2
หลังจากจัดการละเลงเค้กลงบนตัวทั้งสองคนอย่างเจ็บแค้นฉันก็เดินออกมาจากตรงนั้น ไม่สนใจเสียงกรีดร้องและเสียงเรียกของพี่กันอีก
“ยัยเม แกด่าคนก็เป็นเหรอวะ” หลังจากขึ้นมาบนรถยัยเชอเอมก็เปิดประเด็น
“ก็มันเหี้ยจริงๆ นี่นา ทำให้อิงเสียใจ” เมษาพูดหน้าหงอยหันมากอดปลอบฉัน น้ำตาฉันไม่ไหลสักหยด เพราะมันตกใน มันเจ็บจนจุก
“แกเป็นยังไงบ้างอิง ฉันน่าจะซัดพวกมันคนละมัดสองมัด” ยัยเก้าพูดขึ้นอย่างเคียดแค้น
“ฉันไม่ไหวฉันเจ็บ” ฉันยกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้าย มันเจ็บจริงๆ เจ็บจี๊ดๆ เหมือนมีอะไรมาทิ่มเป็นพันๆ ครั้ง
“อยากร้องไห้ไหม พวกฉันอยู่ข้างแกนะ ผู้ชายเหี้ยๆ ปล่อยมันไปเถอะ” ฉันพยักหน้าให้พวกมัน
“ขอบใจพวกแกมาก ถ้าฉันไม่มาหาเขาวันนี้ฉันคงไม่ตาสว่าง”
เขาเห็นฉันเป็นตัวอะไร เป็นแค่ผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่งอย่างนั้นเหรอ เขาคิดว่าฉันเป็นของตายของเขาใช่ไหม ฉันเอนตัวซบลงกับไหล่ยัยเชอเอม สายตาเหม่อลอย เรื่องราวต่างๆ ระหว่างฉันกับพี่กันไหลเข้ามาในหัวเต็มไปหมด
ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาทำให้ฉันหัวเราะ ยิ้มไปกับคำพูดของเขา พี่กันเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมากสำหรับฉันหรือเพราะเขาทำให้ฉันคิดอย่างงั้นก็ไม่รู้
แต่ตอนนี้ฉันหายโง่แล้ว ที่เขาทำทั้งหมดมันก็แค่ความหลอกลวง ผู้ชายแม่งก็เหมือนกันหมด แต่เว้นอยู่คนหนึ่งนะ คือพ่อของฉัน พ่อของฉันคือต้นแบบในการเลือกคบผู้ชายของฉัน ฉันอยากได้สามีแบบพ่อ เพราะพ่อเป็นทุกอย่างให้ฉันตั้งแต่เสียแม่ไป พ่อก็เป็นทั้งพ่อและแม่ให้ฉัน พ่อไม่แม้แต่จะแต่งงานใหม่เพราะท่านบอกว่าอยากดูแลฉันให้ดีที่สุดและท่านก็รักแม่มาก
ในช่วงเวลาที่ฉันเป็นเด็ก ถึงพ่อจะทำงานหนักแค่ไหนแต่ท่านก็จะกลับมากินข้าวที่บ้านกับฉันทุกวัน และส่งฉันเข้านอนพร้อมกับเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง ท่านทำแบบนั้นจนฉันโตฉันถึงไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดความอบอุ่น ฉันพึ่งจะแยกจากพ่อก็ตอนที่เข้ามหาลัยและมาอยู่หอ
ซึ่งครั้งแรกพ่อก็คัดค้านหัวชนฝาเพราะกลัวว่าฉันจะดูแลตัวเองไม่ได้ แต่ฉันก็อยากออกมาหาประสบการณ์ชีวิตบ้าง โดยการสัญญากับท่านว่าจะดูแลตัวเองให้ดี สุดท้ายท่านก็ใจอ่อน
จนฉันได้เรียนรู้ชีวิตจริงๆ โดยการมีแฟนคนแรก คือพี่กัน ส่วนหนึ่งที่ฉันใจอ่อนให้พี่กันเพราะเขาอบอุ่นเหมือนพ่อ ดูแลเอาใจใส่ฉันทุกอย่าง
แต่มาวันนี้ทุกอย่างมันก็แค่สิ่งหลอกลวง
ไม่มีผู้ชายคนไหนจะดีเท่าพ่อฉันอีกแล้ว
“ถึงแล้วแก” แรงสะกิดพร้อมกับเสียงเรียกทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ สาดสายตามองออกไปนอกรถก็เห็นว่าถึงคอนโดฉันแล้ว
“ขอบใจนะแก” ฉันเปิดประตูจะลงจากรถ แต่ยัยเชอเอมกลับดึงแขนไว้ซะก่อน
“ให้พวกฉันอยู่เป็นเพื่อนไหม” เราทั้งหมดไม่ได้อยู่คอนโดเดียวกันแต่ก็ไม่ได้อยู่ไกลกันมาก ฉันเลือกคอนโดที่อยู่ใกล้มหาลัย พวกมันก็เช่นกัน แต่แค่ไม่ได้อยู่ที่เดียวกันแค่นั้นเอง
“ไม่เป็นไรแก ขอบคุณมาก เจอกันพรุ่งนี้” ฉันส่ายหน้าให้พวกมัน ตอนนี้ฉันอยากอยู่กับตัวเองมากกว่า
“มีอะไรโทรหาฉัน อย่าทำอะไรไม่ดีเด็ดขาด ถ้าอยากปลดปล่อยหรืออยากระบายโทรหาฉันเข้าใจไหม” ยัยเก้าพูดเสียงเข้มติดจะสั่งซึ่งฉันก็ได้แต่พยักหน้าให้อีกตามเคย
“อิงสู้ๆ นะ” ตบท้ายด้วยยัยเมษา ฉันโบกมือให้กับพวกมันบอกเป็นในๆ ว่าฉันไม่เป็นไร ทั้งที่ใจเจ็บแทบจะขาด ฉันพาร่างอันเหม่อลอยของตัวเองเข้ามาในลิฟต์ มองตัวเลขเพื่อจะกดชั้นที่ต้องการแต่มีคนกดไว้ก่อนแล้วซึ่งฉันก็ไม่ได้เอื้อมมือไปกดและไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ได้สำรวจด้วยซ้ำว่าในลิฟต์มีกี่คน จนกระทั่งถึงชั้นที่ฉันอยู่ฉันก็เดินออกมา
ทำไมพออยู่คนเดียวแล้วรู้สึกว่าน้ำตามันจะไหล เสียงโทรศัพท์ฉันดังขึ้นเรียกให้ฉันหยิบมันขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นใครฉันก็เม้มปากกำโทรศัพท์ในมือแน่น ไม่คิดจะรับสายจนสายตัดไป ก็มีไลน์เด้งขึ้นมา
“อิง พี่ขอโทษ พี่รักอิงนะครับ”
ฉันมองข้อความนั้นด้วยสายตาพร่าเบลอ น้ำตาหยดแรกไหลออกมากระทบแก้มหยดที่สองไหลลงกระทบหน้าจอโทรศัพท์ ตรงคำว่ารักของพี่กัน
ฉันไม่เชื่อมันอีกต่อไปแล้ว คนรักกันแบบไหนเขาถึงทำกันแบบนี้
ฉันไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนฉลาด แต่ฉันก็ไม่ได้โง่ดักดาน ฉันพอคิดเป็น
พอมาถึงหน้าห้องฉันก็ควานหากุญแจในกระเป๋า รู้สึกมือไม้สั่นไปหมด น้ำตาที่อดกลั้นมาตลอดทางไหลลงมาอาบแก้ม
“อึก อือ” ฉันร้องไห้อย่างไม่อาย และคิดว่าตรงนี้คงไม่มีใคร เพราะนี่มันหน้าห้องฉัน ฉันหากุญแจอยู่นานแต่ก็หาไม่เจอหรือเพราะจิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมันเลยทำให้ฉันรน หาไม่เจอสักที
“โถ่โว้ย” ฉันเขวี้ยงกระเป๋าลงพื้น ทรุดลงหน้าประตูอย่าหมดแรงกอดเข่าร้องไห้แม่งตรงนั้นเลย ร้องโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น
“แค่หากุญแจไม่เจอถึงกับร้องไห้เลยเหรอครับ” เสียงทุ้มล้อเลียนดังอยู่บนหัว ทำให้ฉันขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
คิดในใจมีคนอยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ให้ช่วยหาไหม” ฉันเช็ดน้ำตาและค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคนที่อาสาช่วย ถึงจะมีน้ำตาบดบังความชัดเจนแต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าฉันเป็นผู้ชายที่หล่อคนหนึ่ง ใบหน้าขาวกระจ่างใสที่มาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างติดมีแววล้อเลียนอยู่ในนั้นส่งมาให้ฉัน ผู้ชายคนนี้ยิ้มแล้วทำให้ผู้หญิงละลายได้เลย แต่คงไม่ใช่ฉันในสถานการณ์แบบนี้
“ว่าไงครับ” เขายังพูดต่อ ฉันหายใจเข้าลึกๆ กลั้นก้อนสะอื้นเข้าลงไปในลำคอ เม้มปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตา เช็ดน้ำตาออกลวกๆ น่าอายชะมัด คว้ากระเป๋าแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ไม่เป็นไร” พอรู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้ด้วยฉันเลยรีบตั้งสติเปิดกระเป๋าหากุญแจอีกครั้ง จนกระทั่งเจอ ฉันก็รีบไข้กุญแจเข้าห้อง ก่อนที่จะปิดประตูอดไม่ได้ที่จะมองคนที่จ้องฉันอยู่ก่อนแล้ว เสียมารยาท มองคนอื่นอยู่ได้ ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้ฉันบางๆ
แต่ฉันไม่ยิ้มตอบปิดประตูใส่หน้าเขาทันที
พอเข้ามาในห้องฉันก็เดินเข้าห้องนอนเปิดลิ้นชักหยิบรูปและของทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉันและพี่กันทิ้งถังขยะ แม้แต่รูปที่เราถ่ายด้วยกันครั้งแรก รูปที่ก่อนหน้านี้ฉันดูแล้วยิ้มกับมันทุกครั้งเพราะตอนนั้นฉันไม่เต็มใจที่จะถ่ายแต่พี่กันก็บังคับและออดอ้อนให้ฉันถ่ายด้วย เลยได้รูปออกมาแบบหน้าฉันบึ้งส่วนเขายิ้มร่า
พอจัดการทุกอย่างเสร็จฉันทิ้งตัวลงนอน ปลดปล่อยความอัดอั้นทั้งหมดที่มีลงบนหมอน ฉันไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้นานแค่ไหน เสียน้ำตาไปเท่าไหร่ รู้แต่ว่าฉันเจ็บมาก ความรักมันเป็นแบบนี้เองสินะ เวลาที่เราโดนหักหลังจากคนที่เรารัก มันเจ็บเหมือนใจจะขาด คิดอะไรไม่ออก ในหัวมีแต่ภาพของเขาเต็มไปหมด
เช้าวันต่อมา
วันนี้บรรยากาศรอบตัวฉันมันอึมครึมไปหมด ถึงแม้ท้องฟ้าจะสดใสปลอดโปร่งไม่มีเมฆฝนแต่ใจของฉันมันกลับไม่สดชื่นเอาซะเลย ใช่สินะ ก็คนอกหักนิจะสดชื่นได้ยังไง วันนี้ฉันขับรถมาเรียนเองด้วยเบ้าตาที่บวมเปล่งเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ถึงจะกลบเกลื่อนลอยแค่ไหนแต่มันก็เห็นอยู่ดี
ฉันขอเวลาอีกสักนิดเถอะ ถ้าฉันเศร้าพอแล้วฉันจะกลับมาเป็นคนเดิม ผู้ชายเหี้ยๆ กับผู้หญิงเหี้ยๆ ฉันไม่มีทางเอามากระทบกับชีวิตของฉันนานนักหรอก
พอเดินมาถึงหน้าคณะพวกเพื่อนๆ ฉันก็โบกไม้โบกมือให้
“ไหวไหมแก” ยัยเชอเอมถามเป็นคนแรก ฉันพยักหน้าให้พวกมัน
“อิงเก่งอยู่แล้ว เลิกเรียนไปกินติมกันไหม” เมษาจับมือฉันแล้วตบเบาๆ เพื่อปลอบ ตบท้ายด้วยชวนไปกินของที่ตัวเองชื่นชอบ
“อยากกินก็พูดมาเถอะยัยเม” ยัยเก้าพูดแทนฉันไปแล้ว ก็ได้รับค้อนงามๆ ของเมษากลับมา
“ไม่ใช่ซะหน่อย เราแค่อยากให้อิงอารมณ์ดี ไอติมช่วยได้นะจริงๆ เรามีเรื่องเครียดทีไรก็กินติมนี่แหละ รสหวานๆ เย็นๆ ช่วยเราได้” ยัยเมษาพยายามพูดโน้มน้าวเพื่อน ฉันได้แต่ยิ้มบางๆ ให้กับคำพูดของมัน กลุ่มฉันมีครบทุกรูปแบบ เมษาถือว่าเป็นความสดใสของกลุ่ม เพราะนางไม่เคยจะทันเพื่อนสักครั้ง หรือเพราะนางทำเป็นไม่ทันคนก็ไม่รู้ เพราะบางคำพูดก็ทำให้คนอื่นเจ็บด้วยคำพูดซื่อๆ เหมือนไม่คิดอะไร แต่ก็เหมือนมีอะไรแอบแฝง
ฉันรู้ว่าพวกมันเป็นห่วงฉันมาก และฉันก็ไม่อยากเป็นภาระให้เพื่อนที่พออกหักผู้ชายทิ้งแล้วขาดเรียน
“ไปก็ไป แต่ตอนนี้เราเข้าเรียนกันเถอะ” เมื่อตกลงกันได้ว่าจะไปกินไอศกรีมกันตอนเลิกเรียนเราก็พากันเข้าห้องเรียน
ฉันมองโทรศัพท์ที่มีข้อความของพี่กันส่งเข้ามามากมายร่วมถึงของพ่อด้วย แต่ฉันยังไม่ได้กดเข้าไปอ่าน ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะบอกเรื่องพี่กันกับพ่อยังไง ฉันคบกับพี่กันพ่อก็รู้ ตอนแรกพ่อยังไม่อยากให้ฉันมีแฟน แต่เพราะพี่กันพูดเก่งเข้าหาผู้ใหญ่เป็นเลยทำให้พ่อฉันใจอ่อนยอมให้คบ ซึ่งฉันก็พาพี่กันไปบ้านอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่คุยกับพ่อ พ่อก็จะถามหาพี่กันตลอด และครั้งนี้ก็เช่นกัน
ฉันถอนหายใจเบาๆ แล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋า เงยหน้าขึ้นสนใจอาจารย์ต่อ
พอเลิกเรียนเราก็มาชุมรวมตัวกันที่ร้านไอศกรีมข้างมหาลัย ฉันนั่งเขี่ยไอศกรีมไปมา นานๆตักเข้าปากที
“ละลายหมดแล้วอิง”
“ไม่อร่อยเหรอ” ยัยเมษามองฉันแล้วหน้าหม่น
“อร่อย ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก ฉันแค่ไม่ค่อยหิว” ฉันกลัวว่ามันจะคิดว่าชวนฉันมาแล้วอะไรไม่ดีขึ้น
เสียงกริ่งหน้าร้านดังขึ้นอดไม่ได้ที่ทุกคนจะหันไปมองแม้แต่ฉันก็ด้วย ลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามาในร้าน ดูเหมือนจะเป็นคู่รัก เพราะฝ่ายหญิงเกาะแขนฝ่ายชายแน่น