EP 3
แล้วทุกคนในบ้าน ก็ต้องรีบปฐมพยาบาลคุนอัญชลีเพิ่มอีกคน เมื่อได้ยินข่าวร้าย จากนั้นบ้านทั้งบ้านก็ย่างเข้าสู่ความโกลาหลวุ่นวายไปแทบทุกเรื่อง
นับตั้งแต่การรับศพสงครามจากห้องเย็น ไปตั้งสวดที่วัดเป็นต้นมา จนคุณอัญชลีกับสะใภ้ทำอะไรไม่ถูก
ส่วนคุณสมควรก็เจ็บป่วย จนไม่อยู่ในฐานะจะลุกขึ้นมาดูแลความเรียบร้อยให้สมบูรณ์ได้ หากไม่มีสุจินต์ทนายประจำตระกูล กับครอบครัวของปฐพี ที่เป็นเพื่อนสนิทสงคราม
และสนิทชิดเชื้อกับครอบครัวนี้มาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าแล้ว รวมทั้งพนักงานในบริษัทหลายคน มาช่วยเป็นธุระปะปังให้จนเสร็จสิ้นทุกอย่าง
แต่ปัญหาใหญ่สำหรับครอบครัวนี้ ยังไม่จบสิ้นลงง่ายๆ เนื่องจากสงครามนั้น เป็นเพียงทายาทคนเดียวของพ่อแม่ และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการขับเคลื่อนกิจการ ต่อจากคุณสมควรผู้พ่อ
สงครามมีลูกชายเพียงคนเดียว คือสงกรานต์ แต่ก็อายุยังน้อย เรียนยังไม่จบ แถมไม่เอาถ่านอีกต่างหาก สาลินีที่รู้เรื่องงานในระดับหนึ่ง จึงต้องรับหน้าที่แทนสามีผู้จากไปอย่างกระทันหันก่อน
จนกว่าจะมีคนเหมาะสมมารับช่วงต่อ ทว่าสาลินีก็รู้ดีว่า คงจะเป็นเรื่องยาก ด้วยลูกชายไม่ได้ความขยันหมั่นเพียนจากพ่อหรือปู่เลย ส่วนสาริยาลูกสาวคนโตที่กำลังเรียนปีสุดท้ายนั้น ไม่ประสงค์ที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยแต่อย่างใด
เพราะไม่ชอบทำธุรกิจทางด้านนี้เลย หรือจะพูดให้ถูกคือ ไม่ชอบทำธุรกิจมากเท่างานด้านศิลปะ หรือความสวยความงามนั่นเอง
แต่สาลินีก็ไม่ใคร่จะเดือดเนื้อร้อนใจในจุดนี้นัก เพราะมั่นใจว่า ตัวเองมีความสามารถมากพอ ที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้ประธานบริษัท และพากิจการให้ก้าวต่อไปได้
คุณอัญชลีเอง ก็เห็นว่าสะใภ้มีความสามารถมากพอ จึงเห็นดีเห็นงามให้คุณสมควร ออกหนังสือแต่งตั้งให้ด้วยความเต็มใจ
“แม่สาเองก็ทำงานช่วยตาสงครามมาตั้งหลายปี ทำไมจะทำไม่ได้ กับอีแค่หน้าที่ประธานบริษัท ที่วันๆ ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไร นอกจากนั่งจับปากกา รอเซ็นวันละแกร็กสองแกร็กแค่นั้น คุณพี่ก็รีบๆ แต่งตั้งแม่สาเถอะค่ะ”
ผิดกับคุณสมควร ที่รู้ดีกว่าใครว่าสะใภ้ยังมือไม่ถึง ไฟในตัวก็มีไม่มากพอ เนื่องจากอายุอานามก็มากแล้ว วิสัยทัศน์ก็แคบไปสักนิด ไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่ใหญ่ขนาดนี้ ถึงแม้จะรู้เรื่องงานรู้ระบบงานบ้างก็ตาม จึงดุภรรยาต่อหน้าสะใภ้และคนอื่นๆ ในห้องอย่างไม่เกรงอกเกรงใจเลย
“ถ้ามันง่ายอย่างที่คุณว่า ผมคงจะสบายมาตั้งแต่เกิดแล้วสินะ แต่นี่อะไร ผมต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แทบทุกวัน หน้าลูกตอนตื่นนอนก็ได้เห็นน้อยเต็มที เพราะเข้าบ้านมาลูกก็หลับตลอด คุณยังบ่นเช้าบ่นเย็น ว่าผมไม่มีเวลาให้ แล้วทำไมตอนนี้กลับจะมาบอกว่าเป็นประธานมันง่ายนิดเดียวล่ะ”
“ก็ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่คะ บริษัทเราเป็นปึกแผ่นแล้วไม่ต้องลำบากเหมือนตอนคุณยังหนุ่มนี่”
“ตอนไหนมันก็ลำบากเหมือนกันนั่นล่ะ ยิ่งตอนนี้มีการแข่งขันสูง เทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัย การสื่อสารก็รวดเร็วทันใจ จนแทบจะตามไม่ทันด้วยแล้ว การจะก้าวมาเป็นผู้นำคน และดึงกิจการให้ก้าวหน้าต่อไปได้มันไม่ใช่ง่ายๆ ผมทำมาก่อนผมรู้ดี และผมก็รู้ว่าใครเหมาะไม่เหมาะ คุณไม่ต้องมาเถียงผม และไม่ต้องมาขัดขวางผม หรือถ้าไม่พอใจที่ผมจะทำแบบนี้ หรือถ้ามีปัญหากันนัก ผมก็จะยกทุกอย่างบริจาคให้มูลนิธิเด็กกำพร้าซะเลย จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายให้ปวดหัว จะเอาแบบนั้นกันหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่เอาก็เงียบไปเลย อยู่นิ่งๆ นั่งใช้เงินไป แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
คุณสมควรที่จิตใจไม่อยู่ในภาวะปกติ เพราะอาการป่วยรุมเร้า จึงตัดบทชนิดไม่รักษาน้ำใจใครเลย ยังผลให้สุจินต์ ทนายประจำบ้านกับปฐพีและลูกชายที่มาร่วมปรึกษาหารือในเรื่องทายาทต่างนิ่งอึ้ง กับถ้อยคำและท่าทีแบบนี้
เพราะไม่ใคร่จะมีใครได้พบเห็นบ่อยครั้งนัก แม้แต่คุณอัญชลีกับสะใภ้เองที่อยู่บ้านเดียวกัน ก็พบเห็นน้อยครั้งมาก
“ตามใจ อยากจะทำอะไรก็เชิญ น้องจะไม่ยุ่งอีกต่อไปแล้ว”
คุณอัญชลียอมแพ้ทันที เมื่อสามียกเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ แล้วเดินลงส้นเท้าหนักๆ ออกจากห้องไป สาลินีอยากจะทำตามไม่น้อย ติดตรงที่ต้องรักษาภาพพจน์เอาไว้ ไม่ให้คนในห้องเห็นได้ จึงเลือกที่จะนั่งนิ่งแล้วฟังพ่อสามีสั่งงานทนายต่ออย่างกล้ำกลืนฝืนทน
แต่คุณสมควรที่นอนแหมะอยู่กับเตียงไม่สนใจ นอกจากหันไปมองคนในห้อง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยประโยคเด็ด เพื่อขู่ให้ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
“อย่าไปสนใจคนแก่ที่ไม่รู้เรื่องงานเลยนะ เอาเป็นว่าฉันอยากจะฝากให้ทุกคน ช่วยตามหาหลานฉันกลับมาช่วยงานก็แล้วกัน ตามให้ได้ไม่ว่าหลานฉันจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ฉันให้เวลาแค่สามเดือน ถ้าเลยไปจากนั้น แปลว่าไม่มีใครอยากจะฟังคำสั่งฉัน สมบัติและกิจการทุกอย่าง ฉันจะบริจาคให้หมด ไม่ต้องมีใครได้สักคน ฉันไม่ได้ขู่ใครนะ แต่ฉันพูดจริงและจะทำจริงด้วย ทุกคนคงรู้ว่าฉันเป็นคนจริงแค่ไหน”
“อ๋อๆ จะไปกินข้าวยังล่ะ เที่ยงครึ่งแล้วนะ”
หทัยชนก บวรชัยสกุล ละสายตาจากหน้าจอ เงยขึ้นไปยิ้มให้ วีนา พงษ์พัน ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและทำงานในบริษัทเดียวกัน ที่ถึงกับเดินมาคุมเชิงถึงโต๊ะด้วยอาการหิวจนไส้แทบจะกิ่ว
ในมือก็ถือกระเป๋าใบเล็กๆ ซึ่งมีโทรศัพท์กับเงินสำหรับจ่ายมื้อเที่ยงและกุญแจโต๊ะเท่านั้น
“จ้าๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะจ้า แหม! เร่งจริง”
คนถูกเร่งคว้ากระเป๋าแบบเดียวกันแล้วลุกไปทันที ทั้งคู่ลงบันไดจากชั้นสาม โดยไม่สนใจจะหันไปมองลิฟท์แต่อย่างใด จากนั้นก็เดินออกไปหน้าออฟฟิศท่ามกลางแดดร้อนระอุ เป้าหมายคือร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำ ซึ่งอยู่ห่างออกไปสามซอย
ผู้คนตามบาทวิถี ต่างหันมองสองสาวแทบจะเป็นตาเดียวกัน และเป้าสายตานั้น ก็ไปลงอยู่ที่สาวผมยาวดกดำ ใบหน้าคม จมูกโด่งเป็นสันประหนึ่งได้รับการตกแต่งมาก็ไม่ปาน แต่หากจะจ้องมองดีๆ แล้วก็จะพบว่าเป็นของดั้งเดิม ที่เจ้าตัวได้มาจากผู้ให้กำเนิดทั้งสิ้น