บทที่ 1 เซซาเนีย แอมโบเรีย
ยามเมื่อลืมตาขึ้นมาดูโลก เคยหรือไม่ที่บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองเกิดมาแล้วกำลังรอใครสักคนที่อยากพบมาก ๆ แม้จะนึกไม่ออกว่าใครแต่ส่วนลึกในวิญญาณมันบอกเธออยู่เสมอว่ามีใครบางคนที่ต้องเจอให้ได้ เวลาผ่านไป เมื่อเด็กหญิงเติบโตกลายเป็นหญิงสาว ความฝันหรือความทรงจำซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจ แต่มันปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ ยามที่เธอหลับ ในดินแดนนั้น เธอพบใครบางคน ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้สักทีว่าเขาเป็นใคร
“เราเจอกันอีกแล้วนะคะ” เสียงใส ๆ ดังขึ้นท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวอันกว้างใหญ่ ร่างบางเจ้าของเรือนผมสีเขียวน้ำทะเลยาวสยาย นัยน์ตาสีเดียวกันกับเส้นผมฉายแววสงสัย เธอยกชายกระโปรงสีขาวที่ยาวระพื้นเดินมาใกล้ ๆ คนที่อยากคุยด้วย ส่วนร่างสูงในชุดสีดำที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็หันมามองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ใช่ เราเจอกันอีกแล้ว”
“บอกชื่อของท่านให้ข้าทราบได้ไหมคะ” เธอสงสัยและอยากรู้มาตลอด แต่จนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้สักที “ตั้งแต่จำความได้ ข้าฝันถึงที่นี่บ่อย ๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเข้ามาคุยกับท่านแล้ว”
“กว่าเจ้าจะเห็นข้า เจ้าก็โตเป็นสาวแล้วสินะ รอตั้งนานกว่าจะเข้ามาคุย” ชายหนุ่มเจ้าของผมสีทมิฬซอยยาวประบ่าถอนหายใจ ร่างสูงลุกขึ้นจากนั้นก็หันกลับมา
“ข้าชื่อเซซาเนีย...เซซาเนีย แอมโบเรีย แล้วท่านล่ะคะ” หญิงสาวแนะนำตัวกับอีกฝ่ายเมื่อได้คุยกันสักที คู่สนทนายิ้มกว้างแล้วจึงแนะนำตัวกลับตามมารยาท
“ข้าชื่อ…”
สายลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ร่างบางสะดุ้งตื่น ความเย็นของอากาศทำเอาเธอตัวสั่นยกใหญ่ ตอนนี้จึงนึกได้ว่าข้างนอกมีหิมะตก สภาพอากาศจึงหนาวเย็นกว่าทุกวัน เจ้าของห้องจึงลุกไปปิดหน้าต่างแล้วถอยกลับมาที่เตียงพลางใช้ผ้าห่มหนา ๆ มาคลุมกาย ในใจก็คิดถึงเรื่องความฝันเมื่อครู่ น่าเสียดายที่เธอไม่รู้ชื่อของเขา แม้แต่ใบหน้าก็จำไม่ได้นอกจากรู้แค่ว่ารอยยิ้มที่อีกฝ่ายมีให้นั้นมาจากใจจริง
“เซซาเนีย สุดท้ายเจ้าก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครอยู่ดี” เธอพูดกับตัวเองแล้วถอนหายใจ ความสงสัยในตัวตนของเขามันรบกวนใจเธอมาตลอด เซซาเนียไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยนอกจากความรู้สึกที่อยากจะพบหน้า
เธออยากรู้จักเขา
อยากจำชื่อ น้ำเสียง และใบหน้า
แต่ในความอยากรู้ก็มีความกังวล
เขามีตัวตนจริงหรือเปล่า?
“ถ้ามีตัวตนอยู่ก็ดีสิ” เจ้าของเสียงใสพึมพำพลางหยิบหนังสือที่อยู่บนโต๊ะวางโคมไฟมาอ่าน มันคือบันทึกเกี่ยวกับแผ่นดินที่ใคร ๆ ก็พร่ำสอนลูกหลานอยู่เสมอว่านั่นไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์และชาวเทวาจะเหยียบย่างเข้าไป
แดนมืด คือดินแดนหลังกำแพงกั้นชายแดนที่ยาวตั้งแต่ประเทศซิลวาจนไปถึงประเทศเอลด้า ชาวแดนมืดคือเผ่าพันธุ์ที่ปกครองแดนนั้น จ้าวปีศาจคือราชาผู้ถือครองอำนาจสูงสุด แดนมนุษย์และแดนเทวาเกลียดกลัวเขามาก เพราะประวัติที่เคยได้ยินมามีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้น อีกทั้งชาวแดนมืดคนอื่น ๆ ก็มีนิสัยเสีย เลือดเย็น และโหดเหี้ยม แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เซซาเนียไม่อยากเชื่อนักนั่นคือคำบอกเล่าจากแม่
ปีศาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใคร ๆ คิด
ในห้วงความฝันนั้น เขาเห็นเธอหายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ยังไม่ได้บอกชื่อของตัวเองเลย แม้จะรู้สึกแย่ไม่น้อยแต่เขามั่นใจว่าสักวันจะต้องบอกชื่อของตัวเองให้เธอรู้ นัยน์ตาสีแดงเหม่อมองเพดานห้องไปชั่วครู่หลังจากที่เขากลับมาสู่โลกแห่งความจริงก่อนที่ชายหนุ่มจะยันตัวลุกขึ้นแล้วถอนหายใจยาว
“สุดท้ายนางก็ไม่รู้จักข้าเหมือนเดิม” วาเรียสหันไปมองนอกหน้าต่าง หิมะสีขาวค่อย ๆ โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า สภาพอากาศเริ่มหนาวเย็นลงทุกขณะแต่ก็ไม่เท่าความเย็นที่เกาะกุมหัวใจของเขา
เขาอยากบอกเธอว่าเขาเป็นใคร
ถึงแม้เธอจะจำไม่ได้แต่เขาจำได้
อย่างน้อยก็หวังว่าเธอจะไม่รังเกียจเขาเมื่อพบกัน
เพราะตอนนี้ปีศาจคือสิ่งที่มนุษย์กับชาวเทวารังเกียจ
แล้วเธอที่เป็นมนุษย์จะเกลียดเขาด้วยหรือเปล่า
เจ้าของห้องนอนใหญ่ที่ตกแต่งในสไตล์โกธิคลุกไปหยิบสมุดวาดภาพบนชั้นหนังสือมาเปิดดู ภาพของเธออยู่ในนั้นเต็มไปหมด และทุกภาพก็เป็นธรรมชาติเหมือนตัวเธอจริง ๆ มองกี่ครั้ง วาเรียสก็รู้สึกคิดถึงอยู่เสมอ และยิ่งเห็นเธอในความฝัน เขาก็ต้องห้ามใจตัวเองทุกครั้งไม่ให้เป็นบ้าบุกเข้าไปในดินแดนของพวกมนุษย์
“เซซาเนีย แอมโบเรีย สักวันหนึ่งข้าจะไปหาเจ้า” ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเพราะชายหนุ่มยังมีงานอีกหลายอย่างที่ต้องทำ จึงต้องอดใจไว้ไม่ให้ไปหาเธอ ทั้งที่ความจริงแล้วจะเป็นบ้าตายอยู่รอมร่อ
ก็คนมันคิดถึงจะให้ทำไงได้ล่ะ!
ยามเช้าวันใหม่ สภาพอากาศแจ่มใสหลังจากที่เมื่อคืนมีหิมะตก แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลงมายังพื้นโลก อีกไม่นานหิมะคงจะละลายถ้าคืนนี้มันไม่ตกลงมาอีก ข้างนอกตัวปราสาทเป็นพื้นที่โล่งทำให้เซซาเนียออกมาเดินเล่นได้ เธอสวมชุดหนา ๆ เพื่อป้องกันความเย็น แม้จะลำบากเรื่องวิ่งเล่นแต่เธอก็ไม่ลืมว่าตัวเองไม่ใช่เด็กเเล้ว ไม่อย่างนั้นเกิดล้มลุกคลุกคลานคงถูกต่อว่าแน่ ๆ
“ว้าย! เจ้าหญิง เดี๋ยวหิมะกัด!” หญิงรับใช้คนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเข้าก็รีบวิ่งมาห้ามร่างบางไม่ให้ปั้นตุ๊กตาหิมะ เซซาเนียทำหน้ายุ่ง ๆ เหมือนถูกขัดใจก่อนจะแกะมือของอีกฝ่ายที่พยายามดึงเธอออกมา
“อย่ามาห้ามข้าเลย ข้าอยากเล่นหิมะ สมัยเด็ก ข้าก็ไม่ได้เล่น พอโตมาข้าจะเล่นหน่อยก็ไม่ได้ ทีคนอื่นยังเล่นได้เลย” เรื่องอาการบาดเจ็บจากความเย็นใช่ว่าเธอไม่รู้ แต่ทุกคนดูแลเธอเหมือนไข่ในหินทั้งที่ความจริงแล้วหญิงสาวอยากออกไปสัมผัสกับสิ่งที่อยู่รอบตัวมาก จนถึงตอนนี้ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมใคร ๆ ถึงปกป้องเธอนัก
“ท่านราชาเป็นห่วงเจ้าหญิงมากนะเจ้าคะ พวกเราทุกคนถึงต้องปกป้องท่าน” คำพูดที่ฟังกี่ครั้งก็หงุดหงิดทำให้เซซาเนียเลิกปั้นตุ๊กตาก่อนจะแกะมือสาวใช้ออกจากแขนตัวเองแล้วเดินหนีกลับเข้าไปในปราสาท ทิ้งอีกฝ่ายให้ยืนถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่อย่างนั้น
ไปหาท่านดีไวน์โปรเฟซี่ดีกว่า ร่างบางกล่าวในใจขณะเดินไปตามเส้นทางในพระราชวัง ที่หมายที่เธอจะไปคือสถานที่พำนักของนางฟ้าตนหนึ่งจากโลกสวรรค์ ที่นั่นเป็นบ้านอิฐสีขาวหลังเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ท่ามกลางสวนอันร่มรื่น ปกติไม่ค่อยมีใครแวะเวียนเข้ามาที่นี่ อย่างมากก็แค่เดินผ่าน แต่สำหรับเธอ การมาพูดคุยกับอีกฝ่ายทำให้รู้สึกดีขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ท่านดีไวน์โปรเฟซี่อยู่หรือเปล่าคะ ข้าเซซาเนียเองค่ะ”
“เจ้าหญิงเองเหรอ เข้ามาสิ” เจ้าของที่พักอนุญาตแล้ว หญิงสาวจึงผลักประตูเข้าไป ภายในห้องนั่งเล่นมีหญิงชราในชุดคลุมกำลังนั่งรินน้ำชารออยู่แล้ว ร่างบางค้อมศีรษะเล็กน้อยจากนั้นก็ตรงเข้าไปหา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“เชิญนั่งเลยเจ้าหญิง” เซซาเนียนั่งลงบนโซฟาตามที่อีกฝ่ายเชิญ “ท่าทางจะมีเรื่องหงุดหงิดแต่เช้าเลยนะ ถึงได้มาหาข้า คงเพราะถูกปกป้องราวกับไข่ในหินเลยรำคาญล่ะสิ”
“ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วนะคะ ข้าไม่ได้ออกไปไหนเลย ทำอย่างกับข้าเป็นเจ้าหญิงบนหอคอย ข้าไม่เข้าใจเลยค่ะท่านดีไวน์โปรเฟซี่ ทำไมท่านพ่อไม่ยอมให้ข้าออกไปไหน แต่เจ้าหญิงที่เป็นน้อง ๆ ของข้ากลับออกไปไหนมาไหนได้สะดวก”
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
“ยี่สิบสองค่ะ ทำไมเหรอคะ” เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงชราถึงเปลี่ยนมาถามเรื่องอายุของเธอ ดีไวน์โปรเฟซี่พยักหน้ารับ ตอนนี้คงถึงเวลาที่หญิงสาวจะรู้เรื่องนั้นแล้ว
“ยี่สิบสองปี แต่งงานได้แล้ว เอามือซ้ายของเจ้ามานี่” เซซาเนียทำตามที่อีกฝ่ายบอก เธอยกมือซ้ายขึ้นมา หญิงชราจับมือบางโดยที่สายตาจับจ้องไปยังรอยสักบนหลังฝ่ามือข้างนั้น
รอยสักสีดำรูปวิหคเพลิงสองตัวสยายปีกและถูกเถาวัลย์พันธนาการไว้ด้วยกัน นั่นคือสิ่งที่ติดตัวเจ้าหญิงแห่งโรซานมาตั้งแต่เกิด ถึงแม้มันจะไม่ทำอันตรายอะไร แต่พ่อของเธอกลับเกลียดมันมาก ถ้าเห็นเข้าจะต้องไล่เธอไปหาผ้ามาพันปิดไว้ทันที เซซาเนียไม่เข้าใจ รอยสักนี้คืออะไร ทำไมพ่อของเธอถึงรังเกียจมันนัก
“มันคืออะไรคะท่านดีไวน์โปรเฟซี่ ข้าเห็นมาตั้งแต่จำความได้แล้ว”
“นี่เขาเรียกว่า ‘ตราพันธะคู่ครอง’ เป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักและความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา เจ้าของตรานี้ทำไว้บนตัวเจ้าเมื่อนานมาแล้ว เขาจะมีตรานี้อยู่บนหลังฝ่ามือข้างซ้ายเช่นกัน เพราะอย่างนี้พ่อเจ้าถึงได้รังเกียจมัน” คำตอบของดีไวน์โปรเฟซี่ไม่ได้ทำให้เซซาเนียหายสงสัย เธอรู้แค่ว่ามันคืออะไรแต่เหตุผลที่พ่อของเธอรังเกียจมันต่างหากที่เธออยากรู้
“แล้วทำไมท่านพ่อถึงรังเกียจมันล่ะคะ”
“เจ้าหญิง เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเขาเกลียดปีศาจ”
“ค่ะ” ใบหน้าของเซซาเนียหม่นหมองเมื่อนึกถึงความเกลียดชังที่มีต่อชาวแดนมืดของผู้เป็นพ่อ ในห้วงความทรงจำปรากฏภาพของหญิงสาวอีกคนที่ล่วงลับไปนานแล้ว
“ถ้าเจ้ารู้ว่าพ่อเจ้าเกลียดปีศาจ เจ้าก็คงเข้าใจดีนะว่าทำไมเขาถึงรังเกียจรอยสักนี่”
“หรือว่า...”
“ใช่แล้วเจ้าหญิง คนที่ทำตรานี้ไว้กับเจ้าเป็นปีศาจ ข้ารู้ว่าเจ้าฝันถึงเขามาตลอด เขามีตัวตนจริง ๆ ตอนนี้อยู่ที่แดนมืด และสักวันหนึ่งเขาจะมาหาเจ้า” คำพูดของดีไวน์โปรเฟซี่ทำให้เซซาเนียนึกชายในความฝัน เธอถามชื่อเขา แต่เขายังไม่ทันบอก เธอก็ตื่นซะก่อน น่าเสียดายที่จำใบหน้ากับน้ำเสียงไม่ได้
“แล้วข้ารักเขาหรือเปล่าคะ” เธอจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้ แล้วเธอจะคิดยังไงกับเขาเมื่อเจอหน้ากัน
“เจ้าควรจะถามตัวเองนะ เจ้าหญิง เรื่องความรู้สึก เจ้าน่าจะรู้ดี” คำแนะนำของหญิงชราทำให้เซซาเนียค่อย ๆ ยกมือทาบอก ส่วนลึกในหัวใจมันเต็มไปด้วยความคิดถึงและโหยหา ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เธออยากเจอ และไม่ว่ายังไงก็ต้องเจอให้ได้
“ข้าว่าเจ้าควรจะไปได้แล้วนะ วันนี้คู่หมั้นของเจ้าจะมาหานี่”
“ข้าจะรีบไปค่ะ” สีหน้าของเซซาเนียดูเศร้าหมองเมื่อหญิงชรากล่าวถึงคู่หมั้น ดีไวน์โปรเฟซี่รู้ดี ฝ่ายชายไม่มีปัญหาแต่เป็นตัวหญิงสาวเองต่างหาก เธอไม่ได้รักผู้ชายคนนั้นแม้แต่เสี้ยวเดียว แต่เพราะถูกบังคับและขัดคำสั่งของพ่อไม่ได้ เซซาเนียจึงไม่ค่อยมีความสุขนัก ทุกวันนี้อยู่ไปก็เหมือนนกน้อยในกรงทอง
ได้แต่หวังว่าจะมีใครสักคนมาช่วยนกตัวนี้ออกไปจากกรงสักที
ศาลาสีขาวริมสระน้ำท่ามกลางสวนอันร่มรื่นไม่ไกลจากที่พำนักของหญิงชราคือจุดหมายที่ร่างบางต้องมาแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม ที่นั่นมีชายหนุ่มสวมชุดตามแบบชนชั้นสูงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เธอเดินเข้าไปในศาลา อีกฝ่ายก็รีบลุกขึ้นแล้วค้อมศีรษะเนื่องจากฐานะของตัวเองต่ำกว่าผู้มาใหม่
“เจ้าหญิง”
“เทเลอร์ เอวาลีน” เซซาเนียเรียกชื่อเต็ม ๆ ของอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนชะงักเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้ม นัยน์ตาสีเดียวกันกับเส้นผมฉายแววเจ็บปวดแวบหนึ่งเมื่อเธอทำแบบนี้ใส่
ไม่ว่าจะพบกันกี่ครั้ง หญิงสาวก็เย็นชาใส่เขาเสมอ
“วันนี้ข้าว่างก็เลยอยากมาพบเจ้าหญิง ว่าแต่ท่านสบายดีหรือเปล่า ช่วงนี้อากาศเย็น ข้ากลัวว่าท่านจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ จะว่าไปข้าก็ทำตัวแย่มาก เป็นคู่หมั้นแท้ ๆ แต่กลับแทบไม่มีเวลาให้ท่านเลย หวังว่าท่านคงไม่โกรธเคืองนะขอรับ” เขาเป็นคู่หมั้นของเซซาเนีย ในอนาคตเขาคือคนที่เธอจะต้องแต่งงานด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อวันนี้ว่างงาน เขาจึงรีบมาพบหญิงสาวตามหน้าที่
“ไม่ต้องห่วง ข้ายังไม่ตายหรอก ข้ายังอยู่ให้เจ้าพอใจได้อีกนาน” เสียงใสประชดประชันทำให้เทเลอร์ขมวดคิ้ว ดูเหมือนหญิงสาวจะอารมณ์ไม่ดี และด้วยความเป็นห่วงจึงรีบถาม
“มีใครทำให้ท่านไม่พอใจหรือเปล่า”
“เจ้าก็รู้ว่ามีใครบ้างที่ทำให้ข้าไม่พอใจ” เซซาเนียเหยียดยิ้มขมขื่น รู้สึกเกลียดชีวิตในตอนนี้ที่ไม่มีอิสระเลยแม้แต่น้อย “ข้าเป็นเจ้าหญิงแต่กลับถูกขังเหมือนนกในกรงทอง แค่ออกไปนอกพระราชวังนิดหน่อยยังทำไม่ได้ มีสาวใช้และทหารคอยตามดูอยู่ตลอด แม้กระทั่งคู่ชีวิต ข้าก็หาเองไม่ได้นอกจากก้มหน้าก้มตารับคำสั่ง”
“เจ้าหญิง” เทเลอร์อยากจะปลอบใจอีกฝ่ายเพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่ราชาทำคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกสาวที่เขารักและหวงแหนมากกว่าลูกคนอื่น ๆ ทว่านั่นกลับทำให้เธอยิ่งเกลียดสิ่งที่เป็นอยู่เข้าไปอีก
“ข้าไม่อยากเป็นนกในกรงทอง ข้าอยากมีชีวิตที่ข้ากำหนดได้เอง แม้กระทั่งผู้ชายที่จะมาเป็นสามีของข้า ข้าก็จะตามหาเขาเอง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เจ้า ถึงท่านพ่อจะพยายามยัดเยียดข้าให้เจ้าก็เถอะ”
“ข้าคิดว่าท่านราชาทำถูกแล้ว”
“แน่ใจเหรอ แล้วทำไมน้อง ๆ คนอื่นถึงออกไปไหนมาไหนได้สะดวก ก็มีบ้างที่บางคนถูกยกให้ขุนนางที่ทำความดีความชอบ แต่อย่างน้อยพวกนางก็ไม่ได้ใช้ชีวิตไปกลับระหว่างห้องนอนกับพื้นที่ส่วนหนึ่งในวังเหมือนข้า!” กล่าวจบ เซซาเนียก็ลุกขึ้นเดินหนีออกจากศาลาไป เทเลอร์จะลุกตามไปแต่เมื่อเห็นนัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลหันมาจ้องเขม็ง เขาจึงหยุดอยู่ตรงนั้นแม้ว่าในใจจะรู้สึกเจ็บปวดที่เธอไม่เคยสนใจแต่ก็ไม่ละความพยายาม
สักวันหนึ่งเขาต้องเอาชนะใจเธอให้ได้!