บทที่ 1 ไม่สมควรได้รับ
หลายวันต่อมา
อุปกรณ์ทำขนมของฉันส่งมาถึงที่บ้านตามกำหนด ตำแหน่งที่ตั้งที่จะเปิดร้านฉันไปดูทำเลมาแล้ว เป็นตึกแถวเปิดให้เช่า ซึ่งฉันตัดสินใจเช่าและเช่าระยะยาวด้วย แล้วก็เริ่มรีโนเวทตามที่ฉันต้องการทันที ถ้าทำทุกอย่างเรียบร้อยก็เตรียมขนของเข้าร้านได้เลย
“กะเพราหมูไม่ใส่ใบกะเพราเหมือนเดิมจ้า” ลูกค้าสั่งเมนูอาหารโดยที่มือยังกดสมาร์ตโฟนอยู่
“ไม่ขายค่ะ” ฉันบอก
ลูกค้าเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย แต่แล้วเมื่อเห็นหน้าฉันก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าดีใจ “เฮ้ย! อีไปรท์”
“เรียกจิกไม่เปลี่ยน”
“เป็นสันดานแล้วไง ว่าแต่มึงกลับมาเยี่ยมบ้านเหรอหรือว่ายังไง”
“อ้าว นิ้งเอาผัดกะเพราเหมือนเดิมใช่ไหมลูก” แม่เดินมาจากทางหลังร้านถามคะนิ้งเพื่อนของฉัน แสดงว่ายังเป็นลูกค้าประจำร้านแม่ฉันเหมือนเดิมสินะ
“จ้ะแม่” คะนิ้งตอบแม่ก่อนจะเอ่ยชวนฉัน “ยังไงมึง ว่างเม้าไหม”
“ยังเหมือนเดิมเลยนะ” ฉันยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ไม่ได้คุยกันมานานมากแล้วแต่ก็ยังเป็นเหมือนวันวาน
“นิ้งคนดีคนเดิมมีคนเดียวด้วย อุ๊ป!” คะนิ้งยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเผลอพูดบางอย่างออกมา
“หืม เป็นอะไร ปิดปากทำไม” ฉันแสร้งทำเป็นไม่สนใจในท่าทีของเพื่อน “แล้วนี่ถามฉันว่าว่างไหม ตัวเองอะว่างหรือเปล่า”
“ว่าง ว่างมาก มึงเม้าไหมล่ะ”
“ได้ดิ คิดถึงเหมือนกัน”
“คิดถึงแต่ไม่เคยกลับมา ไม่เคยติดต่อได้ น่าน้อยใจจริง ๆ” คะนิ้งทำเสียงน้อยใจฉัน
“ก็ดูแลสามีกับลูกไง ไม่ค่อยมีเวลา แต่ตอนนี้นะแกมาหาได้ตลอดเวลาที่คิดถึงเลย เพราะว่าฉันจะอยู่ให้แกเบื่อหน้าเลยจ้า”
“แกย้ายกลับมาอยู่ที่นี่เหรอ” คะนิ้งถามด้วยสีหน้าที่สงสัยเอามาก ๆ
“อืม มาดิมาคุยกันหลังบ้าน” หน้าบ้านแม่เปิดเป็นร้านอาหารไง ฉันจึงชวนเพื่อนมาคุยหลังบ้าน บ่าย ๆ ก็จะไปรับลูกที่โรงเรียน ปลายฝันไปเรียนได้สองวันแล้ว ปลายฝันเป็นเด็กดีค่ะ แกพยายามปรับตัวกับโรงเรียนใหม่ทั้งที่เป็นเด็กสนิทกับคนค่อนข้างยาก ที่พยายามอาจจะเพราะไม่อยากให้ฉันเครียดหรือเป็นห่วงมั้งคะ ลูกสาวก็เลยพยายามเป็นเด็กดี เพื่อไม่เป็นภาระของแม่อย่างฉัน
ฉันเดินนำเพื่อนมาที่หลังบ้านมีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงา ใต้ต้นไม้ใหญ่เป็นแคร่ไม้ที่แม่ชอบมานั่งหั่นของเตรียมขายในตอนเย็น
“โห แกสวยมากเลยอะ ผมยาวสลวย ผิวขาว ตากลมโต ปากรูปกระจับ จมูกเข้ารูปหน้าอย่างเหมาะ ดูโตขึ้นเยอะเลย เมื่อก่อนสวยอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งสวย” คะนิ้งจับไหล่ฉันเอียงไปมาสำรวจรูปหน้าของฉันอย่างเพ่งพินิจ
“อะไรโต” ฉันจ้องหน้าเพื่อนที่เมื่อก่อนเป็นคนชอบพูดเรื่องทะลึ่งอยู่บ่อย ๆ
“นมไง นมแกโตมากอะ ขอจับได้ปะ” ว่าแล้วเชียวไม่พ้นเรื่องทะลึ่ง
“ไม่ต้องเลย เราโตแล้วนะไม่ใช่เด็ก ๆ แบบเมื่อก่อน”
“อารายอ่า ทำหวง เมื่อก่อนฉันจับประจำไหม แล้วที่โตขึ้นเนี่ยผัวนวดบ่อยเหรอ”
“ใช่ที่ไหน ฉันให้นมลูกเถอะ”
“อะไร โกหกหรือเปล่า ให้นมลูกแล้วจะนมโต” คะนิ้งทำหน้าไม่เชื่อ ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่มันโตจริง ๆ
“เห็นฉันเป็นคนโกหกหรือไง”
“ไม่รู้สิ ก็ฉันไม่เคยมีลูกนี่นา ไม่เหมือนแกแต่งปุ๊บปั๊มลูกปั๊บเลย”
“…” ฉันทำเพียงยิ้มให้เพื่อน
“แล้วนี่ยังไงวะ สามีแกย้ายมารับราชการที่นี่เหรอ”
“เปล่า”
“อ้าว แล้วมันยังไง”
“คุณวีเสียแล้ว เมื่อต้นปีก่อนตรวจเจอเนื้องอกในสมอง กว่าจะตรวจเจอก็ผ่าตัดไม่ได้แล้ว เดือนพฤศจิกายนคุณวีก็จากไป ฉันทนอยู่ที่นั่นสี่เดือนกว่า ทุก ๆ วันมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย ฉันจึงย้ายกลับมาอยู่ที่นี่เพราะไม่อยากเศร้าให้ลูกเห็นบ่อย ๆ บวกกับแม่ตรวจเจอเบาหวานกับความดัน ก็เลยอยากมาอยู่ให้ใกล้แม่หน่อย” ฉันบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก เมื่อนึกถึงทีไรน้ำตาฉันพร้อมจะไหลทุกเมื่อ มันเหมือนห้ามมีอะไรไปกระตุกต่อม ไม่งั้นน้ำตาจะไหลออกมาโดยอัตโนมัติ
“โถ่ ไปรท์เอ้ย ไม่ป็นไรนะ แกยังมีฉันเว้ย มีอะไรไม่สบายใจเล่าให้ฉันฟังได้เลย เราเพื่อนกันนะ” คะนิ้งขยับเข้ามากอดฉัน กอดแรกของเพื่อนหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี
อบอุ่นจัง นี่สินะเพื่อน มีไว้คอยปลอบ คอยให้กำลังใจกันนี่เอง นึกว่าจะไม่มีเพื่อนให้กอดซะแล้ว
“ขอบใจนะ ขอบใจแกมาก ๆ ที่ไม่โกรธฉัน ทั้งที่ฉันไม่ติดต่อมาเลย แล้วยังทำเรื่องไม่ดีไว้อีก” เอาเข้าจริงฉันไม่ควรได้รับความรู้สึกดี ๆ แบบนี้เลย ฉันที่ทิ้งเพื่อนไปไม่ควรมีเพื่อนดี ๆ แบบนี้
“โอ๊ย อีนี่ จะคิดมากอะไรอะ เพื่อนกันไหม คนเราก็ต้องเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง เลือกสิ่งที่ดีให้ตัวเองสิ มึงคือเพื่อนกูไปรท์ เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน ตัดกันไม่ขาดหรอก” คะนิ้งทำฉันซึ้งจนร้องไห้ออกมาเพราะคิดถึงเรื่องเก่าที่นานพอสมควร ถึงคะนิ้งจะหยาบ แต่ว่าเป็นคนจริงใจ ไม่ใช่คนหน้าอย่างใจอย่าง
“ขอบใจนะ” ฉันฉีกยิ้มทั้งน้ำตา การมีเพื่อนดีมันเป็นอะไรที่อุ่นใจ
“เออ เดี๋ยวคลอหาพลอยก่อน อีพลอยมันต้องดีใจแน่ ๆ เลย” คะนิ้งล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากด
“ดะ เดี๋ยวก่อน พลอยมันไม่…”
“มันไม่โกรธหรอกน่า เรื่องตั้งกี่ปีมาแล้ว”
“เหรอ แน่ใจเหรอ ฉันว่า...” แม้ว่าคะนิ้งจะยืนยัน แต่ฉันก็ยังกลัวอยู่ดี จะกี่ปีมันก็ลืมลำบากนะ เรื่องที่ฉันทำไว้ไม่ใช่ว่าใครจะรับได้
“เออ เชื่อเถอะ มันยังบ่นหาแกอยู่ตลอด แกอย่าลืมเราเพื่อนกันนะเว้ย เราสามคนรักกันแค่ไหนแกลืมหรือไง เราตัดกันไม่ขาดหรอกน่า” คะนิ้งพูดพลางกดจิ้มโทรศัพท์มือถือ และไม่นานปลายสายก็ส่งเสียง