บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3

“เฟิ่งเอ๋อร์มีเรื่องพูดกับเจ้า”

‘เฟิ่งเอ๋อร์... เรียกกันสนิทสนมยิ่ง’ นางได้แค่พูดในใจด้วยท่าทีเบื่อหน่ายก่อนหันไปมองคนที่ต้องการพูดกับตน

“อันใด” น้ำเสียงราบเรียบเรียกความสนใจจากแม่ทัพหนุ่มไม่น้อย เขามองนางด้วยความฉงนเมื่อเห็นว่านางไม่มีอาการหึงหวงเหมือนอย่างเคย ซึ่งสายตาเช่นนั้นนางก็ได้รับจากโจวเฟิ่งจิ่วเช่นกัน

“เซียนอะ...”

“อย่าเรียกชื่อข้าเช่นนั้น ข้ากับเจ้าหาได้สนิทกันไม่” ไป๋ฟางเซียนพูดขัดขึ้นทันที ให้ถูกเรียกด้วยความสนิทสนมโดยคนที่ตนเองไม่ชอบนี่ไม่มีวันเสียหรอก เสนียดชื่อนางหมดพอดี อีกอย่างนางหวังดีนะ คนตรงข้ามจะได้ไม่ต้องอดทนเสแสร้งสนิทหวังดีกับนางให้เหนื่อย

“แต่เราคือเพื่อนรักกันนะ”

“หึ เพื่อนที่จ้องแย่งบุรุษของเพื่อนข้าไม่ต้องการ”

“แต่ว่า”

“หากเจ้ายังไม่เลิกเรียกข้าเช่นนั้น อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ไป๋ฟางเซียนพูดพร้อมมองไปที่อีกฝ่ายเขม็ง

“ฮึ! นางไม่อยากให้เรียกก็ไม่ต้องเรียกหรอกเฟิ่งเอ๋อร์ สตรีเช่นนี้เจ้าไม่ต้องสนิทด้วยเป็นดี”

“แต่ว่านางเป็นเพื่อนข้านะเจ้าคะพี่เหวิน” พูดจบแล้วก็รีบหลบสายตา คล้ายกลัวว่าแม่ทัพหนุ่มจะเห็นหยดน้ำตาสีใสที่พร้อมไหลทุกเมื่อ

“แสดงเก่ง”

“นี่เจ้า!” หลี่เหวินหลางกดเสียงต่ำแต่ไป๋ฟางเซียนไม่สนใจ นางเลิกคิ้วยกยิ้มท้าทาย ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงกังวานใสชวนให้เขาคล้อยตามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นหลี่เหวินหลางที่เกลียดนางดังเดิม

“มีอันใดก็รีบพูด ข้ามีกิจต้องทำ ไม่ได้ว่างมาตามก้นบุรุษที่แต่งงานแล้วเช่นจะ...”

“ฟางเซียน!” หลี่เหวินหลางตะคอกเรียกชื่อนางเสียงดัง

“อันใดของท่าน อยู่ใกล้กันเพียงนี้ จะตะคอกทำไม ไม่เจ็บคอรึ... หรือว่ากลัวลืมชื่อภรรยาที่งดงามเช่นข้าเล่า” พูดแล้วก็ส่งสายตายั่วยวนเรียกสายตาต่อว่าและรังเกียจจากอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

‘ดี เกลียดข้าให้มาก ๆ ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องมีห่วงอะไรมาผูกติดกัน’

ส่วนโจวเฟิ่งจิ่วที่ไม่ได้เห็นความเกรี้ยวกราดจากไป๋ฟางเซียนตั้งแต่คราแรกที่นางมาถึงก็ค่อนข้างแปลกใจ นางพยายามยั่วโมโหให้อีกฝ่ายหลุดกิริยาเหมือนอย่างเคยก็ไม่ได้ผล เหมือนกับว่านางไม่ได้สลักสำคัญหรือมีผลต่อความรู้สึกอีกฝ่ายเลยสักนิด โจวเฟิ่งจิ่วคิดด้วยความหงุดหงิด พอได้ยินนางพูดกับพี่เหวินของนางด้วยน้ำเสียงและสายตายั่วยวนก็ยิ่งไม่พอใจ สองมือที่ประสานกันบนหน้าตักกำแน่นจนรู้สึกเจ็บ แต่นางไม่สนใจ สองตาจ้องมองมารหัวใจตาแทบถลน ถูกต่อว่านางพอทนได้แต่เห็นอีกฝ่ายยั่วยวนคนที่นางรัก นางทนไม่ได้จริง ๆ

“ข้ามาเยี่ยมเจ้า” เมื่อไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายยั่วยวนคนรักต่อหน้าต่อตาได้นางจึงโพล่งออกไป และนั่นเรียกให้สตรีที่นางเกลียดชังหันกลับมาหานาง

“ตั้งแต่เจ้าตกน้ำและฟื้นขึ้นมาข้าก็ไม่ได้มาเยี่ยมเจ้าเลย ขะ... ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ไม่ต้องการมาเยี่ยมเจ้านะ เจ้าอย่าเข้าใจผิดไป ที่ข้าเพิ่งได้มาในวันนี้เพราะข้าเพิ่งหายป่วยเช่นกัน” พูดออกไปด้วยท่าทีหวาดกลัว

ไป๋ฟางเซียนหรี่ตามองพลางครุ่นคิด ในขณะที่หลี่เหวินหลางแทบจะเข้าไปตระกองกอดอีกฝ่ายอยู่แล้ว ไป๋ฟางเซียนมองภาพนั้นอย่างนึกสมเพช

สมเพชให้กับเจ้าของร่างที่ตายไป สมเพชให้อย่างแท้จริง

‘นี่หรือบุรุษที่เจ้ารัก เพื่อนที่เจ้าเคยเรียกหาว่าสนิท นี่คือสิ่งตอบแทนต่อความรู้สึกเจ้าหรือไป๋ฟางเซียน ชั่งน่าสมเพชยิ่ง’ ไป๋ฟางเซียนคิดอยู่คนเดียว น่าแปลกที่แม้เจ้าของร่างตายไปแล้ว แต่ความรู้สึกของอีกฝ่ายกลับไม่หายไป มันยังคงตราตรึงอยู่ที่หัวใจดวงนี้และชัดเจนในความรู้สึกยิ่ง พอได้เห็นภาพตรงหน้าหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ก็เจ็บแปลบทันที ครู่หนึ่งนางมีสายตาเศร้าทว่าก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นเฉยชา

ถึงจะบอกว่าชั่วครู่แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาดุจพญาเหยี่ยวอย่างหลี่เหวินหลางไปได้ เขาจับจ้องนางอยู่เช่นกัน เพราะไม่เชื่อว่านางจะไม่รู้สึกอันใดเลย ครั้นเห็นว่านางมีความเสียใจอยู่บ้างมุมปากของเขาก็กระตุกยิ้มก่อนจะไม่สนใจนางอีก

แม้หลี่เหวินหลางจะรู้สึกว่าภรรยาของตนเปลี่ยนไปหลังจากประสบเคราะห์ครั้งใหญ่ แต่เขาหาได้รู้ไม่ว่านางมิใช่คนเดิมแล้ว

“ขอบใจที่คิดเป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่ต้องการ เก็บความห่วงใยจอมปลอมของเจ้ากลับไปเถอะ”

“ไป๋ฟางเซียน!” หลี่เหวินหลางกดเสียงต่ำ

“ใช่ อันตัวข้า มีนามว่า ไป๋ ฟาง เซียน ท่านจะเรียกอันใดนักหนาเล่า” นางหันหน้าไปตอบเขาอย่างกวน ๆ พร้อมเน้นย้ำชื่อของตนทีละคำ แม่ทัพหนุ่มขบฟันแน่นกำลังจะต่อว่าก็ต้องชะงักไป เมื่อคนที่ตนสนใจโพล่งขึ้นมา

“ฟางเซียน... หากเจ้าโกรธเกลียดข้าเพราะเรื่องของพี่เหวิน ข้าก็ขอโทษเจ้าด้วย เพียงแต่ว่า เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้ ข้าห้ามความรู้สึกตนเองไม่ได้ ฮึก! ข้าขอโทษ ฮือ ฮึก!”

โจวเฟิ่งจิ่วพูดแล้วก็ร้องไห้ ปล่อยให้หยดน้ำตารินไหลอาบแก้มนวล มองดูแล้วน่าสงสารยิ่ง สงสารที่การแสดงนี้ของนางไป๋ฟางเซียนหาได้หลงเชื่อไม่

“หากเจ้าจะมาเพราะเรื่องเพียงเท่านี้ก็กลับไปเถิด ข้าไม่อยากเสวนากับเจ้า ท่านก็เช่นกัน เป็นบุรุษเพิ่งออกเรือนได้ไม่ทันไรก็คิดพาสตรีอื่นเข้าจวน แสดงออกว่ารักกันยิ่ง ไม่เห็นแก่หน้าข้าก็เห็นแก่หน้าท่านพ่อท่านแม่บ้างเถิด”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”

“ไม่มากเลยสักนิด ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงทุกประการ ในขณะที่ข้านอนป่วยที่เรือน ท่านกลับไปเยี่ยมเยียนสตรีอื่นถึงจวน ทั้งยังพานางมาหยามข้าถึงที่นี่ทันทีที่ข้าหายดี แล้วแบบนี้ท่านจะมาว่าข้าพูดเกินไปได้อย่างไร”

“เจ้า!”

“โกรธข้ารึ ท่านคิดว่าโกรธเป็นคนเดียวหรือ ข้าก็โกรธท่านเช่นเดียวกัน ภรรยาคนงามก็นั่งอยู่ตรงนี้ ท่านกลับโอบกอดสตรีอื่นหวังปลอบโยน แล้วตัวข้าเล่า ข้าที่ต้องมาเห็นภาพน่ารังเกียจเช่นนี้ควรรู้สึกเช่นใด ยินดีปรีดาหรือไม่ หากท่านรักนางมากก็ตบแต่งให้มันเรียบร้อยเสียผู้อื่นจะได้ไม่ว่าท่านพ่อท่านแม่ได้ว่าไม่สั่งสอนบุตร”

“ฟางเซียน!” หลี่เหวินหลางตะคอกชื่อนางเสียงดังกว่าครั้งไหน ความโกรธพลุ่งพล่านในจิตใจแล้วสะท้อนออกมาทางแววตา

“อันใดกัน ข้าแค่พูดความจริงก็โกรธแล้วรึ ท่านไม่ใช่เด็กแล้วนะหลี่เหวินหลาง อันใดสมควรไม่สมควรก็คิดดูบ้างเถิด ส่วนเจ้า... โจวเฟิ่งจิ่ว ในเมื่อเจ้ารักบุรุษผู้นี้มากขนาดที่ไม่สนความถูกผิด ไม่สนแม้แต่จะคิดว่าเขาเป็นบุรุษของเพื่อน เจ้าก็ให้เขาไปขอเจ้ากับบิดาเจ้าแล้วตบแต่งเข้ามาเถิด”

ไป๋ฟางเซียนพูดกับหลี่เหวินหลางก่อน แล้วจึงหันไปพูดกับอดีตเพื่อนรัก เสร็จแล้วก็ทำท่าจะเดินออกจากศาลาไป แต่เหมือนกับว่านางนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงได้ชะงักเท้า แล้วหันกลับมาพูดกับโจวเฟิ่งจิ่วอีกครั้งด้วยประโยคที่กรีดลึกลงไปในความรู้สึกของคนฟัง ตบท้ายด้วยการฉีกยิ้มให้เบา ๆ กับสามีตัวดี จากนั้นจึงเดินจากมา ทิ้งให้หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีมองตามแผ่นหลังบางด้วยสายตาเกรี้ยวกราด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel