้เธอนับเลขในใจ หลังจากวันนั้น เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นครูของเธอ ภูมิชี้ให้เห็นความผิดพลาด หากเธอควบคุมอารมณ์ได้ เหตุการณ์จะไม่บานปลายเลย นับจากนั้นเธอก็ใช้วิธีของภูมิ เธอจะนับเลขในใจทุกครั้งที่ความโกรธปะทุขึ้นมาในใจ
“1 2 3...” เรืองฤทธิ์เอียงหูฟัง เขาได้ยินเสียงหวานตาพึมพำบางอย่างออกมา
“ครอบครัวผมไม่ได้รวย บ้านเรามีรายจ่ายเยอะแยะ ผมต้องแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่ ผมคงไม่มีเงินมาสู่ขอหวาน หากวันหนึ่งในอนาคตเราต้องแต่งงานกัน”
เหตุผลแสนดีที่ฟังแล้วเหมือนกับว่าเรืองฤทธิ์กำลังตัดพ้อเธอ เขาคงไม่มีปัญญาหอบเงินล้านมาขอเธอแน่ แต่หวานตารู้ว่าไม่ใช่
“ไม่ใช่เหตุผลที่เราต้องเลิกกันนี่คะ หวานยังไม่ได้เร่งรัดให้เราแต่งงานกันเสียหน่อย”
หญิงสาวแย้ง เธอใจเย็นที่สุดแล้วนะ
“ผม...”
หลังนับเลขในใจวนไปวนมาเกือบร้อยรอบ หวานตาใจเย็นขึ้น เธอวาดปลายเท้าลงวางที่พื้น และถามเรืองฤทธิ์ตรงๆ
“คุณเจอคนใหม่ที่ดีกว่าหวานใช่ไหมคะ... หวานเข้าใจแบบนี้ถูกไหม?”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอเขาฉวยแก้วกาแฟมาจิบ และเกือบสำลักเมื่อ…
“เธอเป็นใคร? ใช่ผู้หญิงในรถยนต์สีดำที่จอดอยู่โคนต้นไม้ตรงนู้นไหมคะ?”
แค๊กๆ ชายหนุ่มวางแก้วบนโต๊ะ ยกมือตบอก รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบกาแฟที่กระเด็นออกมาจากปากและเปื้อนบนอกเสื้อตัวเอง
“ทำไมไม่ให้เธอเข้ามาพูดกับหวานเองเลยล่ะคะ?”
หวานตาถามซ้ำ เธอมั่นใจเอาจริงๆ จังๆ ก็ตอนที่เรืองฤทธิ์มีปฏิกิริยาตอบกลับมาแบบนั้นนี่เอง ครั้งแรกก็แค่สงสัย สายตาของเขาวนเวียนไปแถวนั้นบ่อยๆ จนกระทั่งเมื่อเขาเอ่ยปากพูด เขาก็ยังพยายามส่งสายตาไปที่รถยนต์คันนั้นอีก
“คือ...”
“หวานเข้าใจค่ะ เธอคงไม่กล้า แต่แหม...กล้าแย่งแฟนชาวบ้าน แต่กลับไม่กล้าสู้หน้าหวานงั้นเหรอคะ ไม่น่ารังเกียจไปหน่อยเหรอ”
หญิงสาวกล่าวประชด เธอเบ้ปาก ยิ้มหยันเลยไปให้ผู้หญิงขี้อายที่หลบอยู่ในรถยนต์คันหรู
“มันไม่ใช่แบบที่หวานเข้าใจหรอกนะครับ” เรืองฤทธิ์พยายามแก้ตัวแทนให้แม่สาวปริศนาคนนั้น