บทนำ
สายลมที่เริงระบำผ่าน
เมืองอาคุระ
วิ้ว...
เสียงสายลมนอกหน้าต่างเริงระบำ ความมืดภายในห้องพูดคุยกัน...
ความเย็นโอบกอดผิวกายแม้ในฤดูร้อน จะว่าไปที่นี่เยียบเย็นตลอดไม่ว่าฤดูใดก็ตาม และไกลออกไปจากอาคุระไม่มีสิ่งใด มีเพียงความเงียบ ตำนานและเรื่องลึกลับที่เล่าขาน
เซเวียร์นอนอยู่บนเตียง เรียวขายาวสีขาวของหญิงสาวเคยเล็กสั้นทว่าเวลานี้ยาวเรียวงดงาม ช่วงสองสามปีมานี้แขนขาเธอยาวขึ้น
…เซเวียร์ไม่ใช่เด็กๆ อีกแล้ว...
เธอโตขึ้น ใบหน้าเรียวกว่าวัยเด็ก หากแต่ดวงตายังกลมโตสดใสไม่ต่างจากเมื่อก่อน และดวงตานั้นยังเปิดอยู่เพื่อรอคอยการมาของใครคนหนึ่ง จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับลืมวันเวลา
ภายในห้องนอนขนาดเล็กนาฬิกาไม้สลักตุ๊กตานกบนฝาผนังบอกเวลาใกล้เที่ยงคืน ดึกแล้ว ทว่าเขายังไม่มา เขาคนนั้นที่เซเวียร์รออยู่ ว่าที่จริงเฝ้ารออยู่เสมอและตลอดมา สำหรับเธอเขาคือทุกสิ่งทุกอย่าง
เป็นยิ่งกว่าลมหายใจด้วยซ้ำ
ที่จริงก็ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
ตั้งแต่เมื่อก่อนซึ่งราวผ่านไปแล้วนานแสนนาน....
การพบกันระหว่างเซเวียร์และแพนเริ่มขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
ใกล้มืดแล้ว...
หมอกลงจัด ละไอสีขาวเยือกเย็นปกคลุมเมืองราวจะโอบกอดทุกสิ่งรอบกายให้เลือนหาย เมืองเล็กนามอาคุระแห่งนี้เงียบสงบ เต็มไปด้วยเทพนิยายลึกลับไร้ชื่อและเรื่องแปลกอันไม่อาจอธิบาย ว่ากันว่าไกลออกไปในป่าแห่งอาคุระต้นไม้เริงระบำได้ราวกับมีชีวิต และที่แห่งนั้นสัตว์พูดได้อีกทั้งครอบครองดวงตาสีเขียวราวภูติพราย ประหลาดเสียจนไม่มีใครกล้าย่างกรายออกจากเมืองเข้าไปในป่านั้น
หากได้เข้าไปก็ไม่เหลือสติกลับมา หรือไม่อาจต้องหลงวนเวียนในนั้นตลอดไป ใครจะรู้
ถูกต้องแล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยความลึกลับ
วิ้ว...
สายลมเริงระบำกับหมอกขาวทึบราวห่มผ้าไปสู่ป่าห่างไกลไร้จุดจบ แสงแห่งดวงอาทิตย์กำลังลาจาก พวงกุญแจส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งเมื่อมือย่นของชายเจ้าของบ้านวัยย่างห้าสิบไขประตูให้ครอบครัวผู้เช่ารายใหม่ พ่อ แม่ ลูก ดวงตาฉายแววอ่อนโยนเมื่อกลอนถูกปลดและเปิดให้
“ขอโทษนะเซเวียร์ที่พ่อแม่พาย้ายมาอยู่เมืองเล็กๆ แบบนี้”
ผู้พ่อเอ่ยกับลูกสาวตัวน้อยผู้เกาะแน่นบนหลังตนเอง มืออุ่นของแม่ที่ยืนเคียงลูบไล้เส้นผมของเธอไปด้วย “ลูกคงคิดถึงเพื่อนที่โตเกียวมากใช่ไหม”
“ไม่คิดถึงหรอกค่ะคุณ ที่นี่ต้องสนุกกว่าโตเกียวมากแน่ๆ เซเวียร์ว่าไหมจ๊ะ” คุณแม่ส่งส่งยิ้มให้คนตัวเล็กบนหลังสามี “ยินดีต้อนรับเจ้าหญิงเซเวียร์ของแม่สู่...”
วูบ...!
ทว่าสายลมแรงกรรโชกคำว่า ‘บ้านหลังใหม่’ ของแม่ไป
“ลมแรงจัง” คุณแม่พึมพำ “และเมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างด้วย”
“ชายป่าก็แบบนี้แหละครับคุณผู้หญิง บางทีก็ไม่รู้ว่าเสียงอะไรเป็นเสียงอะไร อย่างไรเสียอาคุระก็เป็นเมืองที่สงบน่าอยู่มากนะครับ ถึงแม้ว่า...” เจ้าของบ้านเงียบชั่วครู่ราวลังเลที่จะบอกบางอย่าง
“เอ่อ ถึงแม้ว่าอาจมืดเร็ว ซึ่งคนที่ย้ายมาใหม่อย่างพวกคุณควรจะทำความคุ้นเคยไว้ แต่จะว่าไปการมืดเร็วก็ทำให้ต้องนอนหัวค่ำซึ่งดีกับสุขภาพมากนะครับ ฮะๆ ยิ้มหน่อยสิครับคุณหนู เดินทางไกลมาคงง่วงแล้วสินะ มีอะไรก็เรียกหาลุงเคตะคนนี้กับป้ามิโดริได้นะครับ”
ดวงตากลมของเซเวียร์มองตามเสียงปิดประตูหน้าต่างรอบข้าง ราวกับชาวเมืองพร้อมใจปิดบ้านและร้านให้เร็วชนะความมืดอย่างไรอย่างนั้น
ลุงเคตะดูจะพร้อมลับไปนอนแล้วเช่นกัน หลังจากส่งยิ้มและยื่นกุญแจให้คุณพ่อก็เอ่ยลาและเร่งฝีเท้าออกจากที่นั่น
“ยินดีต้อนรับสู่เมืองอาคุระ หวังว่าคงจะชอบที่นี่ ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
คืนนั้นในบ้านเช่าหลังใหม่เซเวียร์นอนตามลำพัง
‘เข้มแข็งไว้นะเจ้าหญิงเซเวียร์ ฝันดีครับ’ คุณพ่อกระซิบข้างหูเด็กหญิงก่อนลุกออกไปจากห้องนอน ปล่อยเธอไว้บนเตียงกับผ้าห่มหนานุ่มผืนเดียว
มืดและเงียบจัง...
ถึงแม้ถูกปลอบมาตลอดว่าเซเวียร์จะต้องนอนคนเดียวให้ได้นะถึงจะเรียกว่าเด็กที่เก่งและเข้มแข็งทว่าเด็กคนไหนจะชอบนอนคนเดียวกันล่ะ
มืดขนาดนั้น...
และถึงสายลมภายนอกราวกับร้องเพลงกล่อมจากไกลแสนไกลก็ยังไม่อาจปลอบใจ
“ฮือ...” เมื่อความอบอุ่นจากริมฝีปากพ่อจางหายจากแก้มเธอจึงสะอื้นตามลำพัง
เด็กน้อยกลัว
“ฮึก ฮือ...”
“เด็กน้อย เจ้าร้องไห้ทำไม” จู่ๆ ในความมืดเสียงหนึ่งทักขึ้น ทุ้มแผ่วและอ่อนโยน
ร่างเล็กสะดุ้ง
“นั่นใคร!?”
“ข้าไม่ชอบเสียงเด็กร้องไห้ และข้าอยากให้เจ้าหยุดร้องได้แล้ว”
“แต่ข้ากลัวความมืด ข้าก็เลยร้องไห้” ร่างเล็กสะอื้นอีก
ผู้มากับความมืดคิดว่าช่างเป็นความใจร้ายอะไรอย่างนี้ที่ปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆ นอนคนเดียว นี่หรือมนุษย์
แต่จริงสิเขาไม่ควรวิจารณ์มากไป ในเมื่อโลกของเขานั้นก็ไม่ได้ดีอะไร
อาจแย่กว่าด้วยซ้ำ
ทว่าที่สำคัญโลกของเขานั้นแสนจะยาวนาน ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้เขากับมนุษย์ต่างกันราวเหวกับฟ้า
“ไม่ต้องกลัว”
ผู้เกลียดเสียงร้องไห้เอ่ยปลอบ ฟังอ่อนโยนไม่ต่างจากสายลมนอกหน้าต่าง
“ความมืดนั้นสวยงามอยู่เหมือนกัน ความเย็นอีกทั้งปริศนาของมัน นึกเสียว่าเป็นนิทานก่อนนอนที่เจ้าลืมไปแล้วก็ได้”
“ท่านเป็นใครคะ”
“ไม่มีใครควรรู้ชื่อของข้า”
“แต่ถ้าไม่ให้รู้ท่านจะมาทำไมคะ”
ท่านนั้นนิ่งไป ก่อนเอ่ยตอบหลังจากชั่งใจแล้ว
“ข้าคือแพน”
“แพน?”
มือเล็กกอดกุมผ้าห่มแนบอก ทั้งกล้าทั้งกลัว
“ท่านเป็นอะไรคะ เป็นผี เป็นเอลฟ์ หรือเป็นแฟรี่ หรืออะไร”
“เรียกข้าว่าเพื่อนของเจ้าก็แล้วกัน”
“เพื่อน?”
เซเวียร์ลุกนั่ง จ้องมองเงาสูงสง่างามที่ยืนนิ่งราวกับผนัง
“แต่ทำไมแพนต้องอยู่ที่เงามืด ทำไมไม่ออกมาหาเซเวียร์คะ”
“เพราะข้าเป็นสิ่งที่น่ากลัวจึงไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เห็น นั่นเป็นกฎของข้า”
“ข้าไม่กลัวอย่างอื่นหรอกค่ะ กลัวแต่ความมืดเท่านั้น”
“ข้าคือความมืด”
“เฮือก!”
เด็กน้อยสะดุ้ง ถอยกรูด
“คะ...ความมืด!? ข้ากลัวความมืด!”
ทว่าเหตุใดเสียงของความมืดถึงได้อ่อนโยนล่ะ
“แต่...ข้าอยากเห็นท่านอยู่ดีนะคะ”
“ไม่ได้หรอก เด็กน้อย”
“แต่ถ้าไม่ให้ข้าเห็นท่านจะมาทำไม”
ความมืดเงียบราวนิ่งคิด
“หรือว่าแพนเหงาคะ”
เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงในเงามืดนิ่งอึ้ง
เหงาหรือ ไม่หรอก เขาไม่ได้เหงา
“คนมีเวลาเป็นนิรันดร์อย่างข้าเหงาไม่ได้หรอกนะ”
ทว่าในใจเขารู้แล้วว่าตนเองมาที่นี่ด้วยเหตุใด เขาชอบเด็ก...ก็เท่านั้น เด็กทั้งบริสุทธิ์ น่ารักและไร้เดียงสา คงดีหากมนุษย์คนหนึ่งเป็นเด็กไปตลอดกาล ไม่ต้องเติบโตขึ้นให้วุ่นวาย
“ถ้าหากท่านไม่ออกมาข้าขอเห็นมือท่านก่อนก็ยังดี ยื่นมือของท่านออกมาให้ข้าดูสิคะ” เซเวียร์ต่อรอง ที่จริงก็กลัวอยู่เหมือนกัน มือของความมืดอาจเหมือนมือปีศาจ
เนิ่นนานกว่าแพนจะยื่นมือออกไป ใช่ เพียงแค่มือเท่านั้น มือสง่างามสีขาวราวรูปสลักใต้แสงจันทร์
เด็กน้อยเห็นแล้วนิ่งอึ้ง
“มือของท่านสวยจัง”
“เจ้าไม่คิดว่ามันออกจะน่ากลัวหรอกหรือ”
มือเล็กเอื้อมจับมือแพน “เฮือก! มือของท่านเย็นจัง ท่านหนาวหรือคะ หรือว่าไม่สบาย!?”
“ข้าสบายดี”
เขาแค่ถูกสร้างมาให้เป็นเช่นนั้น เยียบเย็นเหมือนเวลาอันเป็นนิรันดร์ “พอแล้วนะ แค่นี้ข้าก็ทำผิดกฎของข้าแล้ว ขอมือข้าคืนด้วย”
ทว่าด้วยแรงทั้งตัวเซเวียร์ดึงมือนั้นเข้ามา
กึก!
ร่างสูงเคลื่อนตามแรงดึงหนึ่งก้าว เผยให้เห็นใบหน้าที่เคลื่อนจากเงาออกสู่แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่าง
ดวงตากลมโตเบิกกว้างตกตะลึง เซเวียร์เห็นแพนแล้ว เวลาราวหยุดหมุนชั่วขณะ!