CHAPTER 8
[เออดิ เรื่องมากสัส คิดว่าเนื้อตัวที่โดนน้ำตาลตบถีบไปเป็นทองเหรอถึงเรียกเป็นหลักล้าน พ่องมึงสิ!]
“ใจเย็น”
[เย็นไหวก็เหี้ยแล้ว อยากถีบขาคู่ที่ยอดหน้านัก]
“แล้วไอ้เกมส์”
[เย็นไม่ไหวเหมือนกันแต่กูไม่ไหวกว่า หัวร้อนสัสๆ]
“แบบนี้สินะมึงถึงใช้วิธีนี้กับเหยื่อ”
[ตัดปัญหามากกว่าตกลงว่าดีลนะ?]
“ดีล”
[งั้นแค่นี้นะ]
จบไปอีกหนึ่งวันสำหรับวันนี้นึกว่าเรื่องราวจะเดินไปแล้วไม่เผชิญเรื่องตื่นเต้นอะไรทว่าไม่ใช่มันกับมีความตื่นเต้นและการเฉียดฉิวเกิดกับผมไม่น้อยพอชวนให้ใจเต้นระรัวลุ้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกไหมแต่ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้นก็ถือว่าดีแล้ว
เกือบสิบโมงที่ผมตื่นมาในเช้าวันนี้พร้อมด้วยกาแฟหอมกรุ่นที่ถูกเตรียมไว้ความร้อนพอประมาณเสิร์ฟมากับอาหารเช้าสไตล์อเมริกัน ทุกวันสามสี่วันที่มาอยู่ไทยร่างกายค่อยปรับตามเวลาของที่นี่แต่ผมจะชินกับการตื่นนอนช่วงเวลา 8-10 โมงไม่เกินนี้เพราะทุกคืนเป็นช่วงเวลาทำงาน
งานของผมสามารถทำที่ไหนก็ได้ขอให้เงียบสงบไร้สิ่งรบกวนใดๆ มันถึงจะออกมาดีที่สุดและช่วงเวลาที่ดีคงเป็นตอนกลางคืนกลางดึกขึ้นไปแต่ไม่เกินตี 4-5 ของทุกคืน
แค่นี้แหละชีวิตประจำวันของผม จืดจางที่สุด
ความเงียบเยือกเย็นของตัวบ้านเป็นแบบนี้เสมอไม่ว่าจะหันมองไปทิศทางไหนก็มีความว่างเปล่าไร้ผู้คนใดๆ เพราะมันคือคำสั่งจากผมเอง ผมอยากอยู่แบบนี้มองไปทางไหนไม่มีร่างคนรกสายตาท้ายสุดมือมันก็วางช้อนและส้อมลงตามด้วยยกน้ำเปล่ามาดื่มเป็นอันว่าเวลารับประทานอาหารได้จบลง
ผมเดินออกจากห้องทานข้าวตรงไปเลี้ยวซ้ายเจอห้องนั่งเล่นสไตล์อังกฤษแม่ชอบเรียกว่าห้องจิบชา ห้องนี้มันถูกออกแบบให้เป็นหน้าต่างทรงสูงสีขาวขยายกว้างมีสีสันจากม่านสีแดงเลือดนกกำมะยี่ประดับทั้งซ้ายและขวาเข้ากับชุดโซฟาตัวใหญ่ที่ผมพึ่งหย่อนสะโพกนั่งลงห้องนี้สวยกว่าทุกห้อง ห้องนี้ผมชอบมานั่งและห้องนี้สามารถมองออกไปด้านนอกเป็นสวนกุหลาบสีน้ำเงินเบ่งบานเต็มสวน ไม่นานก็มีชากุหลาบกลิ่นหอมมาเสิร์ฟโดยฝีมือลุงชาญคนดูแลบ้าน ท่านวางถ้วยชาสีขาวลวดลายสวยอย่างแผ่วเบาที่สุด
“เมื่อวานเขามาครับแต่ไม่ได้เข้าบ้าน”
“ครับต่อไปถ้าเขามาก็ไม่ต้องให้เข้านะลุง ผมไม่อนุญาต”
“ได้ครับคุณหนู” แต่แล้วก็มีบุคคลที่สามเดินเข้ามาทำลายบทสนทนา “มีอะไร”
ลุงชาญหันไปเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแต่ไม่ได้ดุดันขนาดนั้นเพราะคนที่พึ่งเข้ามาคือป้านอมเมียของแกที่อยู่ร่วมชายคาบ้านนี้อีกคน บ้านผมอยู่ประจำมีแค่ผมนอนบ้านหลังใหญ่และมีลุงชาญ ป้านอม สองคนนี้อาศัยเรือนคนใช้ห่างออกไปส่วนคนอื่นๆ ไปกลับไม่ให้ค้าง
“ขอโทษค่ะคุณหนู เขามาอีกแล้วจอดรถยืนโกรธที่หน้าบ้าน”
“ทำไมโกรธครับ”
“เพราะป้าไม่เปิดประตูค่ะ”
“ดีแล้วครับ” ผมว่าพร้อมลุงขึ้นยืนมองป้านอมแล้วยิ้มให้ท่านนิดหนึ่งเพราะก่อนหน้าเห็นแว๊บๆ ไม่ได้เผชิญจริงจังอะไรแบบนี้ ทุกคนคงรู้ดีว่าผมค่อนข้างเก็บตัวรักความเป็นส่วนตัวขนาดไหนความวุ่นวายอย่าได้ถามหาแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ควรมีมาด้วยซ้ำ “เดี๋ยวผมจัดการเอง ลุงชาญกับป้านอมมีอะไรก็ไปทำเถอะครับ”
พูดเสร็จผมก็เดินมุ่งหน้ามาทางประตูหลังบ้านที่เป็นทางเล็กๆ สองข้างเต็มไปด้วยไม้เลื้อยกันเป็นพุ่มยาวไปจนสุดพอออกจากพุ่มก็จะเจอประตูเหล็กแกร่งสีน้ำตาลเข้มมันเป็นประตูช่องกว้างเพียงแค่ช่วงตัวครึ่งทว่าสูงแนบทั้งสองข้างด้วยกำแพงอิฐสีแดงเข้มรอบรั้วบ้านด้านบนมีปลายเหล็กแหลมแล้วก็มีเครือกุหลาบเลื้อยพันอยู่เต็มไปหมด แค่นี้ผมก็เห็นเขายืนจ้องอยู่ แค่นี้ผมก็เห็นเขาขยับตัวเดินมาใกล้ประตู แค่นี้ปลายเท้าผมก็หยุดชะงักซึ่งห่างประตูหลายช่วงตัว
ไร้เสียงใดๆ มีแค่การจดจ้องมองหน้ากันเท่านั้น
ความนิ่งเงียบของตัวผมทำเอาอีกฝ่ายถอนหายใจพรูดดังขึ้นก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมากอบกำซี่ประตูเหล็กเอาไว้แน่นก็ทำได้แค่นี้แหละในตอนนี้ ทำมากกว่านี้ไม่ได้
“ทำไมไม่ให้เข้าบ้าน นี่ฉันเป็นพ่อนะพึ่งรู้ว่าคนรวยๆ เขาต้อนรับแขกแบบนี้ เหอะ... ไร้มารยาท!”
“สิทธิของเจ้าของบ้านจะทำยังไงก็เรื่องของเขาใช่เรื่องของคุณตรงไหน ที่มาโวยวายแบบนี้คงไม่เรียกว่ามารยาทดีเท่าไหร่นักไม่ใช่เหรอหรือคุณพอมีความเห็นที่ต่างจากตรงนี้”
“นี่พ่อ....กะ”
“ถ้ามาพูดเรื่องไร้สาระก็เชิญ”
ผมหันหลังกลับทันทีไม่ฟังอะไรอีกสำหรับการสาธยายเรื่องนั้น
“ฉันมาทวงสัญญากับเงินส่วนนั้น!”
“แม้ว่าสัญญาส่วนนั้นมันจะแลกด้วยลูกเลี้ยงสุดรักของคุณอย่างงั้นเหรอ?”
