คลุมถุงชน 2/3
“แกก็เรียนจบแล้ว อีกหน่อยก็ต้องมาดูแลกิจการแทนฉัน” พ่อเดินเข้ามาวางมือไว้บนไหล่ของผมพร้อมกับบีบเบาๆ “ก่อนที่ฉันจะวางมือ ฉันก็อยากให้แกมีคนดีๆ อยู่เคียงข้าง และที่สำคัญ ฉันอยากเห็นหน้าหลานตัวน้อยๆ ของฉันเร็วๆ ด้วย”
“ถ้าพ่ออยากได้หลานนะ ผมหาให้ได้ แต่ผมไม่เอาแม่มันนะ ผมเอาแต่ลูก”
“ไอ้เลโอ!!”
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณ” แม่รีบลุกขึ้นมาห้ามเมื่อผมทำพ่ออารมณ์เสียถึงขั้นหนักก็ว่าได้
พ่อยืนหายใจแรงเหมือนต้องการระงับอารมณ์ ก่อนจะหันมายื่นคำขาดกับผม “หลานฉันต้องเกิดจากหนูต้นหลิวเท่านั้น ไม่งั้นแกก็เตรียมตัวตกยากได้เลย เพราะฉันจะไม่ให้อะไรแกสักอย่าง!”
“พ่อ!!”
อะไรกันเนี่ย!! ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ พ่อใจร้ายเกินไปแล้ว
“เลโอ พ่อกับแม่ปล่อยให้ลูกใช้ชีวิตตามใจตัวเองมามากแล้วนะ ถึงเวลาที่ลูกต้องทำตามความต้องการของพ่อแม่บ้าง”
“แม่! นี่แม่ก็เห็นด้วยกับพ่องั้นเหรอ” แทนที่แม่จะเข้าข้างผม แม่กลับเห็นด้วยกับพ่อซะงั้น
“จะดีเหรอ ทำแบบนี้เป็นการบังคับลูกเกินไปหรือเปล่า” พ่อของต้นหลิวเอ่ยพูดกับพ่อของผมหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน
“ไม่หรอก ถึงเวลาที่มันควรทำตัวดีๆ ได้แล้ว” พ่อผมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมอ่อนให้ผมสักนิด
ต่อให้ผมค้านแทบตายก็คงเปลี่ยนใจพ่อไม่ได้สินะ ผมจึงหุนหันเดินออกมาจากบ้านโดยที่ไม่บอกกล่าวใครสักคน
พลึก!!
ผมปิดประตูรถอย่างแรงตามอารมณ์ที่กำลังเดือด ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย นี่ผมไปสร้างเวรสร้างกรรมมาแต่ชาติปางไหน ถึงได้โดนครอบครัวคลุมถุงชนแบบนี้
พลึก!!
ผมกำลังจะออกตัวรถ ประตูฝั่งซ้ายก็ถูกเปิดออกแล้วตามมาด้วยร่างบางของใครบางคนที่กระโดดขึ้นรถผมอย่างหน้าไม่อาย
“นี่เธอ!!”
“ฉันชื่อต้นหลิว” เธอหันมาตอบก่อนจะหันไปดึงสายเบลล์มาคาดตัวเองพร้อมออกเดินทาง
“เธอขึ้นรถฉันทำไม ลงไปเลยนะ!”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ!”
“นี่นาย!! ช่วยใจเย็นแล้วคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม ฉันมีข้อเสนอมาให้”
ผมยอมใจเย็นก็ได้ เพราะอยากรู้หรอก ว่าเธอจะมีข้อเสนออะไร แต่ถ้าไม่น่าสนใจล่ะก็... น่าดู
ผมพาต้นหลิวมายังร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดของผมเท่าไร เธอบอกต้องการพื้นที่ที่เป็นส่วนตัว ผมจึงโทรมาจองโต๊ะล่วงหน้าที่เป็นโต๊ะสำหรับแขกวีไอพี
“ไหนว่ามาสิ เธอมีข้อเสนออะไร” ผมเปิดประเด็นทันทีที่นั่งลงกับเก้าอี้ได้
“ใจคอจะไม่ให้ฉันสั่งอะไรก่อนหรือไง” ต้นหลิวตวัดหางตาใส่ผมอย่างอารมณ์เสีย
“จะสั่งอะไรก็สั่งไปสิ”
“ไม่สั่งล่ะ” ต้นหลิวปัดเมนูอาหารไปข้างๆ ก่อนจะหันมาจ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง “สามเดือน”
“อะไรของเธอ” จู่ๆ ก็บอกว่าสามเดือน เธอควรจะพูดขยายความให้ผมเข้าใจมากกว่านี้หน่อย
“เราจะแต่งงานกัน และอยู่ด้วยกันแค่สามเดือน”
“เหอะ!! นี่นะเหรอ ข้อเสนอของเธอ” สุดท้ายมันก็ต้องแต่งอยู่ดีอ่ะ ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจตรงไหน
“สามเดือนที่อยู่ด้วยกัน เราจะทำให้พ่อแม่ของเราเห็นว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ พวกท่านแค่อยากให้เราสองคนแต่งงานกัน ส่วนเรื่องหลังจากแต่งงานนั้น มันก็อีกเรื่องหนึ่ง” ต้นหลิวขยับเอียนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายๆ
“ถ้าฉันแต่งงาน สาวๆ ก็หายหมดนะสิ ฉันไม่เอาด้วยหรอก” ผมไม่ยอมสละโสดง่ายๆ หรอกนะ อุตส่าห์รักษามาตั้งนาน
“ก็แต่งกันแค่ในนามเท่านั้นแหละ นายอยากจะไปเที่ยวกับใครที่ไหนก็เรื่องของนายเลย ฉันไม่สนอยู่แล้ว” ผมแอบตงิดใจเล็กน้อย ทำไมต้นหลิวถึงดูไม่สนใจผมเลยนะ ทั้งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต่างก็อยากจะมาอยู่ตรงจุดที่เธอกำลังจะได้อยู่นี้ หรือผมยังดูดีไม่พอในสายตาของต้นหลิวงั้นเหรอ เริ่มรู้สึกเสียเซลล์นิดๆล่ะ
“เธอมีคนรักอยู่แล้วงั้นเหรอ” ผมเอ่ยถามต้นหลิวออกไปตามตรง มันจะมีสักกี่เหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจผมได้
“เปล่า...” ต้นหลิวยื่นหน้าจากฝั่งตรงข้ามแล้วจ้องนัยน์ตาของผมด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกสุดๆ “ฉันแค่ไม่ชอบนาย” พูดจบเธอก็ถอยกลับไปพิงพนักเก้าอี้ตามเดิม
“ทำไม”
“เพราะนายมันกะล่อนไง ผู้หญิงล้อมหน้ารอบหลังไปหมด ฉันไม่ขอไปสู้รบตบมือกับคนพวกนั้นหรอกนะ มันน่ารำคาญ” ต้นหลิวกลอกตามองบนก่อนจะหันไปมองทางอื่นด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เท่าไร
“ใช่ว่า...ที่เธอทำอยู่เนี่ย เพื่อเรียกร้องความสนใจจากฉันหรอกนะ” ต้นหลิวหันขวับกลับมามองหน้าผม คิ้วเรียวสวยผูกเป็นปมอยู่กลางหน้าผาก
“ทำไมฉันต้องเรียกร้องความสนใจจากนายด้วย”
“ลึกๆ แล้วเนี่ย เธออาจจะชอบฉันก็ได้ แต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ เพื่อให้ฉันหันมาสนใจเธอแทนไง” ผมฉีกยิ้มหวานไปให้ต้นหลิวหนึ่งที่อย่างกวนๆ
“ละเมออยู่เหรอ” ต้นหลิวใช้มือข้างหนึ่งวางลงกับโต๊ะแล้วยกขึ้นเท้าคางเธอไว้ “คิดว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องหลงเสน่ห์นายไปซะหมดหรือไง”
“แล้วมันใช่ปะล่ะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ต้นหลิวในระยะเผ่าขน และผมก็คิดว่าผมดูไม่ผิดแน่ๆ แววตาของต้นหลิวดูสั่นไหวอย่างรุนแรง และนั้นก็ทำให้ผมยิ้มหวานหนักกว่าเดิม พอรู้ตัวว่ากำลังโดนผมจับผิด ต้นหลิวก็รีบผละตัวออกแล้วกลับไปพิงพนักเก้าอี้ตามเดิมพร้อมกับพยายามปรับสีหน้าให้ดูปกติ
ยัยเด็กน้อยเอ๊ย... ดูก็รู้ว่าเธอหวั่นไหวกับฉันแค่ไหน ยังจะมาทำปากดีว่าไม่สนใจฉันอีก
“ฉันขอตัวก่อนนะ พอดีมีธุระ” ต้นหลิวรีบลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปจากร้านอาหารอย่างรวดเร็ว
หึ! ผมบอกแล้วไง ไม่มีผู้หญิงคนไหนต้านทานเสน่ห์อันร้อนแรงของผมได้หรอก
ต้นหลิว
ฉันกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงกว้างในห้องนอนของต้าหนิง ใช่แล้วล่ะ ฉันมาอยู่ที่บ้านของต้าหนิงได้สามอาทิตย์แล้ว ที่จริงป๊ากับม๊าจะซื้อคอนโดให้ฉันอยู่ แต่ฉันปฏิเสธไปเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ฉันจึงขอมาอยู่ที่บ้านของลุงกับป้าแทน ซึ่งป๊ากับม๊าก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะท่านเองก็ไม่อยากให้ฉันอยู่คนเดียวเหมือนกัน
หลังจากที่กลับจากบ้านของเลโอป๊ากับม๊าก็บินกลับลอนดอนทันทีเพราะมีงานต้องรีบกลับไปเคลียร์ให้เสร็จ ก่อนจะถึงวันสำคัญของฉัน
“ต้าไปเรียนก่อนนะ” ต้าหนิงหันมาบอกฉันเมื่อใส่รองเท้าเสร็จ
“ไปเองเหรอ ให้พี่ไปส่งไหม” ฉันรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกับอาสาจะไปส่งน้อง
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เรซมารับน่ะ” ต้าหนิงบอก
“อิจฉาคนมีแฟนจัง” ฉันเอ่ยแซวน้อง
“จะอิจฉาทำไมค่ะ พี่หลิวเองก็ใช่ย่อย จะแต่งงานแล้วนิ” แล้วฉันก็โดนน้องแซวคืน
“มันไม่เหมือนกันกับต้านิ พี่กับเลโอ เราไม่ใช่แฟนกัน ความผูกพันก็ไม่มี”
“ก็สร้างสิคะ สร้างให้เป็นความผูกพันและให้เกิดเป็นความรัก”
“ไม่เอาอ่ะ ไหวหรอก” ฉันรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“งั้นก็แล้วแต่พี่หลิวนะคะ แต่ถ้าเป็นต้านะ ผู้ชายเพอร์เฟคขนาดนี้ ต้าไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอกค่ะ” ต้าหนิงยังไม่ล่ะความพยายามที่จะยุ่งยงฉันอีก
“ไปเรียนได้แล้ว เราน่ะ” ฉันจึงตัดบทก่อนที่น้องจะพูดเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้
“ค่า...” ยังไม่วายหันมายกยิ้มทะเล้นใส่ฉันอีก
เห้อ.... พอน้องออกไป ฉันก็มานั่งถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ฉันควรจะทำไงดีกับชีวิตคู่ที่ป๊ากับม๊าเป็นคนเลือกให้
ฉันยอมรับ ว่าเลโอนั้นเป็นผู้ชายที่ดูดีและมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้ดูแย่เลยสักนิด และนั่นแหละ ที่ทำให้ฉันแอบคิดมาก เพราะฉันไม่แน่ใจว่า ฉันจะหยุดความเจ้าชู้ของเขาได้ไหม และที่สำคัญ ฉันจะสามารถเข้าไปนั่งในใจเพียงหนึ่งเดียวของเขาได้หรือเปล่า
ตอนที่ได้รู้ว่าเขาคือคู่หมั้นของฉัน ลึกๆ แล้วก็แอบดีใจ ฉันถึงได้บินมาที่ประเทศไทยโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวใครล่วงหน้า เพราะฉันอยากมาเจอหน้าเขา และอยากรู้ว่าเขาจะจำฉันได้ไหม
ในขณะที่ฉันยังจำเรื่องราวสมัยเด็กๆ ของเราได้ไม่เคยลืมเลื่อน แต่เขากลับจำอะไรเกี่ยวกับฉันไม่ได้เลยสักนิด ครั้งแรกที่เจอหน้ากันในรอบหลายปี ฉันยังจำเค้าโครงหน้าของเขาได้ แต่เขาสิ ใบหน้าของฉันไม่ได้สะกิดใจเขาเลยสักนิด
และพอฉันได้ไปอยู่ใกล้ๆ เขาในเวลาช่วงสั้นๆ ฉันก็ได้รู้ว่า เขามีผู้หญิงลุ่มล้อมเต็มไปหมด จนไม่เหลือที่ว่างสำหรับฉัน
วันที่เขาทะเลาะกับพ่อแม่ของเขาเรื่องงานแต่ง มันทำให้ฉันแอบปวดใจอยู่หน่อยๆ เขาไม่ได้สนใจฉันเลยสักนิด จนฉันคิดจะถอดใจแล้วด้วยซ้ำ
แต่แล้วก็เกิดความคิดบ้าๆ ขึ้นมาในหัว ฉันอยากเอาชนะเขา จึงยื่นข้อเสนอบ้าๆ นั้นออกไป
ฉันมีเวลาสามเดือนในการพิชิตใจเขา และฉันต้องทำมันให้ได้ เพราะเลโอที่ฉันเคยรู้จัก เขานิสัยดีและอ่อนโยนเป็นที่พึ่งให้ฉันได้เสมอ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะกลายเป็นเสือร้ายแล้วก็เถอะ แต่ฉันก็เชื่อว่า เขาจะกลับมาเป็นเลโอคนเดิมคนที่ฉันรู้จักได้ แต่ถ้าหากพยายามเต็มที่แล้วผลออกมายังเหมือนเดิมอีกละก็... ฉันคงก็ต้องถอดใจจริงๆ