5.ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
5.ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
มองอากาศภายในห้องอย่างเหม่อลอย หยิบโทรศัพท์มาประกอบทุกอย่างมีพร้อมให้หมด เปิดเครื่องใช้งานเตรียมกดโทรศัพท์หาเพื่อนรัก ฉันหายจนจะครบวันอยู่แล้วเธอต้องเป็นห่วงมากแน่เลย
'ฮัลโหล~ ฉันยังมีชีวิตอยู่' แฮมสเตอร์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย เนื่องจากเบอร์นี้เป็นหมายเลขใหม่ คงทำให้ปลายสายเหมือนจะสับสนอยู่
'ฉันเป็นห่วงแกจะตายอยู่แล้วนะ! จะไปไหนทำไมไม่บอกกันเล่า ถ้าแกโดนใครทำร้ายฉันจะช่วยแกได้ยังไง?' เธอกล่าวออกมาเสียงแหลมเล็ก อย่างกับคนเป็นประจำเดือนเสียอย่างนั้น แต่ฉันก็รู้ว่าเธอเป็นห่วงเหมือนดั่งเช่นเคยนั่นแหละ
'ขอโทษนะ ตอนนี้อยู่ไหนเหรอ' แฮมสเตอร์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย เรือสำราญใกล้จอดเทียบท่าแล้ว เพราะตั๋วที่มีมันล่องให้เที่ยวแค่หนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้นเอง
'สถานีตำรวจ!' เธอกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ
'เกิดอะไรขึ้นเหรอไปทำไมที่นั่น?' กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนกลัวเพื่อนเจอเรื่องไม่ดี แต่ฉันก็เจอเรื่องโชคร้ายที่คลุกเคล้าโชคดีอยู่ ยังไม่พร้อมจะเล่าให้เพื่อนตัวเองฟังเลย
'รอเวลาแจ้งความว่าแกหายตัวไปน่ะสิ! จะขอดูกล้องวงจรปิดทางนิติบุคคลก็ไม่ยอม แต่เพื่อนฉันหายไปทั้งคน ถ้าให้พลิกกระถางดอกไม้หรือพลิกซอกหลืบหา ฉันก็จะทำเพื่อตามไปบ่นแก!' สายพิณกล่าวรัวเป็นกลองชุดเลย แค่ได้ฟังก็ต้องสะดุ้งโหยง เกือบจะดีอยู่แล้วแต่ใต้กระถางกับซอกหลืบ เพื่อนเห็นฉันเป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ย~
'เอาไว้เจอกันที่คอนโดนะ ขอบคุณที่ตามหาฉันนะ' แฮมสเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงยานคาง
เมื่อสำราญจอดเทียบท่าก็ขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมหยิบสิ่งของที่เขาซื้อทิ้งไว้ให้เอามาด้วย เงินทั้งนั้นใครจะไม่เอาบ้างล่ะ ถึงจะไม่ใช่คนบูชาเงินอะไรขนาดนั้น แต่ก็ต้องเก็บอยู่ดีเพราะยังมีค่าเทอมแสนแพงรออยู่ ฉันไม่รู้ว่าจะได้พบกับเขาอีกหรือเปล่าหรอกนะ
แต่ก็ต้องดึงสติกลับมาใช้ชีวิตห่วยๆ อย่างปกติดังเดิมราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เวลาผ่านเข้าหลายเดือนจนเปิดเทอมแรกปีสาม อีกเพียงไม่กี่ปี ความฝันที่จะเรียนจบเข้าใกล้มาแล้ว
ส่วนด้านความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยฮันกับฉัน ยังไม่เอาอ่าวอยู่เหมือนเดิมเลยแหละ พวกเราพูดคุยผ่านโทรศัพท์อยู่เสมอ ก็เป็นเจ้าเครื่องที่เขาเคยซื้อให้บนเรือสำราญ
หลายเดือนมานี้ เขาบอกว่าบินไปทำธุระต่างประเทศอยู่บ่อยๆ ซึ่งฉันก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไร เพราะพวกเราไม่ใช่ความสัมพันธ์คู่รักตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว แต่กลับรู้สึกเมื่อเห็นเขาเดินควงแขนคนอื่นอยู่
เนื่องจากมาเดินเล่นห้างสรรพสินค้าคนเดียว ยัยสายพิณไปออกเดตกับผู้ชายจึงไม่มาด้วย พวกเราเดินผ่านคล้ายเป็นธาตุอากาศอย่างไร้ตัวตน ปรายหางตามอง แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ต้องเก็บอาการ
ฉันเดินเลือกซื้อของอย่างฟุ่มเฟือยเท่าที่จะทำได้ เพราะเดือนล่าสุดเขาส่งบัตรเครดิตมาให้ แต่ไม่กล้าจะเอามาใช้สักครั้ง ส่วนตอนนี้แค่อยากหาที่ระบายอารมณ์เท่านั้น
ความโมโหร้ายได้สยบลงทันตาเห็น เมื่อถุงกระดาษแบรนด์ดังล้วนอยู่เต็มสองฝ่ามือเล็ก ฉันเดินเอามาเก็บยัดบนเบาะรถยนต์ด้านหลัง เตรียมปิดประตูลงเพื่อจะขับกลับคอนโด แต่สองขาเรียวต้องหยุดชะงักกะทันหัน เสียงใครบางคนลอยมายั่วโมโหอยู่
"ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ใช้เงินจนข้อความแจ้งเตือนไม่ทันแล้วนะ แต่ใช้ไปเถอะถ้าทำให้สบายใจเสี่ยไม่ติด" เขากล่าวอย่างหน้าตาเฉย ส่วนฉันแกล้งเมินทำเป็นไม่เห็นเขาเหมือนกัน กำลังจะเปิดประตูรถยนต์ขึ้นนั่งฝั่งคนขับ แต่ถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เขาถอดเสื้อสูทตัวนอกออกมาคลุมกระโปรงทรงเอ ก่อนจะช้อนร่างกายฉันเอาไว้ สั่งลูกน้องคนสนิทตนให้ขับรถยนต์ของฉันแทน ส่วนพวกเราทั้งคู่นั่งอยู่บนรถสปอร์ตสุดหรู ซึ่งเป็นรถยนต์ส่วนตัวของเขาเองแหละ
"หิวไหมครับ หนูอยากทานอะไรดี?" เขากล่าวพร้อมยิ้มหวานละมุน ราวกับเมื่อสักครู่เป็นฝาแฝดที่เดินกับผู้หญิงคนอื่น
"หนูอิ่มแล้วค่ะ! ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวลาค่ะ" ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบตอบกลับ ข้อมือเล็กโดนคว้าอีกรอบได้แต่เอียงคอมอง เพราะเขาไม่ยอมให้ลงจากรถยนต์
"โกรธเสี่ยเหรอครับเนี่ย~ เธอเป็นน้องสาวแค่นั้นเอง พวกเราไปทานข้าวกันเถอะนะ เสี่ยพึ่งลงจากเครื่องบินคิดจะแวะไปหาหนูอยู่ แต่ไม่ยอมรับสายกันเลยคิดว่าไม่ว่างน่ะสิ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงยานคางพร้อมยิ้มหวาน เอื้อมมือหยิกแก้มป่องของฉันจนต้องขมวดคิ้ว
"มันเจ็บนะคะเสี่ย!" ฉันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยู่ปากพร้อมกอดอกแน่น เขาโน้มใบหน้าหล่อคมหอมแก้มฟอดใหญ่
"คิดถึงหนูจังเลยครับ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติจุมพิตแผ่วเบา