EP 9 : ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน
“เฮีย”
“อืม ว่าไง”
“ผมว่าจะถามถึงรุ่นน้องผมหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีเวลา เฮียรู้จักกันได้ไง”
“รุ่นน้อง?” ผมมองมันด้วยความสงสัย รุ่นน้องคนไหนของมันในเมื่อมันมีรุ่นน้องเอยอะแยะเต็มไปหมด
“เซย์นิสไงเฮีย” เซย์นิส? อ่าส์~ ชื่อของผู้หญิงคนนั้นที่ผมเพิ่งได้ยินเสียงคนอื่นที่คุ้นเหมือนเสียงเธอสินะ
“สักพักแล้ว”
“ตอนนี้ยังคุยกันอยู่ไหมล่ะเฮีย”
“ไม่... / ปริมชอบชมว่าสวย ถามถึงบ่อย ๆ ปริมบอกว่าเหมาะสมกับเฮียดี” ผมกำลังจะปฏิเสธว่าไม่ได้คุยแต่ไอ้แฟรงค์ก็พูดแทรกออกมาก่อน
“เหรอ?”
“ครับ”
“ไม่ได้คบหรอก...น้องเขาไม่คบกับกู” ผมตอบแค่นี้ก่อนที่จะชวนคุยเรื่องงานต่อ ไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก พูดแค่นี้ก็พอแล้ว...
-วันต่อมา-
โห~ บริษัทใหญ่ชะมัด ไม่แปลกใจเลยทำไมลูกค้าถึงปฏิเสธการแก้งานครั้งที่หก ฉันว่าเขาให้โอกาสเสนองานใหม่สามครั้งยังมากเกินไปเลยด้วยซ้ำมั้งคะ บริษัทใหญ่ระดับนี้ไม่มีใครอยากเสียเวลากับอะไรที่มันไม่ได้ประสิทธิภาพหลาย ๆ รอบหรอก ต้องขอบอกว่าคุณเจ้าของเสียงหล่อที่พี่แหม่มมหาภัยบอกว่าเป็นเจ้าของบริษัทนี้เขาใจดีมากเลยนะ
อ้อ! วันนี้เซย์นิสคนสวยของพี่แหม่มถูกสั่งให้ตามทีมพี่ ๆ เขามาเสนองานกับลูกค้าด้วยค่ะ เหตุผลก็คือ...เซย์นิสมีพรสวรรค์และความรู้ความสามารถ~ พี่แหม่มมหาภัยสรรเสริญพรสวรรค์และความรู้ความสามารถของฉันตั้งแต่บ่ายเมื่อวานจนถึงเช้าวันนี้เลยล่ะค่ะ เหอะ ๆๆ
เอาฉันมาไว้ขอร้องเจ้าของบริษัทนี้เผื่อเขาปฏิเสธงานอีกรอบต่างหากล่ะคิดว่าฉันรู้ไม่ทันเลยมั้ง
“พร้อมไหมน้องเซย์” พี่สถาปนิกของบริษัทหันมาถามฉันเสียงหวาน ไม่หวานแค่เสียงแต่สายตานี่หยาดเยิ้มอย่างกับน้ำผึ้งเดือนห้าที่เก็บในคืนขึ้นสิบห้าค่ำเลยด้วยซ้ำ -_-
“ค่ะ” ฉันตอบยิ้มรอยยิ้มตามมารยาท ไม่ชอบสายตาก็ต้องฝืนทน ไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจในตัวเองถ้าไม่จำเป็นเพราะการฝึกงานมันสำคัญกับนักศึกษาทุกคน ขืนมีปัญหาในที่ฝึกงานมันคงลำบากแน่ ๆ
“ถ้างั้นก็ไปกันเลยดีกว่าค่ะน้องเซย์ ไปโว้ยพวกเรา” คุยกับฉันเสียงหวานแต่หันไปเรียกทีมงานเสียงเหี้ย เอ๊ย! เสียงเหี้ยม แหะ ๆๆ
ฉันกับพวกพี่เขาเดินเข้ามาติดต่อที่แผนกต้อนรับข้างหน้า พี่เขาติดต่ออย่างช่ำชองและเดินไปที่ลิฟท์อย่างชำนาญ ก็ไม่แปลกหรอกนี่รอบที่หกแล้วนี่เนอะ ^_^!
หวังว่าจะผ่านนะคะ สงสาร เห็นใจทุกคนเลย ได้ข่าวว่าถ้าได้งานนี้บริษัทจะมีกำไรเยอะที่สุดเท่าที่เคยก่อตั้งบริษัทมาเลยล่ะค่ะ
พวกเราใช้เวลาไม่นานก็มายืนอยู่หน้าห้องประชุม มีห้องประชุมใหญ่ 1 ห้องประชุมใหญ่ 2, 3, 4, 5 ห้องประชุมเล็กเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งชั้นคงเป็นห้องประชุมหมดเลยมั้งคะ รวยน่าดู แล้วพวกเราก็เข้ามาในห้องประชุมใหญ่ 3 นั่งปุ๊บแม่บ้านก็มาเสริฟ์เครื่องดื่มกับของว่างปั๊บแต่พี่ ๆ เขาไม่มีใครสนใจของกินเลยค่ะ ทุกคนกระตืนรือร้นปนตื่นเต้นหวาดหวั่นกับการเตรียมตัวพรีเซ้นส์งานมีแค่ฉันนี่ล่ะที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยนั่งกินขนมเงียบ ๆ
“อีกสิบนาทีคุณตุลย์จะมานะคะ” ไม่นานก็มีพี่ผู้หญิงคนสวยเคาะประตูแล้วโผล่หน้าเข้ามาบอก พอได้ยินการแจ้งเตือนนี้พวกพี่ ๆ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นไปกันใหญ่ นี่ก็ตื่นเต้นตามไปด้วยแล้วค่ะ สู้ ๆ กันนะคะพี่ ๆ
-สิบนาทีต่อมา-
ก๊อก ๆๆ
“คุณตุลย์มาแล้วนะคะ” พี่ผู้หญิงคนสวยคนเดิมเปิดประตูเข้ามาบอกด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจในห้องที่ชุลมุนมาตลอดก็เงียบทันที ทุกคนนั่งนิ่งเหมือนเตรียมตัวและทำสมาธิแต่ฉันกลับสัมผัสได้แค่บรรยากาศอึมครึม ก็เข้าใจล่ะ เข้าใจมาก ๆ เลย โอกาสสุดท้ายนี่เนอะ ฉันทำได้แค่เอาใจช่วยเพราะคงช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ที่เหลือก็ดูเอาแล้วกันเซย์นิสว่าเวลาพรีเซนส์งานกับลูกค้าเขาทำยังไง
เสียงประตูห้องถูกเปิดอีกครั้งก่อนที่เสียงฝีเท้าที่แค่ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นยังรู้สึกว่ามันทรงอำนาจมาก บรรยากาศอึมครึมดูตรึงเครียดมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูกแล้วผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่เหมือนนายแบบในชุดสูทสีเทาเข้มที่คัตติ้งดีมากบ่งบอกว่าราคาไม่ใช่แค่หลักแสนต้น ๆ แน่นอนจะปรากฏตัวในห้อง
เจ้าของบริษัทนี้ที่พี่ ๆ เขาจะมาเสนองานอีกครั้งเดินมาหยุดตรงกลางห้องประชุมข้างเก้าอี้ตัวใหญ่ เขาหยุดยืนนิ่งแล้วมองไปทางด้านซ้ายที่มีพี่หัวหน้าทีมนั่งอยู่ก่อนจะกวาดสายตาไล่จากซ้ายมาทางขวาที่มีคนที่อาวุโสน้อยที่สุดอย่างนักศึกษาฝึกงานคนนี้นั่งอยู่...
“สวัสดีครับ” เขากวาดสายตามองทุกคนจนหยุดที่คนสุดท้ายก่อนจะเอ่ยคำนี้ออกมาในระหว่างที่กำลังสบตากับ...ฉัน
“...”
มะ...ไม่จริง...
-เวลาต่อมา-
ฉันเจอกับเรื่องบ้าอะไรเนี่ย...
เขาเพิ่งเดินออกไปเมื่อกี้หลังจากที่พี่ ๆ ในบริษัทพรีเซ้นส์งานเสร็จและสุดท้ายเขาก็...ปฏิเสธ
ในห้องไม่มีความคึกครื้นมีแต่ความรู้สึกหม่นหมองของพี่ ๆ ในบริษัท สงสารจัง ถึงไม่เคยทำงานกับพี่ ๆ เขาแต่ฉันรู้เลยว่าพวกพี่เขาเสียใจมาก เก็บของกันด้วยสภาพคอตกสุด ๆ เลย
“เฮ้อ~ พวกเราแม่งห่วยแตกว่ะ” พี่คนหนึ่งในทีมพูดขึ้นก่อนที่ทุกคนจะเงียบกันไปเลย
ห่วยแตกเหรอ? ไม่หรอก...มั้ง
“ไม่ห่วยแตกหรอกค่ะ แค่ยังไม่ตรงสเปคที่ลูกค้าชอบเอง” ^^
ฉันไม่รู้จะพูดอะไรได้ดีกว่านี้แล้วถึงแม้ว่าความจริงการแก้งานถึงหกครั้งแต่ก็ยังไม่ได้ตามที่ลูกค้าต้องการมันจะตอกย้ำความอะไรก็แล้วแต่ที่พี่เขาเพิ่งพูดออกมาได้ชัดเจนก็ตาม
“ไม่ต้องปลอบพวกพี่หรอกน้องเซย์ พวกพี่รู้ตัวดี” พี่เขายิ้มบาง ๆ เพื่อขอบคุณฉันแต่เป็นรอยยิ้มที่ฝืนเป็นบ้าฉันเลยไม่กล้าพูดอะไรอีกนอกจากยิ้มบาง ๆ เพื่อให้กำลังใจ
“เฮ้อ~ กลับกันดีกว่าพวกเรา รับจ๊อบเล็ก ๆ กันต่อไป” พี่หัวหน้าทีมบอกแล้วเดินนำออกไปก่อนที่ทุกคนจะเดินตามฉันไม่รู้จะทำยังไงทำตัวไม่ถูกก็เดินตามเงียบ ๆ
ติ๊ง!
ป้ามหาภัย : เป็นยังไงบ้างจ้ะคนสวยของพี่แหม่ม
ระหว่างที่กำลังรอลิฟต์ข้อความจากป้ามหาภัยในบริษัทก็ดังขึ้นมาอย่างกับรู้ว่าจะพรีเซ้นส์งานเสร็จช่วงเวลาไหน
เฮ้อ~ ไม่อ่าน ไม่ตอบได้ไหม ให้พี่ ๆ เขาบอกกันเองได้รึเปล่า
ฉันไม่กดอ่าน ปิดหน้าจอแล้วเก็บโทรศัพท์ทันที
ตื๊ดดดด ตื๊ดดด
“พี่แป๊ะ”
“เออ ว่าไง”
“พี่แหม่มโทรมาว่ะ” อ้าว~ ส่งข้อความหาฉันเสร็จก็โทรหาพี่ ๆ ในทีมเลย อะไรจะรีบขนาดนั้นวะป้า -_-!
“รับเลย บอกว่าไม่ได้”
“โดนเจ้แกด่าชัวร์”
“ไม่ต้องฟัง ปล่อยให้ด่าไป”
“เฮ้อ~” พี่เขาถอนหายใจด้วยความเซ็ง ทุกคนรู้ทุกคนเซ็งกับความเป็นมนุษย์ป้ามหาภัยของพี่แหม่มกันหมดนั่นแหละ ทำงานแค่ห้าเอาหน้าเกินร้อย ถ้าผ่านก็จะรีบวิ่งไปรายงานกับเจ้านายแต่ถ้าไม่ได้ก็จะด่าคนทำงานจนเละ ทำไมฉันจะไม่เคยได้ยินได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้ ฉันเห็นทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละสามรอบเป็นอย่างต่ำด้วยซ้ำไป
ติ๊ด!
“ครับพี่” พี่เขากดรับ เราเข้ามาในลิฟท์กันแล้วค่ะเลยได้ยินเสียงในโทรศัพท์พอประมาณจากนั้นททุกคนก็เงียบปล่อยให้พี่เจ้าของเครื่องคุยกับพี่แหม่มแล้วพอพี่เขาแจ้งว่างานไม่ผ่านเสียงกร่นด่าก็ดังตามมาก่อนที่โทรศัพท์จะถูกยื่นให้ฉันพร้อมกับคำขาดที่พูดมาด้วยน้ำเสียงหวานว่าให้ฉันไปขอโอกาสแก้งานอีกครั้งถ้าฉันทำไม่ได้ก็...ฝึกงานไม่ผ่าน
“เจ้แกแม่งเหี้ยว่ะ” พอมาเฟียในบริษัทวางสายไปพวกพี่ ๆ เขาก็พูดออกมาด้วยความโมโหทันที
“ไม่ต้องทำหรอกน้องเซย์ ไม่ใช่หน้าที่ของนักศึกษาฝึกงาน พวกพี่ทำออกมาไม่ดีเองพวกพี่ก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องสนใจ”
“...ไม่เป็นไรค่ะ ลองดู” ฉันยิ้มบาง ๆ ฝืนยิ้มสุด ๆ ก็ควรทำตามที่พี่เขาบอกว่าไม่ต้องสนใจไม่ใช่หน้าที่ฉัน แต่คิดว่าถ้าทำแล้วสามเดือนหลังจากนี้คงเป็นนรกของฉันแน่ ๆ
เฮ้อ~
“แต่... / พี่ ๆ กลับกันก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวเซย์ไปขอคุยกับเขา”
“มันไม่ใช่หน้าที่น้องสักนิด”
“ลองดูค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ” ^^ ฉันพยายามยิ้ม รับรู้ถึงความรู้สึกหลากหลายจากพวกพี่เขาแต่ฉันไม่มีทางเลือกพอลิฟท์ลงมาถึงข้างล่างฉันก็แค่ยืนรอให้ทุกคนออกไปแล้วกลับขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง
ว่าแต่...ชั้นไหนล่ะ?
เฮ้อ~
T^T
ชั้นที่ขึ้นไปเมื่อกี้มีแต่ห้องประชุมเจ้าของบริษัทใหญ่ขนาดนี้คงไม่ได้ทำงานที่ชั้นนั้นหรอกมั้ง แล้วตึกนี้มีตั้งหกสิบกว่าชั้นถามจริงเถอะ...จะเอาปัญญาที่ไหนไปหาเจอ
T^T
T^T
T^T
-เวลาต่อมา-
ฉันพาตัวเองมาหยุดที่สถานที่หนึ่งที่คิดไว้แล้วว่าจะไม่มาอีกแต่สุดท้ายโชคชะตาก็เล่นตลกให้ยัยเซย์นิสต้องกลับมาอีกครั้ง
บ้าสิ้นดี...
อยากจะร้องไห้จังเลยค่ะ ฉันมาถึงตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ยังไม่มีรถลูกค้าแล้วก็ขับไปจอดตรงที่จอดที่ใกล้กับที่จอดที่เคยเห็นรถเขาจอดอยู่ ไม่มีรถจอดตรงนี้สักคันแต่เห็นป้าย VVIP ติดอยู่ก็บอกตัวเองว่าให้รอ พนักงานเดินมาต้อนรับฉันก็บอกว่ารอเพื่อนก่อน มาก่อนเวลาเดี๋ยวเพื่อนตามมาจากนั่งก็นั่งจ้องที่จอดตรงนั้นพร้อมกับมองเวลาด้วยความท้อใจ
ติ๊กตอก ติ๊กตอก ติ๊กตอก
ติ๊กตอก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ฮือ~
อย่าจะ กรี๊ด!!! ทำไมการรอคอยที่ไม่รู้จุดหมายมันยาวนานและทรมานขนาดนี้! T^T
เพิ่งสามทุ่ม ฉันเพิ่งนั่งดักรอเขาในรถมาครึ่งชั่วโมงแต่ให้ความรู้สึกยาวนานเป็นสามชาติ รอแบบไร้จุดหมายสุด ๆ จะเข้ามารึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ถ้าไม่มาฉันจะทำยังไง พรุ่งนี้พี่แหม่มมหาภัยกินหัวฉันแน่ T^T
บรื๊น!!!
ในขณะที่กำลังนั่งท้อแท้กับชีวิตเสียงซุปเปอร์คาร์ก็ดังกระหึ่มขึ้นมาฉันเลยรีบหันไปมองตามทันที
...ไม่ใช่คันนั้นที่เคยเห็น วันนี้คือแลมโบกินี่สีแดงเพลิงแต่วันนี้สีเหลือง
เฮ้อ~ ไม่ใช่สินะ อุตส่าห์หลงดีใจไปตั้งสองวินาที...
ฉันเบะปากอยากจะร้องไห้แต่ก็พยายามมองไปที่รถในฝันเพื่อบรรเทาอาการใจสลายก่อนที่รถคันนี้จะถอยเข้าช่องจอดที่เขียนว่า VVIP พอเครื่องยนต์ดับลงเจ้าของรถที่น่าอิจฉาก็ลงจากรถ
“...”
โอ้...โห~
OoO
ชะ ใช่ค่ะ ใช่ซะงั้น เพิ่งผิดหวังไปหนึ่งวินาทีแต่ตอนนี้ดีใจอีกครั้งแล้ว หล่อแบบนี้ไม่ผิดแน่ ๆ ผู้ชายคนนั้นที่สอยเวอร์จิ้นฉันไปนั่นแหละ!
“พี่!” ฉันรีบลงจากรถ ตะโกนเรียกเขาด้วยความตื่นเต้นทันทีทำให้เขาที่กำลังจะเดินไปหันมามองด้วยความงง แล้วพอเห็นฉันเขาก็ขมวดคิ้วตัวเองนิดหน่อย
“เธอ...มาหาฉันเหรอ” เขาถามเบา ๆ หลังจากที่ฉันตะโกนแล้วรีบเดินกึ่งวิ่งมาหาเขา
“ใช่ค่ะ หนูมีเรื่องอยากขอร้องพี่ ขอคุยกับพี่แป๊บเดียวนะคะ” คือขอพูดแบบสบาย ๆ นะคะ ถึงเขาจะเป็นลูกค้าของบริษัทที่ฉันฝึกงานและถึงเราจะวันไนซ์สแตนด์แล้วแยกย้ายกันกลับไปอยู่ในสภาพไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอตั้งแต่วันนั้นแต่เราไม่ได้มีปัญหาอะไรกันไง ฉันว่าน่าจะคุยกันได้...มั้งนะ ^^!
“จะมาคุยเรื่องงานวันนี้เหรอ” โห ฉลาดสุด ๆ พอเขารู้ทันฉันก็พยักหน้ารับด้วยความดีใจทันที
“ใช่ค่ะ” ^^
“กลับไปเถอะ”
“คะ?” กำลังยิ้มแต่คำพูดเมื่อกี้ของเขาทำฉันหุบยิ้มแทบไม่ทัน พอมองหน้าเขาแล้วเห็นสายตาเย็นชาฉันก็เสียวสันหลังไปเลย
“ไม่ต้องคุยหรอก ให้โอกาสแก้งานมาหกรอบมันมากเกินพอแล้ว บริษัทเธอเขาไม่รู้เหรอว่าทำให้ลูกค้าต้องเสียเวลาแค่ไหน ไม่มีความสามารถก็ไม่ควรตื๊อจนน่ารำคาญ”
“...” เสียงทุ้มพูดราบเรียบแต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนโดนด่า ที่สำคัญคือโดนด่าอยู่คนเดียวด้วย
“ฉันพูดชัดแล้วนะ ขอตัวก่อน” เขาพูดจบก็หันหลังแล้วเดินไปเลยค่ะ
“พี่...ถ้าพี่ไม่ให้โอกาสหนูแย่แน่เลยว่ะ” ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ว่าการตื๊อลูกค้าทั้งที่เขาให้โอกาสมาหลายครั้งมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำซึ่งฉันก็ไม่ได้อยากทำแต่ฉันไม่มีทางเลือก ฉันไม่ได้อยากร้องขอความเห็นใจนะ ที่พูดมาเนี่ยฉันบ่นเฉย ๆ บ่นอย่างหมดอาลัยตายอยากพอพูดจบเขาก็หันหลังกลับมามองช้า ๆ
“ฉันไม่รู้ว่าใครจะแย่หรือไม่แย่ ฉันรู้แค่...ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน”