ตอนที่ 7 ผมกินหมดนะ
เสียงเคาะประตูห้องทำงานของ CEO สาวดังขึ้นก่อนจะถูกเปิดเข้ามาโดยเลขานุการที่หอบดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่กับดอกทิวลิปสีชมพูหวานอีกหนึ่งช่อ นำมาให้เจ้านายสาวถึงที่โต๊ะ
“วันนี้สองช่อค่ะคุณน้ำ”
“ของใครอีกล่ะ”
“คุณเทวา เจ้าเก่าเจ้าเดิม ส่วนดอกทิวลิปสีชมพูอ่อนนี่ของคุณราเชนทร์ค่ะ”
“เชนเหรอ”
“ใช่ค่ะ มีการ์ดด้วยนะคะ”
เจ้าของห้องเปิดอ่านการ์ดของช่อกุหลาบสีขาวแล้วกำลังจะหอบเอาไปทิ้งเหมือนเดิม แต่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้องนี้ตามลำพังจึงเงยหน้าขึ้นมองแขกไม่ได้รับเชิญที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟากลางห้อง
ดวงตาคมกริบเรียบเฉยที่แปลความหมายไม่ออกจ้องเธอนิ่งนาน แต่คนตัวบางกลับไม่คิดจะสนใจ เธอยกช่อกุหลาบสีขาวขึ้นมาดมหน้าตาเฉยราวกับพิศวาสเจ้าของดอกไม้ช่อนี้เสียเต็มประดา
จากนั้นจึงเปิดอ่านการ์ดของดอกทิวลิปช่องาม ซึ่งเป็นดอกไม้ช่อเดียวในช่วงนี้ที่เธอคิดจะเก็บเอาไว้ เพราะมันส่งมาจากเพื่อนผู้ชายที่แสนดีของเธอ
“ผมกลับมาแล้วนะ คิดถึงน้ำมาก เดี๋ยวจัดการเรื่องที่บริษัทเสร็จแล้วจะเข้าไปหานะครับ”
รอยยิ้มที่แต่งแต้มริมฝีปาก ทั้งดวงตาเป็นประกายวิบวับทำเอาปัณจธรกัดกรามกรอด เธอทิ้งดอกไม้ของเขาอย่างไม่ไยดี แต่กลับกอดและหอมดอกไม้ของว่าที่ชายชู้ทั้งสองคนต่อหน้าต่อตาว่าที่สามีอย่างเขา กล้าเหลือเกินที่ทำแบบนี้
ไหนคนของเขาบอกว่าเธอทั้งหยิ่งและเชิดใส่ผู้ชายทุกคนไง แต่ทำไมกลับดูมีท่าทีรับไมตรีจากผู้ชายทั้งสองคนนี้
คนหนึ่งคือคู่แข่งตลอดกาลของเขาอย่างนายเทวา ที่แข่งกันตั้งแต่เรื่องธุรกิจและเรื่องผู้หญิง และมักจะเป็นเขาที่ได้รับชัยชนะเสมอ
แต่อีกคนที่ชื่อราเชนทร์ เจ้าของช่อดอกทิวลิปสีชมพูอ่อนที่เธออ่านการ์ดแล้วยิ้มทั้งปากทั้งดวงตานั่น มันเป็นใคร เขาไม่เคยรู้จัก และไม่ได้มีข้อมูลอยู่ในประวัติที่ลูกน้องของเขาหามาให้
“ไม่ทิ้งเหรอครับ”
เขาก้าวขายาวๆ ไม่กี่ก้าว ก็มาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของว่าที่ภรรยาผู้ซึ่งเนื้อหอมเหลือเกิน เพียงวันเดียวถ้ารวมเขา ก็ได้รับดอกไม้จากผู้ชายถึงสามช่อแล้ว
ที่จริงก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอเท่าไหร่ เพราะการแต่งงานทางธุรกิจที่ไม่ได้มีความรักเป็นองค์ประกอบหลักของคนแปลกหน้าสองคน มันก็คงจะเป็นเรื่องปกติที่เธอจะรู้สึกชอบผู้ชายคนอื่นมากกว่าว่าที่สามีอย่างเขา แต่มันอดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้ที่เธอทำเหมือนตั้งใจจะหยามน้ำหน้ากัน
“ทำไมต้องทิ้งคะ หมูหวาน เอาดอกกุหลาบของคุณเทวาไปใส่แจกัน แล้วมาไว้ที่ห้องพี่นะ ส่วนดอกทิวลิปของเชน เดี๋ยวพี่จะเอาไปใส่แจกันไว้ในห้องนอน”
“เอ่อ ค่ะ”
เลขาสาวร่างอวบส่งยิ้มแหย รู้ดีที่สุดว่าสิ่งที่เจ้านายสาวทำไปเป็นการแสดงที่จงใจกระตุกหนวดเสือตัวผู้ที่แสนสง่างามน่าเกรงขามตัวนี้
แม้จะรู้ว่าเจ้านายสาวของเธอก็เจ๋งพอตัว แต่ก็อดหวาดเสียวแทนไม่ได้ ว่าจะโดนเสือตัวผู้มันตะปบเอาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เอาไปทิ้งเถอะครับ หมูหวาน”
ปัณจธรหอบดอกไม้สองช่อยัดใส่มือของเลขานุการสาวร่างอวบที่ส่งยิ้มแหยๆ ให้เขา แต่เจ้านายสาวตัวจริงของเธอกลับไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
“นี่คุณ ยุ่งอะไรด้วย ไม่ต้องทิ้งนะหมูหวาน ทำตามที่พี่สั่ง”
“เอ่อ ค่ะ คุณน้ำ”
“หมูหวาน ถ้าไม่อยากให้ผมลงโทษเจ้านายของคุณที่มีเสน่ห์มากจนมีแต่คนมารุมจีบ ก็ช่วยเอาดอกไม้สองช่อนี้ไปทิ้ง ให้เหมือนกับที่เจ้านายของคุณทิ้งดอกไม้ของผมเมื่อเช้าด้วยนะครับ”
“เอ่อ ค่ะ คุณปัณจธร”
“หมูหวาน..”
เจ้าของชื่อหมูหวานหันมองเจ้านายทั้งสองคนซ้ายทีขวาที รอยยิ้มแหยๆ นั่นแทบจะกลายเป็นเบะปากร้องไห้เพราะความกดดันอยู่แล้ว
“ถ้าผมต้องเอามันไปทิ้งเอง ผมไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้านายคุณนะ ว่าจะออกจากห้องนี้ในสภาพไหน ผมเป็นคนขี้หวงเสียด้วยสิ”
“ได้ค่ะ หมูหวานจะเอาไปทิ้งเดี๋ยวนี้ค่ะ”
“ยัยหมูหวาน..”
เลขาร่างอวบพร้อมดอกไม้สองช่อเดินแกมวิ่งออกจากห้องนี้ไปอย่างรวดเร็ว ไม่ยอมหันกลับมารับคำสั่งจากเจ้านายสาวอีกเลย เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายเจ้าชู้และออกตัวว่าขี้หวงอย่างเขา จะทำอะไรเจ้านายของเธอบ้างถ้าหากเจ้านายของเธอยังจงใจปั่นประสาทเขาอยู่แบบนี้
“เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะครับ”
“ไม่หิวค่ะ”
“แต่ผมหิวแล้ว ถ้าไม่พาผมไปกินข้าว ในห้องนี้มีอะไรที่กินได้ ผมกินหมดนะ”
ชายหนุ่มเท้ามือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ แล้วโน้มหน้าเข้าไปหาเจ้าของห้องที่เอนหลังหนีใบหน้าหล่อเหลาของเขาแทบไม่ทัน
“ถ้ากินแฟ้มได้ก็กินเลยค่ะ”
“ไม่ใช่แฟ้มสิ ตัวนุ่มๆ หอมๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างหาก ที่จะโดนผมกิน”
“หื่น”
คนตัวบางลุกพรวดพราดสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมใบสวย แล้วเดินนำเขาออกไปจากห้องนี้อย่างรวดเร็ว ชีวิตที่สงบสุขของเธอมันคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว
คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลมองลูกสาวคนเดียวกำลังปอกผลไม้ด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะลูกสาวที่ขาดแม่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักและทะนุถนอมจากเขาและแม่บ้านเก่าแก่ที่ไม่เคยให้เธอหยิบจับอะไรแม้เพียงอย่างเดียว ทำให้เธอทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง
“ไม่ต้องปอกหรอกลูก เดี๋ยวมีดบาด”
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ น้ำปอกได้ แค่มันไม่สวยแค่นั้นเอง อุ๊ย..”
เสียงร้องด้วยความตกใจทำเอาแขกที่เธอไม่อยากต้อนรับรีบวิ่งถลาเข้าไปจับมือเธอขึ้นมาดูในทันที
“มีดบาดเหรอ”
“ไม่เป็นไรซะหน่อย”
เธอจะดึงมือกลับมา แต่เขาขืนแรงเอาไว้ เพราะบาดแผลที่เห็นเพียงเล็กน้อยในตอนแรก มันมีเลือดไหลซึมออกมาเรื่อยๆ แล้ว
“เลือดไหล ไปทำแผลกันก่อน อย่าทำให้คุณอาเป็นห่วง”
“ค่ะ”
“น้ำ มีดบาดเหรอลูก”
“นิดหน่อยครับคุณอา เดี๋ยวผมพาคุณน้ำไปทำแผลเองครับ”
หนุ่มสาวพากันเดินออกจากห้องไปแล้ว คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงก็ถอนหายใจยาว
“เมือง ฉันคิดถูกหรือคิดผิดที่บังคับให้ลูกแต่งงาน ดูสิ แค่ปอกผลไม้ยังทำไม่เป็น เก่งแต่งานนอกบ้าน อยู่กับเขาจะมีปัญหาหรือเปล่านะ”
“คุณท่านอย่ากังวลไปเลยครับ ผมสืบประวัติคุณปัณจธรมาแล้ว เขาเป็นคนดี รักครอบครัว ถึงแม้จะมีสาวๆ เยอะ แต่ถ้าแต่งงานไปก็คงจะหยุดเหมือนกับพี่น้องของเขา คุณน้ำของเราทั้งสวยทั้งเก่ง เรื่องงานบ้านก็ให้เป็นหน้าที่แม่บ้านเถอะครับ อย่ากังวลเรื่องนี้เลย”
“เด็กสองคนไม่ได้รักกัน”
“ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ ผมรู้ว่าลึกๆ คุณท่านก็คิดแบบผม”
“หึหึ มันยังไง”
“ถ้าคุณปัณจธรคิดแค่จะเอาแต่ที่ดิน คงยอมถอยไปหาที่ดินผืนใหม่ที่ได้ง่ายกว่านี้แล้ว นี่ไม่มีสักข้อที่เขาได้เปรียบ จะได้ที่ดินนี้จริงๆ ก็ต้องแต่งงานอยู่กินกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักไปตลอดชีวิต เพื่อแลกกับที่ดินแค่ 200 ไร่ ที่หาจากที่ไหนได้อีกตั้งเยอะ คนอย่างคุณปัณจธรไม่น่ายอมเสียเปรียบขนาดนั้นนะครับ และที่คุณท่านเขียนพินัยกรรมและเงื่อนไขโหดแบบนั้น ก็เพื่อจะประเมินด้วยนี่ครับ ว่าคุณปัณจธรรู้สึกแบบไหนกับคุณน้ำ และเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่”
“หึหึ สมกับที่เป็นคนสนิทของฉันจริงๆ ฉันคงอยู่ไม่ทันถึงเห็นหน้าหลาน คงต้องฝากนายด้วย ช่วยดูแลยัยน้ำต่อไป ให้เหมือนกับที่นายทำมาตลอดจะได้ไหม”
“คุณท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมเห็นคุณน้ำมาตั้งแต่เด็ก ผมรักเธอเหมือนลูกสาวของผมคนหนึ่ง ไม่ต้องกลัวว่าผมจะทิ้งเธอ ผมจะอยู่คอยช่วยเหลือและดูเธอมีความสุขแทนคุณท่านเอง ไม่ต้องกังวลไปนะครับ”
“ขอบใจนายมากนะเมือง เดี๋ยวคงต้องรีบคุยเรื่องงานแต่งงาน เพราะฉันรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นทุกที ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
การสนทนาของชายวัยกลางคนทั้งสองถูกขัดขึ้นเมื่อคนที่เขาทั้งคู่เอ่ยถึงเปิดประตูกลับเข้ามาในห้อง
“เห็นไหมคะพ่อ แผลแค่นิดเดียวเอง น้ำปอกต่อดีกว่า”
“เดี๋ยวผมทำเองครับคุณน้ำ เชิญคุณน้ำกับคุณปัณจธรคุยธุระกับคุณท่านก่อนเถอะครับ”