CHAPTER 3
“สะเออะ”
ฉันปรายสายตาเหยียดมองคนที่อยู่ต่ำกว่าตัวเอง เขาไม่แม้จะขยับมือของตัวเองด้วยความอวดดีเมื่อกี้ฉันถือว่าเป็นการเตือนแล้วนะแต่ก็ยังดันทุรังโง่เองคราวนี้ การรวบรวมน้ำหนักลงส้นเท้ายกปลายเท้าขึ้นเบนไปทางมือขาวจากนั้นฉันก็จัดการเหยียบมันลงไปโดยทิ้งน้ำหนักสุดตัว
ไม่นานมือข้างนั้นก็มีของเหลวสีแดงฉานไหลออกมาซึ่งฉันก็ไม่สน ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำกับยินดีเสียอีกที่ได้เห็น ความเจ็บปวดจากการที่เลนส์เจาะเข้าไปทักทายเนื้อด้านในมือขาวนั้น อยากให้คนอย่างนั้นได้ลิ้นรสความเจ็บปวดเริ่มจากการเจ็บปวดพื้นฐานก่อนนั่นก็คือเจ็บจากการมีบาดแผล
ไม่เทียบไม่ได้เท่าฉันหรอก
“เอาเลย” นัยน์ตาสีดำเงยขึ้นมาจ้องหน้าฉันจากนั้นไม่นานริมฝีปากได้รูปถึงขยับอีกครั้ง “เหยียบแรงอีกสิ”
“เฮ้ยกูว่าพอๆ” มีผู้ชายอีกคนเข้ามาในวงสนทนาระหว่างฉันกับเขา คนมาใหม่นั่งยองๆ ข้างเพื่อนจากนั้นก็ฉุดแขนขึ้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฉันปล่อยเท้าออก แน่นอนว่าคนมาใหม่มองฉันในลำดับถัดมาเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักจากแววตาก็พอดูออก “ไอ้อาร์ตเลือดมันเต็มมือขนาดนั้นส่วนเธอเกินไปมั้ยที่ทำแบบนี้กับคนอื่น”
“คนอื่นหรอ?” สามพยางค์ที่ฉันเอ่ยขึ้นดังมากเหมือนกันต่อด้วย “หึ... คนอื่นเขาไม่ทำกับแบบนี้หรอก”
“ไอ้วาพอ กูไม่เป็นไร”
พอมีเสียงราบขึ้นมาห้ามปรามเพื่อนคนนั้นก็หยุดแต่ไม่ถอยออกไป ยังอยากเป็นส่วนเกินสอดทั้งที่ไม่ใช่เรื่องตัวเองไม่เกี่ยวสักนิด
คนนอกฉันไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
“อย่าท้าคนอย่างฉันอีก”
มันไม่เหมือนอดีต
มันไม่เหมือนกันและจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว สวรรค์กับนรก
“ไม่ได้ท้าจะทำอะไรก็ตามสบาย เอาที่เธอสบายใจได้เลย”
เนี่ยแหละที่เรียกว่าท้า แค่เจอหน้าทำอะไรนิดหน่อยวันนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วกับการรอคอย ฉันคงไม่ระเบิดคราวเดียวตุ้มตายหมดหรอกแต่จะค่อยๆ ทำไปทีละนิดละหน่อยตามวิธีของตัวเอง ช้าๆ รอดูน้ำหูน้ำตาเสียงร้องไห้อวดโอยจากหลายคนมันไม่สนุกกว่าหรอ
“ก็ดี รู้ว่าฉันมาแล้วก็ดี”
“เธอ... สบายดีใช่มั้ย?”
น้ำเสียงแบบนี้ใช้อะไรกับฉันไม่ได้อีกต่อไปรวมถึงแววตาอย่างนี้ด้วยต่อให้เขาจะก้มลงกราบต่อหน้าก็ไม่มีแม้แต่ความสงสารความเห็นใจก็ไร้สิ้นความหมาย
“ถามเหมือนไม่รู้เลยนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ตอแหลสิ้นดี “คราวนี้ฉันคนนี้ จะทำศิลาการลงนรกทั้งตระกูล”
“พวกเขาไม่เกี่ยว”
นึกว่าจะเชื่อเหรอ นึกว่าจะโง่งมอีกหรือไง ฉันยกริมฝีปากยิ้มเหยียดให้กับผู้ชายตรงหน้าทำท่าทางท้าทายไม่เชื่อกับประโยคที่ได้ยิน ไม่รู้สิฉันกลายเป็นอีกคนหนึ่งแล้วไม่มีทางย้อนกลับไปเจริญตามรอยเก่าที่มีแต่คนขีดเขียนร่องรอยความฉิบหายเอาไว้ให้หรอก
คำว่าไม่เกี่ยวมันก็คือคำแก้ตัวดีๆ นี่เอง
ไม่เกี่ยวแต่คอยเสี้ยมพูดประโยคให้อีกคนไม่ไว้ใจคนรัก
ไม่เกี่ยวแต่คอยยุยงส่งเสริมคนอื่นให้เกลียด แกล้งต่างๆ นานา
ไม่เกี่ยวแต่คอยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอำนวยความสะดวกให้คนอื่นเข้ามา
สำหรับฉันแบบนี้ไม่ใช่ไม่เกี่ยว...
“ช่วยไม่ได้อยากเกิดมาในตระกูลนั้นเอง ฉันถือเหมารวมหมด” เหมารวมทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะโดนขู่เข็ญให้ทำก็ตามเพราะคนเรามีความคิดเป็นของตัวเองไม่จำเป็นต้องให้ใครมาแนะนำชี้ทางเหมือนเป็นเด็กหรอก “ตระกูลซวยๆอยู่แล้วมีแต่ความฉิบหาย คอยแต่ปั้นหน้าส่งยิ้มให้แต่ลับหลังกับถือมีดแหลมคอยแทงด้านหลัง แบบนี้ไม่ควรอยู่มาได้นานขนาดนี้นะจะบอกให้”
ควรล่มจม
ควรหายไปได้แล้ว
“แฟน...”
“รับไม่ได้หรือยังไง?”
“เธอไม่ควรตัดสินคนอื่นด้วยตัวเอง” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นมันคือประโยคธรรมดาสำหรับใครๆ ที่ได้ฟังแต่สำหรับฉันมันเป็นประโยคตำหนิที่ออกมาในรูปแบบหนึ่ง ฉันรู้ดี “เธอไม่ได้อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา”
“พวกนั้นก็ไม่ควรเข้ามายุ่งกับชีวิตฉันเหมือนกัน ตัดสินชีวิตฉันโดยใช้ศาลเตี้ยที่ตั้งขึ้นกำหนดวิธีบ้าๆ ความคิดของผู้ดีที่เขาใช้ตัดสินคนอื่นงั้นเหรอ?” พวกนั้นเป็นคนเริ่มผูกปมเอง “ในเมื่อใช้วิธีไหนมาฉันก็จะใช้วิธีนั้นกลับ”
“...”
“เตรียมตัวได้เลย”
ไม่ขู่แต่เอาจริง
เท้าฉันถอยออกมาอีกนิดเพื่อรักษาระยะ ระยะที่ฉันเป็นคนกำหนดเองต่อไปนี้ฉันต้องก้าวต่อไปด้านหน้าอย่างมั่นคงโดยไม่มีอะไรเข้ามาฉุดดึงได้ รอยยิ้มเย้ยเยาะถูกส่งออกไปในเวลาต่อมาฉันไม่สนว่าในสายตาผู้ชายรอบตัวในกลุ่มของผู้ชายคนนั้นจะมองตัวเองยังไงกระทั่งก้าวเข้าไปประชิดตัวคนตรงหน้าตั้งใจยกปลายรองเท้าขึ้นเหยียบเท้าใหญ่เน้นแรงออกไป
ส่งไปให้มันสุด ใครเจ็บปวดช่างหัวมัน
“อยากทำ อยากแก้แค้นก็ทำที่ฉันแฟน”
“นายไม่มีประโยชน์อะไรขนาดนั้น ทำที่นาย ลงที่นายแล้วมันจะไปสนุกอะไรกัน”
“เธอ...” น้ำเสียงเจ็บปวดของเขางั้นเหรอ
“คนแรกที่ฉันหมายหัวเอาไว้...” ฉันกระชากคอเสื้อของเขาเต็มแรงก่อนตะคอกใส่หน้าด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดไร้การล้อเล่นใดๆ “แม่นายไง ระวังจะหัวใจวายล่ะ!”
“...”
เงียบที่บ่งบอกว่าไม่พอใจแต่จะทำไงได้เมื่อฉันมันพอใจ
“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้า ฉันกล้ากว่าที่คนอย่างนายคิด”
แค่นี้ฝ่ามือฉันก็ผละของจากคอเสื้อระยะห่างก็มีเพิ่มขึ้นแต่สายตาของฉันยังสบสายตาของผู้ชายคนนั้นอยู่ ไม่หลบสักวินาทีเดียวในเมื่อตอนนี้ฉันเป็นผู้ล่าคนที่จะต้องถูกล่าสิถึงหลบแต่วินาทีต่อมาก็มีภาพหนึ่งซ้อนขึ้นจากใบหน้าของผู้ชายคนนั้น
ใบหน้าที่มีรอยยิ้มสวยเด่น
ใบหน้าที่มีลักยิ้มอันแสนน่ารัก
ใบหน้าที่ดูคล้ายคลึงกับตัวเองเฉพาะริมฝีปาก
ใบหน้าที่ถ้าฉันเห็นมันเมื่อไหร่ก็ตามอารมณ์จะสงบลง
เป็นไปไม่ได้...
ฉันตัดสินใจหลับตาลงเพื่อข่มความรู้สึกพวกนั้นเก็บเข้าส่วนลึกของในใจพยายามล็อคกักเก็บมันเท่าไหร่ก็ไม่พ้นเพราะเมื่อลองลืมตาขึ้นใหม่ใบหน้านั้นก็ยังอยู่ที่เดิมซ้อนกับใบหน้าของคนที่เกลียดสุดท้ายการจ้องมองไปนานๆ สายตาก็เริ่มพล่ามัวเนื่องด้วยน้ำตาเอ่อคลอเต็มขอบเบ้าตา
ทำไมต้องมาอ่อนแอตรงนี้ ทำไมต้องทำให้เห็นภาพซ้อนพวกนั้น ทำไม ทำไม ทำไม ภายในใจฉันต่างรัวคำถามพวกนี้เพื่อถามตัวเองถ้ามาในตอนอื่นจะไม่กระวนกระวายใจขนาดนี้ หรือว่าอยากให้ฉันหยุด อยากเป็นน้ำเย็นมาชโลมดับร้อนในใจฉันถ้าเป็นแบบนี้
ฉันแพ้จริงๆ นะเพราะเธอคือคนสำคัญในชีวิต
“แฟน... เธอเป็นอะไร?”
“...”
การเลือกกระพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่น้ำตาบ้าๆ พวกนั้นออกไปก็ดูเหมือนไร้ค่าฉันไม่อยากเป็นผู้หญิงเจ้าน้ำตาต่อหน้าผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว ตัวเลือกที่ควรใช้คือการเดินกระแทกไหล่ใหญ่อย่างแรงก่อนเดินออกไปโดยมุ่งหน้าไปหลังตัวอาคารมันจะทะลุไปถึงลานจอดรถซึ่งรถฉันจอดตรงนั้นแต่...
กระเป๋าไม่ได้อยู่กับตัวเองนะสิน่าเจ็บใจนัก
ฉันจึงทรุดตัวนั่งลงตรงม้านั่งไม้ลับสายตาคนอื่นเพราะมีต้นไม้ปิดบังเอาไว้ก่อนเคลื่อนสายตาจับจ้องไปยังแหวนนิ้วกลางข้างขวาที่ซ้อนกันอยู่ วงแรกเป็นสีเงินขนาดใหญ่ดูเผินๆ จะไม่รู้หรอกว่ามันเป็นแหวนผู้ชายแต่ฉันสั่งร้านให้ลดขนาดให้ใส่นิ้วตัวเองได้ส่วนอีกวงที่ใส่ซ้อนเป็นสีทองวงเล็กน่ารักรวดลายเหมือนเป็นสายฟ้า
เป็นเครื่องประดับเพียงสองชิ้นที่ฉันไม่เคยถอด
หนูเข้ามาห้ามแม่ทำไมลูก
เข้ามาห้ามไม่ให้ทำคนใจร้ายคนนั้นทำไม...
