DEEP LOVE : 01
แผ่นหลังฉันแนบชิดสนิทเบาะหนังเพราะความเร็วที่เกินกว่ามาตรฐานกำหนด ปลายเท้าเล็กแตะคันเร่งโดยไม่เว้นช่องว่างให้อากาศลอดผ่านเลยสักวินาที สองมือเล็กกำพวงมาลัยแน่น พลางหักไปซ้ายขวาตามพื้นที่ว่างบนท้องถนน สายตาจ้องผ่านกระจกออกไปข้างหน้าราวกับโกรธแค้นมันมาเป็นสิบชาติ โทสะในตัวปะทุปุดๆ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิด
ปึกกก!!!
“อ๊ายยยยย”
ฉันยกกำปั้นซ้ายทุบพวงมาลัยพร้อมกับกรีดร้องออกมาสุดเสียงภายในสปอร์ตคันหรูของตัวเอง เผื่อความร้อนในกายมันจะทุเลาลงบ้างแต่ไม่เลย…ไม่ช่วยอะไรเลย ถ้าสิ่งที่ทุบเมื่อกี้เป็นหน้าหมอนั่น ก็คงจะช่วยได้เยอะกว่านี้
ฉันกดปุ่มคำสั่งบนพวงมาลัยเลื่อนหาเบอร์เพื่อนสนิทบนจอ LED ขนานย่อมตรงคอนโซนรถ แล้วกดโทรออกทันที
ตื๊ดดดด ตื๊ดดดดด
“ไงคะ…อีคุณหนูขาวีน”
“มึงอยู่ไหน”
“อยู่คอนโด”
สายถูกตัดด้วยปลายนิ้วทันทีที่รู้จุดหมายปลายทาง ก่อนจะหักพวงมาลัยชิดซ้ายเตรียมเลี้ยวเข้าคอนโดเพื่อนรักตัวเอง
ฉันกลับมาไทยเพราะคำสั่งกายสิทธิ์ของผู้สูงวัยที่มีอิทธิพลกับชีวิตที่สุดตั้งแต่ป๊าจากไปอย่างกะทันหัน เมื่อสิบปีก่อน คนนั้นคือ อาม่า คนที่รักและห่วงใยฉันมากกว่าแม่แท้ๆ บางทีอาจเป็นเพราะท่านมีครอบครัวใหม่ ความรัก ความใส่ใจที่มีต่อฉันมันจึงน้อยลง
ส่วนธุรกิจของป๊า ก็ตกเป็นของแม่โดยปริยาย ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านทั้งสองสร้างมาด้วย ฉันมีสิทธิ์แค่ถือหุ้นเล็กๆ ในบริษัทก็เท่านั้น เรื่องราวภายใต้ธุรกิจคงมีอะไรมากกว่านั้นที่ฉันไม่รู้
ความจริงฉันก็ไม่ซีเรียสนะ…เพราะไม่ตั้งใจจะกลับมาไทยอยู่แล้ว ฉันกะลงหลักปักฐานใช้ชีวิตสงบสุขในที่ที่นั่นเลย
แต่ก็นั่นแหละ…ฉันขัด อาม่า ไม่ได้ ด้วยประโยคเบสิกที่ท่านชอบพูด
‘ม่าจะตายวันตายพรุ่งก็ม่ะรู้ แค่นี้ทำให้ม่าไม่ได้เหรอ’ และฉันก็ต้องยอมท่านทุกครั้ง
แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ ถ้ารู้ก่อนว่าเหตุผลที่ท่านตามฉันกลับมาในครั้งนี้ คือการมาเข้าร่วมพิธีมงคลสมรส โดยที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไปกว่า 90% เหลือแค่รอส่งตัวบ่าวสาวในวันพิธีก็เท่านั้น ไม่มีทางที่จะเห็นฉันที่นี่แน่ๆ
ไม่ว่ายกแม่น้ำ ยกภูเขา หรือยกมาทั้งอวกาศ เพื่อจะใช้เป็นข้ออ้างในการยกเลิกงานแต่งครั้งนี้ อาม่าก็ไม่ยอมและไม่มีท่าทีจะอ่อนลง ทางเดียวที่จะล้มเลิกงานแต่งครั้งนี้ได้ คือ เจ้าบ่าวต้องปฏิเสธงานแต่งนี่ด้วยตัวเขาเองเท่านั้น
และก็อย่างที่เห็น เขาเป็นคนยินยอมที่จะให้มีพิธีแต่งงานเกิดขึ้น เพียงเพราะธุรกิจบ้าบอนั่นและอยากเอาชนะฉัน
ผู้ชายคนนั้น นายมธุษินทร์ อัครจินดา เขาโผล่เข้ามาในชีวิตฉันตั้งแต่ป๊ายังมีชีวิตอยู่ เพราะพ่อเราสองคนเป็นเพื่อนรักกัน แต่ความเป็นเพื่อนรักนั่น มันไม่ได้สืบถอดกันมาเป็นมรดก ฉันเลยไม่ชอบขี้หน้าเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอ เราไม่เคยญาติดีกันเลยสักครั้ง
‘คอยดูนะ ฉันจะเอาชนะเธอให้ได้ ฉันจะทำให้เธออยู่ในกำมือฉันให้ได้ ยัยคุณหนูจองหองเอ๊ย’ ไม่คิดว่าประโยคที่เขาเคยพูดไว้เมื่อสี่ปีก่อน เขาไม่เคยลืมและตั้งใจจะทำแบบนั้นกับฉันจริงๆ แต่ตอนนี้ต้องตัดโทสะ อารมณ์ส่วนตัวไปก่อนเพราะฉันต้องใช้สติและสมองมากกว่า
ปลายนิ้วเรียวถูกยกกดกริ่งหน้าคอนโดเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมาสี่ปีแต่เราคอลหากันอยู่ตลอด ตอนที่ฉันอยู่อีกซีกโลก ซึ่งความจริงก็เหมือนไม่ได้ห่างกันเลยสักนิด เธอคือ จ๊ะจ๋า เพื่อนสนิทที่สุดเพียงคนเดียวของฉัน
ไม่นานประตูห้องก็เปิดพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วและมือที่ผายออกเป็นเชิงยินดีต้อนรับของเพื่อนตัวดี
“เวลคัมทูไทยแลนด์ค่ะ ว่าที่เจ้าสาว”
“Shut up!” ฉันว่าพลางตวัดตามองเจ้าของห้องที่รีบยกมือขึ้นปิดปากด้วยท่าทีเสแสร้งเป็นว่า นี่ฉันพูดอะไรออกไป เหอะ…ว่าที่เจ้าสาวงั้นเหรอ ไม่มีวันซะหรอก
ก่อนจะพาตัวเองไปยังชุดโซฟาสุดหรูกลางห้องแล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง แหงนคอพิงพนัก เหม่อมองเพดานสีครีมตกแต่งด้วยดวงไฟเล็กหลายจุดและดวงใหญ่ที่ห้อยกึ่งกลางโดดเด่น ตั้งแต่ลงเหยียบบนแผ่นดินไทย ฉันยังไม่ได้พักเลย ในหัวมีแต่เรื่องงานแต่งที่จะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คิดไม่ตก หาทางออกไม่เจอ ถ้าตอนนี้ป๊ายังอยู่ ลูกคงไม่โดนอาม่าบังให้แต่งงานกับคนที่ไม่ชอบเพื่อธุรกิจที่ป๊าสร้างขึ้นมาหรอกใช่ไหม
“กูจะหนีงานแต่ง” ฉันพูดออกไปอย่างเลื่อนลอย สมองฉันคิดได้แค่นี้…นี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวฉันตอนนี้
“มึงจะบ้าเหรอ ไม่กลัวอาม่าช็อกตายรึไง” มันว่าพลางกระโดดมานั่งข้างฉันด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“อาม่าแข็งแรงจะตาย มึงไม่เห็นไง๊” ฉันแย่งด้วยความจริงที่เป็นอยู่ ก่อนจะหันหน้าไปหาเพื่อน ผงกศีรษะขึ้นวางบนมือที่ตั้งศอกยันกับพนักพิงโซฟาแทน
อาม่าพูดว่าเป็นนั่นเป็นนี่เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้ฉันทำตามความต้องการของตัวเองก็เท่านั้น ความจริงท่านไม่ได้ป่วยหรือเป็นอะไรเลย เรื่องนี้ฉันรู้ดี…แค่ไม่อยากขัด แต่ครั้งนี้มันเกินไป
“แล้วธุรกิจของป๊ามึงละ” มันถาม
“กูไม่เอา กูไม่ได้อยากได้แต่แรกแล้ว” คำตอบนี่ฉันแทบไม่ต้องคิดเลย ถ้าฉันอยากได้คงไม่คิดจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศตั้งแต่แรก
“มึงคิดดีแล้วเหรอ” มันถามต่อ
“ดีที่สุด”
“กูให้คิดอีกที” มันยังพยายาม
“ไม่” ฉันปฏิเสธด้วยเสียงหนักแน่น จ๊ะจ๋าทำหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่างก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบไวน์แดงที่วางบนเคาน์เตอร์ครัวพร้อมแก้วสองใบแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม
“แต่กูว่า…” มันพูดขึ้นในตอนที่กำลังรินไวน์ใส่แก้วให้ แต่ฉันพูดแทรกขึ้นก่อนในจังหวะที่มันเว้นช่วง
“ทำไมมึงดูอยากให้กูไปใช้ชีวิตกับผู้ชายแบบนั้นจังเลยวะ”
ฉันรับแก้วไวน์มาแกว่งอยู่ในมือ หรี่ตามองเพื่อนตัวเองอย่างจับผิด
“ไม่ใช่แบบนั้น” มันปฏิเสธแล้วกระดกไวน์เข้าปาก ฉันเองก็ด้วย หน้าตาฉันเหยเกทันทีที่กลืนไวน์ลงคอ พร้อมกับจ้องแก้วไวน์ในมือ
ไวน์นี่ราคาเท่าไหร่กันนะ…รสชาติแย่ชะมัด ก่อนจะวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะในจังหวะที่เพื่อนรักเริ่มสาธยายต่อ
“กูว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ถ้าคิดในเชิงธุรกิจ มีแต่ได้กับได้ไม่ใช่ง่ะ งั้นเขาก็คงไม่ตกลงแต่งงานกับมึงหรอก”
“แต่เขาไม่ใช่คนดี” ฉันสวนทันควัน
“มึงก็ไม่ใช่นะ”
“อีจ๋า!” ฉันตวัดตามองเพื่อน...ที่เริ่มไม่แน่ใจว่ามันใช่เพื่อนฉันจริงๆ รึเปล่าด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เมื่อมันหาว่าฉันก็ไม่ต่างจากคนประเภทนั่น แต่เชื่อเถอะ…เขาเลวกว่าฉันหลายร้อยเท่า แล้วมันก็ยังพยายามโน้มน้าวฉันต่อ
“กูกำลังคิดว่า เขาก็คิดแต่เรื่องธุรกิจ ไม่ได้คิดถึงเรื่องความรักความใคร่อะไร ก็ต่างคนต่างอยู่ได้หนิ แต่งแค่ในนาม ต่างคนต่างเป็นอิสระ มันก็แฟร์ๆ ไหม”
ฉันเริ่มคิดตามในสิ่งที่มันพูด ก็ฟังดูดีในระดับหนึ่ง หรือความจริงต่างคนต่างอยู่มันก็ดี อาม่าก็จะไม่ตัดหลานกับฉันด้วย เห่ย…ไม่ได้ดิ
“ไม่ จะแค่ในนามหรือในไหนกูก็ไม่โอเค” ฉันรีบปฏิเสธทันทีที่ดึงสติกลับมาได้ อาม่ามาซื้อตัวมันไปเป็นพวกแล้วแน่ๆ กล่อมซะเคล้มเชียว ดีนะ…ไหวตัวทัน
“มึงเกลียดไรเขานักหนาว่ะ หรือเขาเคยหักอกมึง” แล้วมันก็ตั้งคำถามท่าทางจริงจัง
“อีนี่…!!”
“เอ้า ก็กูอยากรู้”
“มึงดูหน้าเพื่อนมึงดีๆ ดิ หน้าอย่างงี้ จะมีใครกล้ามาหักอกกูเหรอ มีแต่วิ่งตามค่า” ฉันจับใบหน้ากลมมนของเพื่อนรักมาประจันหน้า ให้มันดูชัดๆ ว่าฉันสวยขนาดไหน กล้าพูดได้ไงว่าจะมีผู้ชายมาหักอกฉัน
“จ่ะ…สวย แต่แต่น่าเสียดายที่กำลังจะมีผัว”
“โนว์ กูจะไม่ยอมเอาใครหน้าไหนมาเป็นผัวเด็ดขาด มึงคอยดู” พูดจบฉันก็สะบัดหน้ามันไปอีกทางด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะลุกเดินไปที่เคาน์เตอร์ครัว เปิดวิสกี้ยี่ห้อดังเทใส่แก้วแล้วยกขึ้นกรอกปากจนหมดในคราเดียว ล้างรสชาติแย่ๆ ของไวน์แดงนั่น หรือความจริงอาจเป็นเพราะฉันไม่ค่อยสันทัดเครื่องดื่มโหมดไวน์สักเท่าไหร่ ค่อยดีขึ้นมาหน่อย ฉันเทมันใส่แก้วอีกครั้งก่อนจะพลิกตัวหันหลังพิงเคาน์เตอร์ครัว มองน้ำสีเหลืองอำพันในแก้วที่หมุนวน เหมือนกับฉันในตอนนี้ ไม่ว่าฉันจะวิ่งหนียังไง มันก็วนกลับมาที่เดิม ไม่มีทางออก
ใช่ว่าฉันจะเกลียดอะไรหมอนั่นขนาดนั้นหรอกนะ แต่แค่ไม่ถูกชะตา ไม่ชอบขี้หน้า แล้วไม่ใช่กับเขาคนเดียวหรอก ไม่ว่ากับใคร ฉันก็ไม่อยากแต่ง ฉันชอบการใช้ชีวิตคนเดียว รักอิสระ ติดเที่ยวเล่น เรื่องผู้ชายก็มีบ้าง พอมีคนเข้ามาคุย เข้ามาเปย์ แต่ฉันก็ไม่เคยเลือกใครสักคน พอถึงจังหวะที่รู้สึกว่าเขาล้ำเส้นเกินไปฉันก็ตัดทิ้ง อย่างไม่มีเยื่อใย เพราะฉันไม่เคยอินกับความรัก…
ฉันกลัวการมีครอบครัว เพราะเบื้องหลังครอบครัวที่แสนสุข ภายในคฤหาสน์สวยงาม ที่ทุกคนมองว่าฉันเป็นดั่งเจ้าหญิง แท้จริงแล้วมันไม่ใช่…
ความร้ายกาจในจิตใจมนุษย์ เกินที่เราจะคาดเดาได้
ความรักบ้าบออะไร มันไม่มีจริงหรอก อยู่กันเพื่อผลประโยชน์ทั้งนั้น และชีวิตฉันก็กำลังจบลงแบบนั้น แบบป๊ากับแม่ นี่สินะ มรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น เฮงซวยฉิบ!