บทย่อ
“ฉันจะหาเงินมาคืนให้คุณ แต่ว่าเงินมากมายขนาดนั้นฉันขอเวลาหน่อยได้ไหม?” ฉันพยายามยื่นข้อเสนอทั้งที่รู้ว่า ตัวฉันเองแทบไม่มีปัญญาหามาเลยจริง ๆ “ไม่!! ฉันไม่ชอบการรอคอย” เขาตอบออกมาแค่นั้น ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี พวกลูกน้องของหมอนั่นก็ก้าวเท้าเข้ามาหาทั้งฉันและแพรวดาว “ถ้าจะทำอะไร ทำฉันคนเดียวปล่อยน้องฉันไปเถอะ น้องฉันยังเด็กเกินไป” ฉันกลั้นใจพูดมันออกไปและกอดยัยแพรวดาวเอาไว้แนบกาย ไม่นานก็มีคุณหมอคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกระเป๋าเครื่องมือบางอย่างในชุดกาวน์ ของโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง “ตรวจคนไหนครับ คุณบลูไนท์” เสียงของหมอคนนั้นถามบลูไนท์อย่างเคารพ “ตรวจ? คุณจะตรวจอะไรเรา?? คุณต้องการอะไร” ฉันพยายามอ้อนวอนขอคนตรงหน้า ทั้งที่เขาไม่สนใจใยดีอะไรฉันเลย “เอาเด็กนั่นไปตรวจ ความบริสุทธิ์!" __________________>>>>>ในบางครั้งที่ที่อันตรายที่สุด กับเป็นที่ปลอดภัยและอบอุ่นใจที่สุดของเรา และเขาคือบลูไนท์ ผู้ชายที่อันตราย ใจร้าย และฉันคือคนเดียวที่ถูกขังเอาไว้ในใจของเขา..
Ep.1 Call me devil PIB-PREAW’S STORY
Let's begin...
“ของขวัญสำหรับลูกสาวคนเก่งของพ่อที่เรียนจบสามปีครึ่ง แถมยังได้เกียรตินิยมอันดับ 1 อีกต่างหาก”
คุณพ่อโอบกอดฉันเอาไว้อย่างเอ็นดูและรักใคร่ในวันที่ฉันกลับมาถึงบ้านที่เมืองไทยหลังจากที่ฉันได้ทุนไปเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย ด้าน Business Management หรือด้านการจัดการบริหารทางธุรกิจ
ของขวัญที่พ่อว่า ก็มีน้าผึ้งเดินถือของขวัญนั้นเอามายื่นให้กับฉัน
“น้ายินดีด้วยนะ พริบพราว” น้าผึ้ง ภรรยาของคุณพ่อก็เดินมาจับมือร่วมแสดงความยินดีกับฉันด้วยอีกคน ก่อนจะส่งกล่องของขวัญเล็ก ๆ สีครีมผูกด้วยโบว์สีชมพูให้กับฉัน
“ขอบคุณนะคะน้าผึ้ง” ฉันก็น้อมรับอย่างมีมารยาท
พอแกะกล่องเปิดดูก็ต้องตกใจ เพราะว่า
“มัน... แพงเกินไปหรือเปล่าคะพ่อ?”
ฉันถามอย่างไม่กล้ารับ กุญแจรีโมตรถ BMW ใหม่เอี่ยมที่อยู่ในกล่องที่เหมือนเพิ่งซื้อมาจากโชว์รูมหมาด ๆ ด้วยป้ายการ์ดที่บอกวันเดือนปีที่ท่านเพิ่งซื้อ และการ์ดของสมนาคุณต่าง ๆ
“ปีนี้พ่อได้โบนัสเยอะน่ะลูก” พ่อยิ้มแย้มด้วยสายตาที่มีความสุข ที่ได้มอบของขวัญให้กับฉัน
แต่พอฉันมองดูทุก ๆ อย่างในบ้าน ล้วนเต็มไปด้วยของมีค่า มีราคาจนน่าตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนเราไม่ได้ซื้อของที่ราคาแพงได้มากขนาดนี้
“พี่พราว!!”
เสียงเด็กผู้หญิงวัยย่าง 16 ปีตะโกนเรียกฉันลั่น ก่อนจะวิ่งถลาเข้ามากอดอย่างคิดถึง
“ไงจ๊ะ แพรวดาว สบายดีนะ” ฉันก็ทักทายแพรวดาวเช่นเคย จริง ๆ แพรวดาวก็คือลูกสาวของน้าผึ้ง และเป็นน้องสาวแท้ ๆ ที่เกิดจากพ่อเดียวกับฉัน และเป็นน้องสาวที่ฉันรักมากที่สุด
“นี่... เราย้ายโรงเรียนแล้วเหรอ?”
ฉันหันไปถามทางพ่อกับน้าผึ้งอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อก่อนแพรวดาวเรียนโรงเรียนรัฐบาลชื่อดัง แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาใส่ลายสกอตเหมือนอยู่โรงเรียนนานาชาติซะมากกว่า ซึ่งนานาชาติที่ว่าค่าเทอมหลายแสนอยู่เหมือนกันนะ
“พ่อบอกว่า อยากให้แพรวดาวเก่งภาษาอังกฤษแบบพี่พราว เลยส่งหนูไปเรียนที่นี่ค่ะ” แพรวดาวตอบฉันทันที และยังคงกอดฉันแน่นไม่ปล่อยง่าย ๆ
“พราวมาเหนื่อย ๆ น้าว่าไปอาบน้ำ และเดี๋ยวลงมาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันดีกว่านะลูก เดี๋ยวน้ารีบไปเตรียมทำกับข้าวสำหรับมือเย็นดีกว่าเนอะเด็ก ๆ”
น้าผึ้งเอ่ยและเดินมาช่วยฉันถือกระเป๋า แต่ฉันก็ส่ายหน้าเพราะไม่อยากรบกวนน้าผึ้ง ด้วยกระเป๋าที่น้ำหนักเยอะมากด้วย
"จะทำทำไมให้เหนื่อยล่ะคุณ ผมจองร้านอาหารไว้แล้ว… รีบไปอาบน้ำและเดี๋ยวออกไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานกันเถอะลูก" พ่อก็เข้ามาช่วยฉันยกกระเป๋าขึ้นไปเก็บที่ห้องนอนเช่นกัน
แม้จะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ฉันก็ไม่ทันได้คิดอะไรมากนัก ด้วยความที่บ้านของเราใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอด ฐานะของเราก็อยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่มีคุณพ่อที่เป็นเสาหลักของบ้านเพียงคนเดียว เราจึงมักจะประหยัดและไม่ฟุ่มเฟือยเท่าไหร่
"หนูคงต้องรอใบจบก่อนนะคะ และก็กลับไปทำเรื่องรับปริญญาก่อน จึงจะสามารถทำงานได้ และช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อได้..." ฉันหันไปบอกคุณพ่อหลังจากที่เราเดินขึ้นมาถึงห้องนอนของฉัน
"ไม่เห็นต้องรีบทำงานขนาดนั้นเลยนี่พราว แค่พราวคนเดียวพ่อเลี้ยงดูได้สบายอยู่แล้ว..." พ่อวางกระเป๋าและลูบผมของฉันอย่างเอ็นดู
"หนูอยากช่วยพ่อหารายได้อีกทางนี่คะ พ่อจะได้ไม่ต้องทำงานหนักแบบทุกวันนี้..." ฉันตอบไปตามตรงแม้ว่าจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่แปลก ๆ ไป พ่อหลบสายตาของฉันเล็กน้อย
"อื้มม... งั้นก็แล้วแต่พราวแล้วกันนะลูก" พ่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินออกไป
"พ่อคะ… พ่อมีอะไรที่อยากบอกหนูบ้างไหม?" ฉันตัดสินใจเอ่ยถามไปขณะที่พ่อกำลังจะปิดประตูห้องของฉัน
"ไม่นี่ลูก" พ่อยิ้ม ๆ ก่อนจะปิดประตูลง
ฉันกำกุญแจรถบีเอมฯ คันใหม่ในมืออย่างรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนมีลางสังหรณ์แปลก ๆ
อื้ออออ อื้ออออ
ไม่นานโทรศัพท์ที่เพิ่งใส่ซิมไทยของฉันมันก็สั่นขึ้นมา และเบอร์นั้นก็คือ
____พี่จินนี่____
"ยินดีต้อนรับกลับไทยจ้ะ คุณน้อง" เสียงปลายสายใสแจ๋วอย่างร่าเริง
"สวัสดีค่ะพี่จินนี่" ฉันเอ่ยตอบไปอย่างงง ๆ ที่พี่จินนี่โทร. มาหา
พี่จินนี่เป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่ฉันรู้จักและสนิทดี ซึ่งตอนนี้พี่เขาผันตัวไปเป็นผู้จัดการให้ดาราดัง ๆ แล้ว
"ช่วงนี้ว่าง ๆ อยู่หรือเปล่า พราว" พี่จินนี่ถามด้วยเสียงอ้อน ๆ
"อ่อ... พราวว่างนะคะ พี่จินนี่มีอะไรให้พราวช่วยหรือเปล่า" ฉันก็ตอบไปตามจริง
"พอดีพี่เห็นในเฟซบุ๊กว่าพราวเรียนจบแล้ว... พี่ยินดีด้วยนะหนู ที่เรียนจบแล้วจากมหา’ลัยชื่อดัง แถมเรียนจบเกียรตินิยมด้วยอีกต่างหาก" พี่จินนี่พูดด้วยน้ำเสียงยินดี
"อ่อ… ขอบคุณค่ะพี่จินนี่" ฉันก็คุยกับพี่จินนี่อย่างคุ้นเคย ๆ
"คืองี้นะลูก พี่อะมีเรื่องจะถามพริบพราวหน่อย" พี่จินนี่ก็เริ่มพูดเข้าประเด็นทันที
"คือว่าระหว่างที่พริบพราวรอทำเรื่องรับปริญญาน่ะ สนใจมาทำงานแทนพี่สักเดือนสองเดือนไหมจ๊ะ?" พี่จินนี่เริ่มอธิบายงานของเธอให้ฉันฟัง
"อ่อ…" ฉันก็ยังคงนิ่งเพื่อฟังรายละเอียดต่อ...
"ตอนนี้พี่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณคริส พราวพอรู้จักไหม?" พี่จินนี่พูดขึ้นถึงงานของเธอ
"เออ… เดี๋ยวพราวเปิดหาข้อมูลในเน็ตก็ได้ค่ะ พอดีพราวไม่ได้อยู่ไทยนาน" ฉันตอบอย่างเกร็ง ๆ เพราะเอาจริง ๆ ตั้งแต่ไปเรียนที่ออสเตรเลียมา ฉันก็ไม่มีเวลาติดตามดูข่าวบันเทิงอะไรในไทยเลย ละครนี่แทบไม่รู้จัก
"อะ ๆ ถือว่าก็ดีแล้วล่ะที่เราไม่ตามข่าวคาว ๆ พวกบันเทิงในไทยเยอะ เพราะข่าวพวกนั้นมีเรื่องไม่จริงซะเยอะ โดยเฉพาะเรื่องของคุณคริสที่นักข่าวล้วนแต่นั่งเทียนเขียนซะส่วนใหญ่" พี่จินนี่ตอบกลับมา
"คือว่าพี่กำลังจะขอลางานไปหาแฟนที่เกาหลีน่ะ และกลัวว่าจะไม่มีคนดูคิวงานให้คุณคริส พอเห็นเฟซบุ๊กพริบพราวเด้งขึ้นมา พี่ก็เลยคิดถึงเราเป็นคนแรกเลย เพราะพราวคือคนที่พี่ไว้ใจมากที่สุดถึงที่สุด..."
พี่จินนี่พูดต่อด้วยเสียงที่มั่นใจในฉัน
"งั้นก็พอดีเลยค่ะ หนูคิดว่าจะลองหาอะไรทำอยู่พอดีเลย งานนี้ดูน่าสนใจและท้าทายความสามารถหนูเช่นกัน..." ฉันตอบไปอย่างยินดี
"งั้นวันพรุ่งนี้ สะดวกแวะมาเจอพี่กับคุณคริสหน่อยไหมลูก" พี่จินนี่รีบตอบมาอย่างดีใจ
"ได้เลยค่ะพี่จินนี่ แล้วหนูต้องเตรียมตัวอะไรไหม?" ฉันเตรียมจดรายละเอียด
"ไม่ต้องเลย พี่ว่าแค่พี่สอนนิดหน่อย พริบพราวก็ทำได้แล้วล่ะ เก่งขนาดนั้น" พี่จินนี่ยังคงพูดชมฉันไม่หยุด
"ไม่ได้เก่งขนาดนั้นนะคะพี่จินนี่ ชมหนูเกินไปแล้ว" ฉันก็ตอบไปเพราะว่าฉันเองไม่ได้เก่งและรู้ไปทุกอย่างสักหน่อย
"โอเค ๆ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะลูก สถานที่เดี๋ยวพี่ส่งให้ในข้อความ" พี่จินนี่รีบพูดขึ้นมา
"โอเคค่ะพี่จิน" ฉันตอบรับไปทันที
"ขอบคุณมากนะพริบพราว พี่รบกวนหนูแค่นี้แหละ บ๊ะบายจ้า" แล้วพี่จินนี่ก็วางสายไป
"สวัสดีค่าาพี่จิน…"
หลังจากที่กดวางสายของพี่จินนี่ไป
...MorFin miss called...
มีสายของใครบางคนโทร. แทรกเข้ามาในระหว่างที่ฉันกำลังคุยกับพี่จินนี่พอดี
และคนนั้นก็คือ...เขา...แฟนเก่าและแฟนคนแรกของฉัน
เราไม่ได้ติดต่อกันมานานเกือบสามปี ...และวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันเปิดเบอร์มือถือเบอร์เดิมที่ใช้ในไทย...
__________
@ร้านอาหาร บนเรือสำราญ ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา
"กินเยอะ ๆ สิ พริบพราวนี่ลูกผอมลงไปเยอะเลยนะ"
พ่อตักอาหารบนโต๊ะวางในจานของฉัน
บรรยากาศในครอบครัวของเรายังอบอุ่นเหมือนเดิม จริง ๆ แล้วแม่ของฉันท่านเสียไปนานแล้ว ส่วนน้าผึ้งก็เปรียบเสมือนแม่ของฉันอีกคนหนึ่งที่ดูแลฉันมาตั้งแต่เล็ก ๆ บ้านเราไม่เคยมีปัญหาเรื่องแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงอะไรนั่นเลย เพราะน้าผึ้งเองก็มาคบหากับพ่อหลังจากที่แม่ฉันเสียไปหลายปีแล้ว และเธอก็ไม่เคยเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับแม่เลยสักครั้ง และยังรักและเมตตาฉันเหมือนลูกแท้ ๆ
"อ้าวคุณพสุธ!!!" เสียงของผู้ชายใส่สูทคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายพ่อของฉันทันทีที่เห็น
"คุณภูผา สวัสดีครับ ๆ" พ่อยกมือไหว้เขาทันที จนทำให้ทุกคนบนโต๊ะต้องไหว้ตามทั้งที่คนตรงหน้าดูเด็กกว่าพ่อตั้งหลายปีด้วยซ้ำ
"ไม่คิดเลยนะครับว่าจะมาเจอคุณที่นี่" ผู้ชายคนนั้นหันมามองทางฉันและนิ่งไปชั่วครู่
"นาน ๆ ทีจะออกมาฉลองนอกบ้านน่ะครับ พอดีว่าลูกสาวคนโตของผมเพิ่งเรียบจบมาจากออสเตรเลียเลยถือโอกาสมาฉลองกัน" พ่อลุกขึ้นจากโต๊ะและพูดกับคนตรงหน้าอย่างให้ความสำคัญ
"จริงเหรอครับเนี่ย งั้นผมขอร่วมยินดีด้วยนะครับ" เขาหันมาทางฉันและยิ้ม
"เอ่อ... ขอบคุณค่ะ" ฉันก็ตอบไปอย่างงง ๆ
“งั้นไว้ถ้าคุณภูผาต้องการเมเนจเมนต์ฝีมือดี ฝากยัยพริบพราวไว้พิจารณาด้วยนะครับ” พ่อเตรียมฝากฝังฉันเอาไว้เต็มที่
แม้ว่าฉันอยากจะขัดท่านเหลือเกิน แต่ก็ไม่กล้าจะฉีกหน้าท่านในตอนที่ท่านกำลังคุยกับแขกที่ดูท่าว่าน่าจะสำคัญอย่างคุณคนนี้...
“มันแน่อยู่แล้วสิครับ... คุณพ่อก็เป็นมือหนึ่งเรื่องบัญชี ผมเชื่อว่าลูกสาวคุณก็เก่งไม่แพ้กัน ยังไงผมยินดีร่วมงานด้วยอยู่แล้ว” คุณภูผาหันมายิ้มให้ฉันหลายครั้ง จนฉันเองก็ยิ้มแห้ง ๆ ไป
"งั้นมื้อนี้ผมขอถือโอกาสเป็นเจ้ามือให้แล้วกัน ถือเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่… ลูกสาวคนสวยของคุณพสุธเรียนจบ และก็ขอให้รับบริษัทไวน์เมาเทนส์ไว้พิจารณาเป็นที่แรกด้วยก็แล้วกันนะครับ..." เขาพูดอย่างสุภาพพลางขยิบตาให้ฉันเล็กน้อย
"ขอบคุณมากนะครับคุณภูผา อีกไม่นานเกินรอแน่ ๆ" พ่อเองก็ดูมีท่าทียินดีปรีดา
"ผมเองก็นับวันรอคุณพสุธอยู่แล้ว..." คุณภูผาอะไรนั่นตบไหล่ของพ่อฉัน ก่อนจะยิ้มให้ทุกคนในโต๊ะอย่างเป็นมิตร
"ที่ไหนให้ผลตอบแทนผมดี ผมก็เลือกที่นั่นอยู่แล้ว ปากท้องคนในครอบครัวสำคัญนะคุณว่าไหม...” พ่อตอบกลับและทั้งคู่ก็หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
"เสียดายจังที่ผมมีนัดคุยกับลูกค้า ไว้โอาสหน้าผมขอร่วมโต๊ะกับทุกคนด้วยนะครับ วันนี้ขอตัวก่อน" เขาพูดทิ้งทาย
“เชิญครับ ๆ คุณภูผา” พ่อฉันก็ยิ้มรับและผายมือเชิญเขาทันที
"ไวน์เมาเทนส์?" ฉันทวนชื่อบริษัทนั้นเบา ๆ
"ไว้พ่อจะเล่ารายละเอียดให้ฟังอีกที" พ่อหันมาบอกฉันเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของฉัน
หลังจากที่คุณภูผาอะไรนั่นเดินออกไป... ในตอนแรกฉันก็อยากจะถามพ่อ แต่ว่าวันนี้ฉันมัวแต่ตั้งคำถามกับท่านมากจนเกินไปหรือเปล่า เพราะเอาจริง ๆ มันคงไม่ได้มีอะไรหรอกมั้ง ฉันไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายในงานของท่านหรือเปล่านะ
"กินผักด้วยสิ แพรว" ฉันตักสลัดให้น้องสาวที่ไม่ยอมกินผักเลยสักนิด
"มันขมนี่ พี่พราว" เด็กน้อยเอาแต่ส่ายหน้า
“แต่มันดีต่อสุขภาพนะแพรว” ฉันลูบหัวของน้องสาวเบา ๆ
พอกลับมาถึงบ้าน พ่อก็รีบเข้าห้องทำงานและเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในนั้น
“มีเรื่องจะคุยกับพ่อเหรอลูก?” น้าผึ้งที่เดินเข้าไปเสิร์ฟกาแฟเห็นฉันยืนอยู่หน้าห้องทำงานของพ่อก็เลยถามขึ้น
“เปล่าหรอกค่ะ” ฉันมองผ่านห้องกระจกทำงานเข้าไป เห็นพ่อกำลังนั่งพิมพ์เอกสาร ที่จัดเรียงเต็มโต๊ะไปหมด
“พ่อหนูเขาบ้างานไม่เปลี่ยนไปเลย” น้าผึ้งมองไปที่พ่ออย่างยิ้ม ๆ
“งั้นหนูไม่กวนเวลาพ่อดีกว่าค่ะ เข้านอนก่อนนะคะน้าผึ้ง พรุ่งนี้หนูมีไปสัมภาษณ์งานพอดี” ฉันจับไหล่ของน้าผึ้งเบา ๆ และยิ้มให้เธออย่างให้กำลังใจ
เพราะน้าผึ้งเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนที่ดีคนหนึ่ง เธอคงไม่ยอมนอนง่าย ๆ แน่ ถ้าพ่อยังคงทำงานอยู่แบบนี้
“หลับฝันดีนะลูก และก็ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะพราว” น้าผึ้งยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน
วันต่อมา...
“สวัสดีค่ะพี่คริสตัล หนูพริบพราวนะคะ” ฉันยกมือไหว้สวัสดีดารานางแบบรุ่นพี่ตรงหน้า หรือว่าที่เจ้านายคนใหม่ของฉันนั่นแหละ
“อื้ม รุ่นน้องพี่จินนี่ใช่ไหม” เธอถามเสียงนิ่ง ๆ
“ใช่ค่ะ” ฉันก็ตอบพร้อมกับก้มหัวเล็กน้อย
เธอก็พยักหน้ารับรู้ และยิ้มบาง ๆ
“ขาพี่คริสหายดีหรือยังคะ?” ฉันเอ่ยถามไปตามรายละเอียดที่พี่จินนี่ทิ้งเอาไว้ให้เรื่องการดูแลคุณคริส
และก็อุปนิสัยส่วนตัวของเธอ
“ก็ดีขึ้นแล้วนะ” เธอตอบกลับมาและจับที่ขาของตัวเองดูและส่ายหน้าเบา ๆ
“แล้วจะเริ่มรับงานเดินแบบเลยไหมคะ?” ฉันมองลงที่ขาของเธอที่ช้ำบ้างเล็กน้อย แต่ก็ต้องถามเจ้าตัวก่อนจะรับงานให้อยู่ดี
“ยังดีกว่า ไม่อยากใส่ส้นสูง” เธอส่ายหน้าทันที
“โอเคค่ะ” ฉันตอบรับก่อนจะขีดฆ่ารายชื่องานที่เกี่ยวกับเดินแบบและส้นสูงทั้งหมดทิ้ง และยังคงนั่งดูคิวงานไปพลาง ๆ ในขณะที่พี่คริสก็นั่งทานอาหารของเธอไป
บรรยายกาศในห้องวันแรก ยอมรับว่าค่อนข้างเกร็งอยู่เหมือนกัน แต่การจัดการคิวดาราไม่ได้ยากขนาดนั้นถ้าเทียบกับเลขหุ้น และการจัดสรรจำนวนสินค้า หรือบุคคล
เรื่องนี้คือง่ายสำหรับฉันมาก ๆ และฉันจะทำมันให้ดีที่สุด
“เอ่อ... พี่คริสคะ พอดีตอนนี้มีงานนึงเข้ามาใหม่...” ฉันเว้นระยะเพื่อตั้งคำถามกับคนตรงหน้า
“งานอะไร?” เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เห็นเขาบอกว่าเป็นงานที่พี่เคยรับไว้” ฉันตอบไปตามเอกสารและตารางงานในไอแพดที่ขึ้นโชว์มาแบบนั้น
“เคยรับไว้เหรอ?” เธอวางช้อนข้าวและงง ๆ
“งานของคุณเฟียร์ค่ะ” ฉันอ่านชื่อจนเจอชื่อของเจ้าของงาน
“งานของเฟียร์งั้นเหรอ??... โปรเจกต์มหา’ลัยอะนะ ...ถ่ายเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ??” เธอยื่นมือมาเพื่อขอดูเอกสารที่ฉันกำลังเพ่งเล็งอยู่
“ค่ะ แต่ว่าพี่เขาโทร. มาหาเมื่อกี้ ว่าเขาอยากคุยกับคุณคริส คุณคริสพอจะสะดวกไหม??” ฉันตอบไปก่อนจะยื่นโทรศัพท์ที่ใช้สำหรับรับงานถ่ายแบบให้คุณคริสดูอีกที
“อ่อ ...เดี๋ยวฉันคุยเอง” เธอพยักหน้าก่อนจะรับไป
“ค่ะ” ฉันก็ตอบอย่างรับรู้
ไม่นานเธอก็หยิบโทรศัท์ตัวเองขึ้นมากด ๆ ตามเบอร์ที่ฉันยื่นส่งให้ดูเมื่อกี้
หลังจากที่คุณคริสเธอคุยโทรศัพท์กับทางเจ้าของงาน เราก็สรุปได้แค่ว่า งานต้องมีการถ่ายแบบเพิ่มเติม เป็นตอนพิเศษ และคุณคริสเองก็ยินดีที่จะถ่ายให้
“พรุ่งนี้แทรกคิวถ่ายโปรโมตของมหา’ลัยให้ทีนะ” เธอหันมาบอกกับฉัน
“ได้ค่ะ งั้นขออนุญาตแจ้งตารางงานวันพรุ่งนี้นะคะ” ฉันเอ่ยตอบไปก่อนจะไล่ลิสต์งานของคุณคริสในมืออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“ตอนแรกมีงานเปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้าที่ห้างค่ะ แต่ว่ามีการเดินแบบด้วย และหนูยกเลิกให้เรียบร้อยแล้ว เห็นพี่คริสบอกว่าไม่อยากใส่ส้นสูงเดิน” ฉันอธิบายต่อไปโดยคุณคริสก็รับฟังต่อไป
“อืม ดีมาก” เธอพยักหน้าอย่างรับทราบ
“สรุปพรุ่งนี้มีแค่งานถ่ายโปรโมตนะ” เธอถามย้ำอีกครั้ง
“ใช่ค่ะ” ฉันก็ตอบไปอย่างมั่นใจ
“โอเค” เธอตอบมาสั้น ๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างเหน็ดเหนื่อย เหมือนเธอต้องการเวลาพักผ่อน
ฉันจึงไม่อยากจะอยู่รบกวนเวลาส่วนตัวของเธอมากนัก อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่ได้มีตารางงานอะไรอีกเลย
“งั้นให้หนูกลับเลยไหมคะ” ฉันถามด้วยความเกรงใจ ด้วยเห็นท่าทีที่อิดโรยของคุณคริส
“อืม” เธอยิ้มตอบ
“แล้วพรุ่งนี้?” ฉันเก็บกระเป๋าสมุดโน้ตก่อนจะหันไปถามเธออีกครั้ง
“อ่อ... เจอกันที่สตูดิโอเลย 10 โมง” เธอหลับตาและนวดขมับตอบกลับมา
“ค่ะ” ฉันตอบรับก่อนจะยกมือไหว้เธอและเดินออกมาจากคอนโดและปิดประตูให้เจ้านายคนสวยของฉันทันที
ฉันขับรถบีเอมฯ คันใหม่ของตัวเองกลับมาถึงบ้านอย่างเหน็ดเหนื่อย
เพราะแน่แหละว่าก่อนจะไปเจอคุณคริส พี่จินนี่ต้องติวและให้ฉันจำอะไรมากมายอยู่เหมือนกัน และฉันเองก็ไม่อยากทำงานพลาดด้วย จึงหมดเวลาไปกับการเรียนรู้งานเรื่องของพวกเหล่าดาราที่ตัวฉันแทบไม่เคยสนใจมาก่อนจริง ๆ
@บ้าน...
ท้องฟ้าในช่วงค่ำ ๆ สีฟ้าอ่อน ๆ ใกล้มืดมิดสนิท...
“กลับมาแล้วค่ะ” ฉันตะโกนบอกคนในบ้าน ที่วันนี้ดูเงียบเป็นพิเศษ
“พ่อคะ... น้าผึ้ง... แพรวดาว...” ฉันเรียกหาทุกคนแต่ก็ไม่มีใครขานตอบทั้งที่รถก็อยู่ครบ และเวลาแบบนี้ทุกคนก็ควรจะกลับมาถึงบ้านแล้วนี่นา
หรือว่าพวกเขาออกไปกินข้าว...
ตุ๊บบบ!!
ฉันถอยหลังไปชนกับใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เพียงแต่ว่า...
“ไม่มีใครอยู่ที่บ้านหรอก!! พ่อเธอติดคุก... ส่วนเมียพ่อเธอกับลูกของเขา... ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าหายไปไหน" คนด้านหลังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและแข็งทื่อ...
"แต่อีกไม่นานคงตามเจอแน่ ๆ” เขาพูดขึ้นแล้วมองสำรวจไปรอบ ๆ บ้าน และหยุดสายตาที่เย็นชานั้นไว้ที่ฉัน...
“นายเป็นใคร มาทำอะไรบ้านของฉัน??”
ฉันยืนนิ่งและมองคนตรงหน้าอย่างหวาดกลัว เขาไม่ได้ดูเหมือนโจรหรือผู้ร้ายใด ๆ
เพียงแต่แววตาของเขา น้ำเสียงของเขา มันทำให้ฉันกลัวจนสั่นไปหมดจริง ๆ