ตอนที่ 8
“คุณหนูกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ จื่อถิงเห็นคุณหนูคิดสิ่งใดไม่ตกมาได้สองสามวันแล้ว” จื่อถิงเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นนายนิ่งคิดผิดปกติ
ไป๋ฟางเซียนยังคงไม่ตอบ นางนิ่งคิดกับตนเอง ว่าควรจะเดินไปหนทางไหนดี ที่ตัวนางจะไม่ต้องเสี่ยงหรือเจ็บตัว และมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้หลี่เหวินหลางหย่าขาดจากนางโดยที่บิดามารดาบุญธรรมทั้งสองไม่เอ่ยแย้ง
ใช่แล้ว สิ่งที่ไป๋ฟางเซียนคิดและต้องการมากที่สุดก็คือการหย่า นางต้องการเป็นอิสระ จะได้ทำในสิ่งที่ต้องการอย่างใจหวังได้ ไม่ใช่อย่างตอนนี้ ที่จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงหน้าคนผู้นั้นผู้นี้อยู่ตลอด
การหย่าที่นางต้องการหากพูดก็เหมือนง่าย แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดและเข้าใจ การที่สตรีหย่าขาดสามีสำหรับยุคนี้ถือเป็นเรื่องต้องห้าม ดังนั้นนางต้องรอเวลาและคิดหาวิธีการอย่างแยบยล ถึงจะสามารถทำตามใจที่ต้องการได้
นอกจากนี้แล้ว ไป๋ฟางเซียนยังคิดถึงปัจจัยหลักด้วยว่า หากนางหย่าขาดจากบุรุษผู้นั้นจริง อนาคตข้างหน้านางจะกินอะไร จะอยู่เช่นไร ส่วนเรื่องที่ยุคนี้สตรีไม่นิยมหย่าขาดจากสามีเพราะความเชื่อที่มีมาแต่โบราณนางไม่ได้นึกกลัวเลยสักนิด ที่นางกลัวคือ การอดตายมากกว่า
สิ่งแรกที่ไป๋ฟางเซียนคิดหลังจากหย่าขาดจากกันได้คือ ปัจจัยพื้นฐานทั้งสี่ของมนุษย์เรา ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม อาหารและยา ส่วนเรื่องเงินนางไม่กังวลเลยสักนิด เพราะมั่นใจว่าถ้าหย่าขาดได้จริง นางคงได้รับสินสมรสไม่มากก็น้อย เผลอ ๆ นางจะกลายเป็นเศรษฐินีในชั่วพริบตาเลยด้วยซ้ำ
ตระกูลแม่ทัพไม่ใช่ร่ำรวยมากหรอกหรือ นางมิเชื่อว่าตระกูลหลี่จะยากจนข้นแค้นหรอกนะ
และที่คิดไม่ตกอยู่ตอนนี้คือ ทำอย่างไรนางถึงจะหย่าขาดจากเขาได้ต่างหาก เท่าที่ดูท่าทีของบิดามารดาบุญธรรมแล้ว คงยากที่จะให้นางหย่าและแยกตัวออกไป สิ่งเดียวที่นางพอจะทำได้ตอนนี้คือ ทำให้สามีในนามผู้นี้เกลียด นางจึงจะใช้ข้ออ้างนี้มาพูดกับผู้เป็นใหญ่ของจวนได้
นอกจากนี้ นางต้องหย่าออกไปด้วยเหตุผลน่าสงสารพอตัว และต้องไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ชาวบ้านจะได้ไม่ร่ำลือนางในทางเสีย ๆ หาย ๆ เพราะแค่เป็นสตรีหย่าขาดสามีก็คงถูกผู้คนโจษจันมากพอแล้ว หากหย่าโดยมีความผิดนางคงไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นแน่ ชาวบ้านชาวเมืองคงพูดถึงนางกันอย่างสนุกปาก
เสี้ยวหนึ่งไป๋ฟางเซียนคิดทำให้หลี่เหวินหลางกลายเป็นบุรุษน่ารังเกียจ เป็นที่โจษจันของชาวบ้าน แต่เมื่อนึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน ที่ครอบครัวเขาอุ้มชูเจ้าของร่างมา ก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดนั้นไป ที่สำคัญการที่แม่ทัพกลายเป็นที่โจษจันของชาวบ้านนับว่าไม่ใช่เรื่องดี รังแต่จะนำปัญหามาให้ อีกอย่างบุรุษเช่นเขาคงมิสามารถทำอันใดได้ง่าย ๆ ทว่าจะให้เขาไม่ผิดเลยก็ไม่ได้ อย่างน้อยสามีของนางผู้นี้ ควรถูกต่อว่าจากปากผู้อื่นบ้าง
แต่จะทำให้เขาถูกต่อว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก เอาเป็นว่าระหว่างนี้ก็ทำให้เขาเกลียดจนถึงที่สุดก่อนก็แล้วกัน คงไม่ยากเท่าใดนัก ยิ่งไม่รักกันแบบนี้แล้ว ยิ่งง่ายต่อการจัดการ
“คุณหนู”
เฮ้อ! คิดไปก็ไม่ได้อันใดขึ้นมา เอาเป็นว่าตอนนี้สิ่งที่นางสมควรทำที่สุดคือการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย จะได้ไม่แปลกแยกเกินไปนัก ส่วนเรื่องหย่านั้นแน่นอนว่านางไม่ได้คิดทิ้ง เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น เมื่อตอนนี้ไม่สามารถทำสิ่งใดได้อีกจึงหันไปหาสาวรับใช้คนสนิทแทน
“ไม่มีอะไรหรอกน่า จริงสิจื่อถิง เจ้าเคยบอกข้าว่า ท่านพ่อท่านแม่ที่แท้จริงของข้ามีร้านขายผ้าในเมืองหลวงใช่ไหม”
“เจ้าค่ะคุณหนู จื่อถิงบอกคุณหนูหลายครั้งแต่คุณหนูก็ไม่สนใจ... คุณหนูถามจื่อถิงเช่นนี้แสดงว่าคุณหนูสนใจแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” จื่อถิงถามด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของนางเป็นประกายวิบวับ นางเพียรพูดถึงร้านขายผ้าสมบัติชิ้นสุดท้ายที่บิดามารดาที่แท้จริงของคุณหนูทิ้งไว้ให้หลายครั้ง แต่คุณหนูของนางก็ไม่สนใจเสียที การที่คุณหนูเป็นฝ่ายเอ่ยถามถึงด้วยตนเองเช่นนี้จะไม่ให้นางดีใจได้อย่างไร
“แล้วร้านเป็นอย่างไรบ้าง ใหญ่โตมากหรือไม่” ไป๋ฟางเซียนถามด้วยความสนใจและกระตือรือร้น หากนี่เป็นร้านของนางจริงหมายความว่า ในอนาคตหากนางหย่าขาดออกไป ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอดตายหรือไม่มีอาชีพเลี้ยงดูตนเองแล้ว
ได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นและสายตาคาดหวังของคุณหนูของตน จื่อถิงก็ทำอันใดไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรบอกออกไปเช่นไรดี จึงทำได้ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปเท่านั้น
“พูดมา ไม่ต้องยิ้มแบบนี้เลย” ไป๋ฟางเซียนบอก แค่เห็นรอยยิ้มและสายตาของอีกฝ่าย นางก็คาดเดาได้แล้วว่า ร้านผ้าที่ว่าคงไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่นางคิดและคาดหวัง