บท
ตั้งค่า

Neighbor 03

ฉันนั่งมองเมนูอาหารตรงหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย พี่คินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉัน ส่วนคนที่นั่งข้างพี่คินก็คือเพียว และพี่เจก็คือคนที่นั่งข้างฉัน เหอะ! เจริญอาหารจริงๆ

“ขวัญหิวไม่ใช่เหรอ สั่งอาหารสิ”

สายตาคมมองมาทางฉันที่เอาแต่เท้าคาง และมองไปมองบรรยากาศนอกร้านโดยไม่ได้สนใจเมนูอาหารตรงหน้าของตัวเองเท่าไหร่นัก ก่อนที่ฉันจะหันไปตอบพี่คินพร้อมกับส่งยิ้มบางไปให้เขาเล็กน้อย

“ขวัญกินอะไรก็ได้ค่ะ“

“อันนี้ก็อร่อยนะคะ” เพียวชี้ภาพอาหารในเมนูให้ฉันดูแล้วยิ้มสดใส ฉันเลยต้องส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปให้เธอแทน ทำไมฉันต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยล่ะเนี่ย บ้าจริง

“เอาอันนั้นก็ได้ค่ะ”

“งั้นเพียวสั่งให้เลยนะคะ“

ฉันพยักหน้าหงึกหงักให้เพียวแทนคำตอบ แล้วหันไปมองนอกร้านผ่านกระจกใสอีกครั้ง คนที่ห้างฯ ดูเยอะชะมัด แต่ฉันไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แล้วอะ เฮ้อ…

”ขวัญ พี่สั่งน้ำส้มให้นะ เห็นชอบ”

ฉันหันขวับและขมวดคิ้วมองหน้าพี่เจด้วยความรวดเร็ว ฉันไปชอบน้ำส้มตอนไหนอะ ฉันชอบน้ำพันซ์เถอะ แล้วฉันก็ต้องพยักหน้าอย่างมึนงงทันทีที่พี่เจขยิบตาส่งมาให้จนลูกตาเขาจะเหล่ใส่ฉันอยู่แล้ว ฉันเกือบหลุดขำพี่เจออกมาแล้วสิ ทำหน้าตลกชะมัด

”ขวัญชอบน้ำพันซ์ไม่ใช่รึไง”

ฉันชะงักและนิ่งนิ่งอย่างอึ้งๆ ก่อนจะมองไปทางพี่คินที่เหลือบมองมาทางฉันด้วยสายตาคมกริบ ฉันกระแอมเบาๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองอีกครั้ง เขารู้ได้ยังไงน่ะว่าฉันชอบดื่มน้ำพันซ์ ฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลยนะ

”พอดีอยากเปลี่ยนบ้างค่ะ แล้วพี่คินรู้ได้ไงคะว่าขวัญชอบน้ำพันซ์”

“เคยได้ยินแคทพูดกับแม่น่ะ”

พี่คินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยบอกฉันเสียงทุ้มต่ำ แล้วพี่คินก็หันไปมองเมนูอาหารไปด้วยเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ฉันเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเซ็งๆ

“เหรอคะ”

พรึบ!

“พี่คินคะ สั่งอันนี้ด้วยดีมั้ยคะ”

”ครับ สั่งเลย”

จู่ๆ เพียวก็พูดแทรกขึ้นพร้อมกับขยับตัวไปนั่งใกล้ชิดกับร่างสูงใหญ่มากกว่าเดิม ฉันถอนหายใจออกมาแรงๆ อีกครั้ง แล้วหันไปคุยกับพี่เจที่นั่งกดโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย

“พี่เจคุยกับใครอะ”

“เพื่อน”

“ไหน เพื่อนคนไหน ขวัญรู้จักปะ”

ฉันชะโงกหน้าไปดูตรงหน้าจอโทรศัพท์ของพี่เจทันที เพื่อนหรือผู้อะพี่เจเอาดีๆ เหอะ! แอบคุยกับคนอื่นทั้งๆ ที่ฉันนั่งเป็นหมาหงอยอยู่คนเดียวเนี่ยนะ บ้าจริง

ผลั่ก

“ยุ่งตลอด”

พี่เจผลักหัวฉันออกเบาๆ แต่สักพักเขาก็ดึงฉันเข้าไปใกล้อีกครั้งโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันหันไปขมวดคิ้วมุ่นมองหน้าพี่เจอย่าไม่ค่อยเข้าใจ พี่เจดึงตัวฉันไปมาจนจนมึนหัวไปหมดแล้วนะ

“อะไรของพี่เนี่ย...”

”ทำตามแผนที่ฉันบอกแกเลยนะ ฉันอยากรู้ว่าพี่คินจะทำไง” พอฉันกำลังจะอ้าปากบ่น พี่เจก็รีบกระซิบข้างใบหูของฉันเสียงเบาอุบอิบด้วยความรวดเร็ว

“โอเค”

ฉันพยักหน้าหงึกหงักทันที ตอนแรกก็ไม่คิดจะใช้แผนนี้ตามที่พี่เจบอกหรอก แต่พอได้มาเห็นว่าพี่คินกับเพียวดูสนิทสนมกัน ฉันก็รู้สึกร้อนรุ่มและขัดใจแปลกๆ จนต้องหาอะไรทำแก้ไอ้อาการบ้าๆ นี่ซะ

“ขวัญกับเจดูสนิทกันดีนะ”

เสียงเข้มต่ำและสายตาคมของร่างสูงใหญ่ที่มองมา ทำให้ฉันรู้สึกทำไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ก็พี่คินไม่เคยมองฉันด้วยสายตาดุๆ มากเท่านี้มาก่อนเลยนี่นา ให้ตายสิ

“พอดีรู้จักกันมานานแล้วน่ะครับ เลยสนิทกันเป็นพิเศษ” พี่เจตอบแล้วลูบหัวฉันไปมา ที่ลูบนี่ไม่รู้ว่าเอ็นดูหรืออะไรกันแน่ เล่นลูบหัวฉันจนผมฟูหมดเลยนะพี่เจ!

“งั้นเหรอ”

พี่คินเอ่ยตอบเสียงเข้มต่ำเพียงสั้นๆ แล้วเขาก็หันมาจ้องมองใบหน้าฉันอีกครั้ง ฉันกะพริบตาปริบๆ สบกับสายตาดุดันพร้อมกับเม้มริมฝีปากเอาไว้เล็กน้อยอย่างประหม่า

“พี่คินจะไปไหนเหรอคะ”

เพียวถามร่างสูงใหญ่ที่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไปจากโต๊ะด้วยความสงสัย ฉันกับพี่เจนั่งมองหน้ากันอย่างุนงงที่จู่ๆ พี่คินก็ลุกขึ้นโดยไม่บอกไม่กล่าว อะไรของเขาอะ พี่คิดหงุดหงิดอะไรงั้นเหรอ…

“พี่ไปสูบบุหรี่ เดี๋ยวมา”

เสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกนิ่งๆ เขาเหลือบมองมาที่ฉันอีกครั้ง จากนั้นพี่คินก็เดินออกไปจากร้านทันที ฉันนั่งมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ขวัญรู้จักกับพี่คินได้ยังไงคะ”

เสียงสดใสของเพียวถามขึ้น ฉันสะดุ้งและหยุดคิดฟุ้งซ่านเรื่องพี่คิน แต่พอหันไปทางเพียวก็เห็นว่าสีหน้าของเธอดูเหมือนกำลังไม่พอใจอะไรเกี่ยวกับฉันสักอย่าง

“บ้านพี่คินอยู่ข้างบ้านฉันน่ะ แล้วฉันก็เป็นเพื่อนกับยัยแคทน้องสาวพี่คิน”

“แบบนี้สินะคะพี่คินถึงดูสนิทกับขวัญ เพราะเป็นเพื่อนนางสาวนี่เอง”

คำว่าเพื่อนนางสาวจากปากของเพียวทำให้ฉันนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที แล้วได้แต่มองรอยยิ้มที่เหมือนกำลังเยาะเย้ยของเธอที่ส่งมาให้ด้วยความเจ็บ และหน่วงเล็กน้อย ให้ตายเถอะ เธอเป็นคนยังไงกันแน่ ต่อหน้าพี่คินไม่ใช่แบบนี้นี่นา เหอะ!

“แล้วเพียวเป็นอะไรกับพี่คินเหรอครับ”

พี่เจที่ถามเพียวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ได้ยินเพียวพูดแบบนั้นกับฉัน เธอคงดูออกว่าฉันคิดยังไงกับพี่คินสินะ ถึงได้ทำท่าทางเยาะเย้ยกันขนาดนี้

“น้องสาวมั้งคะ เพราะเรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก คุณพ่อของเพียวเป็นหุ้นส่วนที่บริษัทของคุณพ่อพี่คินด้วยน่ะค่ะ”

“อ๋อ เหรอครับ..”

“แต่เพียวชอบพี่คินค่ะ ไม่ยอมยกให้ใครหรอก”

ฉันกัดริมฝีปากล่างเอาไว้จนเจ็บไปหมด มองหน้าเพียวที่กำลังมองมาด้วยความขุ่นเคือง ตอนนี้ไม่มีรอยยิ้มสดใสจากเธออีกแล้ว มีเพียงรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ส่งมาให้ฉันเท่านั้นแหละ บ้าจริง หน้าหงุดหงิดชะมัด

“มีอะไรกันรึเปล่า”

เสียงทุ้มเข้มของพี่คินทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่รีบปรับสีหน้าแล้วทำตัวตามปกติทันที เพียวกลับมายิ้มกว้างและทำเสียงสดใสอีกครั้ง พี่เจที่กำลังนั่งอึ้งก็ก้มลงเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองตามเดิม ส่วนฉันก็หันไปยิ้มแห้งๆ ให้พี่คิน แล้วมองผู้คนที่เดินไปมาในอยู่ห้างฯ ผ่านกระจกใสเพื่อกลบเกลื่อน พอพี่คินเห็นว่าทุกคนไม่ได้มีท่าทีอะไร เขาก็เลิกคิ้วเข้มมามองทางฉันเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ของเขาโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ... ฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่ หิวเหรอก็ไม่ได้หิวซะหน่อย

“แกเป็นไรปะ”

พี่เจขยับมากระซิบถามฉันเบาๆ อย่างเป็นกังวล ถ้าพี่เจไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยฉันจะเป็นอะไรไหมนะ คงน้ำตาไหลต่อหน้ายัยเพียวไปแล้วแน่ๆ เลย เหอะ

“ไม่เป็นไรพี่.. ก็แค่เจ็บนิดหน่อย”

“กลับกันเลยดีมั้ย”

ฉันส่งยิ้มบางกลับไปให้พี่เจที่ถามอย่างเป็นห่วง แล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ ไหนๆ ก็เจ็บมาขนาดนี้แล้วอยู่ต่ออีกหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร ฉันจะได้เจ็บจนมันอาจจะหายเจ็บหรือเลิกชอบพี่คินไปเลย เหมือนที่พี่เจเคยบอกไงว่าอยู่ใกล้ๆ มันอาจจะดีกว่าหนีไปเรื่อยๆ ก็ได้ ฉันจะมามัวหงอยกับคำพูดของใครก็ไม่รู้แบบนี้ไม่ได้ เข้าใจหรือเปล่ายัยขวัญ!

“กลับได้ไง ยังอ่อยไม่สำเร็จเลย”

“เออ มันต้องงี้ดิวะ”

พี่เจหัวเราะออกมาเบาๆ จนพี่คินที่เหลือบมองเราสองคนอยู่หลายครั้งจ้องมายังฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพร้อมกับคิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด แล้วพี่คินหัวเสียเรื่องอะไรอีกล่ะเนี่ย…

“พี่คินมีอะไรรึเปล่าคะ“

ฉันถามขึ้นเพราะเห็นว่าเขามองมาทางฉันกับพี่เจหลายต่อหลายครั้งแล้วน่ะสิ ทั้งๆ ที่ยัยเพียวก็พูดคุยกับเขาไม่หยุด เห็นไหมล่ะ พอพี่คินอยู่ด้วยเธอก็มีท่าทีที่เปลี่ยนเป็นอีกคนทันที

“เปล่า กินข้าวกันเถอะ”

ฉันกะพริบตาปริบๆ แล้วพยักหน้าหงึกหงัก และไม่นานอาหารที่พวกเราสั่งก็มีพนักงานเดินมาเสิร์ฟพอดี รสชาติอาหารเป็นยังไงฉันยังไม่อยากรับรู้เลย ทั้งๆ ที่มันก็ออกจะแพง ให้ตายเถอะ ฉันต้องอ่อยแบบไหนพี่คินถึงจะไม่มองว่าฉันเป็นแค่เพื่อนของน้องสาวเขากันล่ะเนี่ย แล้วยิ่งมาเจอยัยเพียวที่ออกตัวแรงขนาดนั้น ฉันก็ยิ่งคิดหนักกว่าเดิมอีก ฉันตักอาหารเข้าปากไปแอบมองพี่คินไป ทำไมเขาต้องเป็นคนที่ฉันชอบด้วยล่ะโว้ย!

“เพียวว่าจะไปดูรองเท้าน่ะค่ะ พี่คินไปเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ยคะ”

หลังจากที่ิกินข้าวกันเสร็จและคิดเงินเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่ฉันกับพี่เจกำลังเดินออกจากร้านอาหารก็ได้ยินเสียงหวานใสของเพียวหันไปพูดกับพี่คินทันที

”อือ ไปสิ”

ฉันยืนมองพี่คินกับเพียวที่เดินคุยกันอยู่ด้านหน้าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ นี่ฉันต้องมาเห็นาพแบบนี้อีกนานแค่ไหนกัน บ้าชะมัด

”แกจะไปไหนต่อป่ะ”

พี่เจเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือแล้วหันมาถาม สายตาฉันเห็นเพียวมองมาทางเราสองคนพอดีเลยคล้องแขนพี่เจแล้วพูดเสียงสดใสพร้อมกับยกยิ้มกว้างจนพี่เจมีสีหน้างงงวย แต่พอฉันแหล่สายตาไปทางพี่คิน พี่เจก็พยักหน้าเข้าใจทันที

”ขวัญอยากไปดูรองเท้าอะ พอดีคู่เก่ามันเริ่มขาดแล้ว”

“ซื้อร้านไหน”

“ไม่รู้อ่ะพี่เจ แต่ได้ยินว่าเพียวจะไปซื้อรองเท้าพอดี งั้นฉันไปด้วยได้มั้ย”

ฉันหันไปบอกพี่เจจบก็หันไปถามเพียวที่กำลังทำหน้าตึงใส่ฉันแต่ยังคงส่งรอยยิ้มใสซื่อมาให้ เพราะเธอเห็นว่าพี่คินยังคงมองมาทางพวกเราอยู่ เอาสิ! ถ้าเธอกล้าบอกชอบพี่คินต่อหน้าและทำตัวเหมือนเด็กหวงของขนาดนั้น คนอย่างฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะจะบอกให้ ยังไงพี่คินกับเพียวก็ไม่ใช่แฟนกันซะหน่อย ฉันไม่หงอยหรอก!

”กะ..ก็ได้”

ฉันฉีกยิ้มกว้างกลับไปให้เพียวเช่นกัน เธอหันหน้าหนีฉัน แล้วเดินลากแขนพี่คินไปที่ร้านรองเท้าด้วยความรวดเร็ว จนฉันต้องเบ้ปากออกมาเล็กน้อยอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ

“ไปกันพี่เจ“ ฉันยักไหล่แล้วหันไปเร่งพี่เจที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างรีบร้อน พี่เจเลยรีบเดินตามฉันเข้ามาในร้านรองเท้าทันที

”เออๆ ไปๆ”

ร่างสูงใหญ่นั่งรอเพียวซื้อรองเท้าส้นสูงอยู่ที่โซฟาสีแดงตัวใหญ่ภายในร้าน พี่เจเลยเดินไปนั่งข้างๆ เขาเพื่อรอฉันด้วยเหมือนกัน ซึ่งพี่คินไม่ได้พูดอะไรกับพี่เจ และทำเพียงเหลือบสายตาคมดุดันมองพี่เจเพียงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือของตัวเองต่อ

”พี่เจสีแดงเป็นไงอะ”

ฉันหยิบรองเท้าส้นสูงมาลองสวม แล้วหันไปถามความคิดเห็นจากพี่เจ แต่ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างเขากลับมองมาที่ฉันด้วยสายตาคมดุดันเรียบนิ่งจนฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูก ทำไมพี่คินต้องมองฉันแบบนั้นด้วยเล่า

“ขวัญใส่อะไรก็สวย”

ฉันชะงักและหันขวับไปมองพี่เจตาโตทันที เกือบหลุดขำออกมาเมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับคำพูดของเขาที่สวนทางกันชะมัด โอ๊ยพี่… ถ้ามันฝืดขนาดนั้นทีหลังไม่ต้องแกล้งพูดเพื่อช่วยฉันก็ได้นะ บ้าชะมัดเลย

“เหรอคะ แล้วพี่คินคิดว่าไงคะ”

พอตั้งสติเพื่อกลั้นขำพี่เจได้ ฉันก็หันไปถามพี่คินที่กำลังมองมาทางฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งบ้าง เขามองลงไปยังรองเท้าส้นสูงสีแดงที่ฉันสวมอยู่ แล้วเลื่อนสายตาคมขึ้นมามองใบหน้าของฉันอยู่นานจนฉันรู้สึกประหม่าไปหมด

“อันนี้ก็สวยดี แต่พี่ชอบให้ขวัญใส่สีนั้นมากกว่า“

เสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกจบ ฉันมองไปตามนิ้วชี้ของพี่คินจนเห็นรองเท้าส้นสูงสีดำดีไซน์เก๋ที่เขาบอก แต่ตอนนี้สมองฉันกลับมีคำพูดของพี่คินวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงที่เขาบอกว่าชอบจะเป็นรองเท้าส้นสูงก็ตาม หัวใจของฉันก็เต้นตึกตักรุนแรงอยู่ดี บ้าจริง ฉันจะอ่อยพี่คินแท้ๆ ทำไมกลายเป็นฉันที่เขินเองแบบนี้ล่ะ…

“พี่คินคะ เพียวว่าจะไปดูกระเป๋าก่อนดีกว่าค่ะ พอดีรองเท้าที่นี่ไม่มีไซส์”

ผลั่ก!

ฉันกำลังจะหันไปมองเพียวที่เพิ่งเดินมาทางนี้ แต่เหมือนหลังของฉันจะโดนผลักด้วยความแรง จนเท้าที่ใส่ส้นสูงที่สวมอยู่ลื่นเกือบล้มหน้าทิ่มไปบนพื้น แต่ยังดีที่มีฝ่ามือใหญ่มาดึงตัวฉันเอาไว้ซะก่อน

หมับ!

“เป็นอะไรรึเปล่า”

“พะ..พี่คิน”

ฉันกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อคมคายตรงหน้าอย่างมึนงงหน่อยๆ ปลายจมูกฉันกับพี่คินเกือบจะชนกันเพราะใบหน้าของเราสองคนใกล้กันมากจนฉันได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคยจากลมหายใจอุ่นร้อนของเขา

มือบางทั้งสองข้างจับอยู่บนไหล่แกร่งแน่น เข่าข้างหนึ่งของฉันยันโซฟาเอาไว้เล็กน้อย หน้าอกก็บดเบียดไปกับแผงอกกำยำแข็งแรงของพี่คินแนบชิดจนมดแทบเดินแทรกไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนแรกฉันว่าจะหันไปด่าเพียวที่เป็นคนผลัก แต่พอมันกลายเป็นแบบนี้ฉันก็รู้สึกอยากจะขอบคุณเธอที่ทำให้ฉันอ่อยพี่คินได้โดยไม่ตั้งใจ เพราะถ้าฉันไปอ่อยเขาแบบตั้งใจล่ะก็ ฉันคงได้เขินเองแน่ๆ

“ขวัญเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

ฝ่ามือใหญ่ที่จับอยู่รอบเอวบางของฉันแน่นขึ้นจนฉันรู้สึกเขินขึ้นมาทันที ให้ตายสิ แค่ได้มองใบหน้าหล่อคมคายของพี่คินฉันก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวไปหมดแล้วเนี่ย

”ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”

“ทีหลังใส่ส้นสูงอยู่ก็ระวังหน่อย ถ้าพี่ช่วยไว้ไม่ทันจะเป็นยังไง”

ฉันสบสายตาคมของพี่คินที่มองมาดุๆ แล้วก็ได้แต่กัดริมฝีปากล่างไว้ จากนั้นฉันก็พยักหน้าหงึกหงักกลับไปให้เขาเบาๆ พี่คินจะดุทำไมเนี่ย ฉันไม่ใช่เด็กซะหน่อย

”ทำไมต้องดุด้วยก็ไม่รู้” ฉันบ่นเสียงเบาอุบอิบอยู่คนเดียว แต่พี่คินคงได้ยินเขาถึงได้ดึงแก้มฉันเบาๆ หนึ่งทีอย่างมันเขี้ยวโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว

หมับ

“พี่ได้ยินนะ”

“อย่าดึงแก้มขวัญสิพี่คิน”

ร่างสูงใหญ่ยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำที่ดูอ่อนโยนลงมากกว่าเดิม จนฉันต้องเม้มริมฝีปากเอาไว้อย่างทำตัวไม่ถูก และทำหน้ามุ่ยใส่พี่คินเพื่อกลบเกลื่อนอาการประหม่าของตัวเอง

“อ่ะแฮ่มๆ“

ฉันกับพี่คินหันมองไปตามเสียงด้านข้างก็เห็นว่าพี่เจกำลังทำเป็นไอแค่กๆ แต่สายตาแหล่มองมาทางฉันแล้วยิ้มอย่างคนรู้ทัน ฉันเลยต้องอมยิ้มเล็กน้อย และค่อยๆ ถอยห่างจากร่างสูงใหญ่มายืนที่เดิมด้วยความรวดเร็ว

เมื่อทุกอย่างกลับเป็นปกติพี่คินก็เกาท้ายทอยของเขาไปมา ส่วนเพียวก็ยืนทำสีหน้าไม่พอใจใส่ฉัน แล้วเดินไปนั่งลงที่โซฟาข้างพี่คินเหมือนกำลังอารมณ์เสีย เหอะ ฉันมากกว่าปะที่ควรอารมณ์เสียใส่เธอ ผลักมาแรงขนาดนั้นถ้าพี่คินไม่ช่วยไว้ฉันคงหน้าทิ่มพื้นไปแล้ว คิดแล้วก็รู้สึกโมโห!

”กลับกันเถอะค่ะพี่คิน เพียวรู้สึกเหมือนจะไม่สบาย”

เพียวคล้องท่อนแขนแข็งแรงของพี่คิน แล้วเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนจนฉันที่มองอยู่ถึงกับต้องเบ้ปากอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ ให้ตายเถอะ จู่ๆ เธอก็ไม่สบายขึ้นมาเฉยเลย เมื่อกี้ยังมีแรงผลักฉันเกือบหน้าทิ่มแหนะ เหอะ

“อยากไปหาหมอรึเปล่า”

“ไม่เป็นไรค่ะ พักผ่อนก็คงดีขึ้น“

“อือ แล้วขวัญจะให้พี่ไปส่งที่บ้านรึเปล่า วันนี้พี่ต้องไปที่บ้านพอดี”

เสียงเข้มต่ำเอ่ยถามฉันที่กำลังยืนถอนหายใจใส่ยัยเพียวอยู่โดยไม่ทันได้ตั้งตัว และพอฉันรวบรวมสติของตัวเองได้ ฉันก็หันไปหาพี่เจทันที และพอเห็นว่าพี่เจแอบปัดมือไล่ยิกๆ แล้วตลกชะมัด

”ขวัญ พี่ต้องรีบกลับแล้วอะ แม่โทรมาบอกว่ามีธุระด่วน ยังไงผมฝากไปส่งขวัญหน่อยนะครับ” พี่เจรีบพูดแทรกรวดเดียวจบ แล้วเขาก็เดินสบัดตูดเดินออกจากร้านรองเท้าไปด้วยความรวดเร็ว โดยไม่รอให้พี่คินตอบกลับเลยสักนิด เออ… เป็นพี่ที่ดีจริงๆ

“ถ้าพี่คินไม่สะดวก...”

”กลับพร้อมพี่”

“โอเคค่ะ”

ฉันยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีที่พี่คินพูดจบ แถมฉันยังแอบหันไปยิ้มเยาะเย้ยใส่เพียวที่มองหน้าฉันเหมือนอยากจะพุ่งเขามาทึ้งหนังหัวฉันอย่างงั้นแหล่ะ ว้า… รู้สึกดีชะมัดเลยที่ยั่วโมโหยัยเพียวได้เนี่ย

“กลับกันได้ยังคะ เพียวปวดหัว” ฉันไม่สนใจน้ำเสียงจะเป็นจะตายของเพียวเท่าไหร่ แล้วเดินไปหยิบรองเท้าส้นสูงคู่ที่พี่คินบอกขึ้นมาถือไว้ทันที

“รอแปบนะเพียวฉันขอซื้อคู่นี้ก่อน พี่คินบอกว่าชอบคู่นี้ แถมยังเป็นไซส์ฉันอีก ถ้าไม่ซื้อเสียดายแย่“

พอฉันพูดใส่เพียวไปแบบนั้นพร้อมกับเลิกคิ้วและยกยิ้มเยาะเย้ยอีกเล็กน้อย เธอก็ทำสีหน้าหงุดหงิดจนปิดไว้ไม่อยู่กลับมาให้ฉัน เหอะ อยากกระชากหน้ากากความใสซื่อปลอมๆ ของเธอออกมาจริงๆ เลยเพียว เห็นแล้วชวนหงุดหงิดชะมัด อย่างน้อยเธอก็ควรจะเลิกเสแสร้งใส่ฉันได้แล้วนะ ให้ตายสิ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel