บทที่ 6
“โอ๊ย! นั่นมันในหนังย่ะ ชีวิตจริงมันต้องพึ่งหมอเท่านั้น สมัยนี้หมอฝีมือดีๆ เนรมิตความสวยให้ผู้หญิงมีตั้งเยอะแยะ”
“แต่ฉันว่ามันไม่น่าจะเวิร์ค…มั้ง” ธารบุษป์ออกแนวลังเล
“ถ้าแกห่วงเรื่องเงิน ฉันให้แกยืมก่อนได้ มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน”
“ไม่เอา”
“ต้องเอา” ปลายฝันตอบอย่างหนักแน่น
“แต่นั่นมันคือเงินเก็บที่แกจะเอาไปทำนมกับแปลงเพศไม่ใช่เหรอ”
“เออ…ค่อยแปลง ว่าไงยัยทอมมี่ แกเห็นด้วยกับความคิดฉันไหม” เมื่อเห็นว่าทอมมี่ไม่หือไม่อือ ปลายฝันจึงถามความคิดเห็น
“เห็นด้วย”
“งั้นก็ตกลงตามนี้ ไหนๆ ผ่านมาทางนี้แล้วก็เปลี่ยนแผนจากไปหาอะไรกิน ไปเป็นหาหมอ คุยเรื่องผ่าตัดแปลงโฉมบัวเลยดีกว่า” ปลายฝันเอ่ยรวบรัด ส่วนธารบุษป์ก็แย้งตามระเบียบ เพราะคิดว่านี่มันเร็วไป
“เอาวันนี้เลยเหรอ”
“อื้อ…ไปวันนี้นี่แหละ ทอมมี่แกขับรถตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายแยกไฟแดงหน้า ตรงนั้นมีคลินิกชื่อดังอยู่ รับรองแจ่ม” ปลายฝันบอกพิกัด นั่นเพราะเธอเองก็หาข้อมูลเรื่องศัลยกรรมมาหลายปี พอจะรู้จากวงในว่าที่ไหนดี ที่ไหนเด่น
“รับทราบ” ทอมมี่ขับรถไปตามพิกัดที่ปลายฝันบอก เมื่อมาถึงทั้งสามก็เข้าไปคุยรายละเอียด ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงก็พากันกลับออกมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับกันสักเท่าไหร่
“สองล้าน! ค่าผ่าตัดแปลงโฉมฉันตั้งสองล้านเลยนะแก” เมื่อเข้ามาในรถได้ ธารบุษป์ก็เอ่ยเสียงดัง ค่าผ่าตัดอะไรมันจะแพงปานนั้น อ๋อย…ชีวิตคนขี้เหร่อยากสวย แต่สงสัยต้องขี้เหร่ต่อไป เพราะไม่มีงบ
“แพงกว่าที่คิดอี๊ก” เจ้าของแผนการเองก็แอบปาดเหงื่อ เพราะไม่คิดว่าราคามันจะแพงขนาดนี้
“เบ้าหน้าฉันมันห่วยจนต้องแก้อะไรมากมาย พลอยทำให้ราคาแพงหูฉี่ขนาดนี้เลยเหรอ...โอ๊ย!”ธารบุษป์โวยวาย ปลายฝันจึงหาทางปลอบ เพราะยังไม่อยากเปลี่ยนแผน
“แต่พอทำเสร็จ มันสวย คุ้มสองล้านอยู่นะ”
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่ทำ แพงก็แพง ขี้เหร่แบบนี้ต่อไปแล้วกัน ส่วนวิธีจะหาเงินมาไถ่บ้านได้ยังไง ค่อยคิดอีกที”
“บัว คิดใหม่ได้นะ” ปลายฝันยังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
“ไม่คงไม่คิดแล้ว หรือถ้าฉันตัดสินใจทำ เงินแก เงินฉันรวมกันก็ยังไม่ถึงสองล้านเลย ฉันรู้”
“เออ…เรื่องนั้นมันก็จริง หรือว่า…”
“หรือว่าอะไรของแกอีก” ธารบุษป์ที่นั่งอยู่เบาะหลังแว้ดเสียงสูงใส่คนเจ้าความคิด ที่แต่ละแผนดีๆ เหลือเกิ้น
“หรือว่าเราจะไปปล้นร้านทองยัยทอมมี่ดี” คำว่าปล้นร้านทอง ทำเอาทอมมี่ที่ขับรถอยู่ถึงกับสะดุ้ง ปลายฝันที่นั่งคู่กับคนขับหันไปมองเป้าหมายตาเป็นประกาย
“วอนหาเรื่องนอนคุกแล้วไหมล่ะครับเพื่อน” ทอมมี่หันมาเอ่ยเสียงเรียบ
“แค่พูดเล่นหรอกนะ ไม่ได้คิดจะปล้นจริงๆ สักหน่อย ว่าแต่แกทอมมี่ จะให้ยัยบัวยืมเงินไปทำสวยกี่บาท” เมื่อแผนปล้นใช้ไม่ได้ ก็หันมาหยิบยืมจากทอมมี่มันนี่แหละ
“เมื่อเดือนก่อนผมเพิ่งถอนเงินสดไปซื้อบ้านจนเกือบเกลี้ยงบัญชี ลืมไปแล้วหรือไงฮะ” ทอมมี่ทิ้งท้ายด้วยคำที่ปลายฝันนั้นแสลงหู ฮะ…คำๆ นี้ฟังกี่ทีก็ขนลุก ไหนจะคำว่าครับ คำว่าผม หรือฉันที่จะหลุดปนมายามที่ทอมมี่เผลอนั่นด้วย
“เออ…ลืม” ปลายฝันเอ่ยเซ็งๆ
“เงินไม่มีก็อยู่แบบขี้เหร่ๆ ไปก่อนแล้วกัน” ธารบุษป์ถอนหายใจออกมาหนักๆ สงสัยชีวิตเธอจะอับจนหนทางก็งานนี้ เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่อุปสรรคไปเสียหมด
อยากคุยกับพ่อเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้จะติดต่อท่านได้ยังไงนี่สิ เฮ้อ...คนไม่สวยเครียด
ธารบุษป์ ปลายฝันและทอมมี่ แวะหาอะไรกินข้างนอก เพราะไม่รู้จะกลับไปทำอะไรกินกันที่บ้าน โดยทั้งสามแวะห้างสรรพสินค้าที่แสนจะคุ้นเคย จากนั้นก็โอน้อยออกเลือกร้าน
ก่อนจะสรุปลงตัวว่ากินอาหารญี่ปุ่น ระหว่างทางเดินไปร้าน ธารบุษป์อยากเข้าห้องน้ำจึงให้ปลายฝันและทอมมี่ตรงไปร้านก่อน โดยเธอออเดอร์สองสาวไปแล้วว่าอยากจะกินอะไร
เมื่อเสร็จธุระ ธารบุษป์ก็ขอแวบเข้าร้านหนังสือ เดินดูนิยายออกใหม่ฆ่าเวลา ระหว่างนั้นก็มีเด็กนักเรียนนำหน้ากากที่ทำเองหรือซื้อมายื่นให้เธอ ทำเอาธารบุษป์งง นั่นเพราะไม่คิดว่าหน้าตาแบบเธอจะดึงดูดเด็กให้เข้าหา
“ให้พี่เหรอ”
“ฮะ” เด็กชายแก้มยุ้ย ตัวอ้วนกลมเอ่ยรับ พร้อมกับยังคงส่งยิ้มสดใสให้ธารบุษป์
“ทำไมให้พี่ล่ะคะ” ขณะถามเธอก็ไม่ได้พลิกหน้ากากขึ้นดูว่ามันคือรูปอะไร
“ก็พี่หน้าเหมือนม้านี่” เอ่ยจบเด็กชายคนดังกล่าวก็วิ่งปรู๊ดออกไปจากร้าน ธารบุษป์ควันออกหูเบาๆ กัดฟันกรอดๆ อย่างสะกดอารมณ์
“อ๋อย! ตบเด็กผิดไหมเนี่ย...หืม” เธอกำหน้ากากม้าที่ตอนนี้พลิกขึ้นมาดูจนยับ ก่อนจะเดินฉับๆ ออกไปจากร้าน หมดอารมณ์เดินดูนิยายที่หมายตาอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างทางกลับ เธอกลับได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น มองซ้ายทีขวาทีคล้ายกำลังหลงทาง ธารบุษป์ปรี่เข้าไปหาเพราะรู้สึกสงสาร นั่นทำให้ชายอีกคนที่ตั้งใจเข้าไปช่วยเด็กหญิงคนดังกล่าวต้องหยุดชะงัก และเลือกที่จะยืนมองและดูอยู่ไม่ห่าง
“สวัสดีค่ะ คนสวย หนูเป็นอะไรคะ หลงทางเหรอ” แทนที่จะตอบคำถาม เด็กหญิงคนดังกล่าวกลับส่ายหน้าให้ ท่าทางหวาดระแวง
ธารบุษป์สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะสวมหน้ากากม้าในมือมันเสียเลย แล้วดัดเสียงเป็นเสียงการ์ตูน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“บอกพี่ม้าได้ไหม หนูเป็นอะไร” เด็กหญิงดูจะอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่คราวนี้กลับยอมคุยด้วย
“หนูหาคุณแม่ไม่เจอค่ะพี่ม้า”
“งั้นเดี๋ยวพี่ม้าจะช่วยหนูหาคุณแม่เอง” เสียงน่าฟังของธารบุษป์ดังขึ้น ท่าทางของเธอทำให้ชายที่มองดูอยู่อมยิ้ม นั่นเพราะเธอคงใช้เทคนิคหลอกล่อเด็กๆ ให้หายกลัวเหมือนเขา
“จริงๆ นะคะพี่ม้า”
“จริงค่ะ”
“พี่ม้าน่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ” เสียงเจื้อยแจ้วไร้การสะอื้นดังขึ้น ธารบุษป์รีบเช็ดน้ำตาให้เด็กหญิง ก่อนจะเข้าไปแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อให้ประกาศหาแม่ของเด็กคนดังกล่าว
