2 ไม่อยากจะเชื่อเลย
สวัสดีครับ
ขณะที่ผมเขียนเรื่องนี้ ผมยังถามตัวเองเลยว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไรต่อไปและอีกหลายคำถามที่ตามมา ความสับสนในตัวเองมันทำเอางุนงงไปอีก แต่ผมก็ตั้งสติ หลังจากจิตว่าง ผมก็มีคำตอบกับตัวเองว่า
ช่างเถอะนะให้มันไหลไปเรื่อย ๆ เถอะไอ้สันต์ ชีวิตคนเราสั้นนัก ไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง เมื่อมีลมหายใจก็ควรทำให้ตัวเองมีความสุขให้มากที่สุด เราไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำไป ในเมื่อมาเป็นอย่างนี้ก็ต้องยอมรับต่อความเป็นจริง
เอาวะ...เมื่อได้คำตอบอย่างนี้ ผมจะช้าอยู่ไย ลุยไปข้างหน้าโลด ไม่ว่าหญิงหรือชาย ดาหน้าเข้ามาเถอะ ผมสนองได้หมด (แต่ช่วงหน้ามีแต่ผู้ชายล้วนๆ)
บางคนรู้ว่าผมคิดอย่างนี้ อาจจะกลัว แต่ผมบอกเลยว่า อย่ากลัวครับ ผมไม่มีพิษมีภัยต่อใครหรอก นอกจากให้ความสุขแก่ผู้ที่พึงใจ และเป็นประชาชนที่ดี ไม่ใช่มิจฉาชีพแต่อย่างใด ทำมาหากินสุจริตครับ
ครับ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นผู้ชายสองซิมเมื่อไม่นานมานี่เอง แม้ว่าจะมีเรื่องเสียว ๆ เกี่ยวกับประสบกาม (ประสบกามครับไม่ใช่ประสบการณ์) แต่ผมก็รวบรวมเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายเอาไว้ในหนังสือ ไดอะรีหนุ่มฮอต
เมื่อกระโจนเข้าสู่การทัวร์ดงนกขมิ้นแล้ว มันเหมือนกันว่ามีมนตร์ประหลาดเพราะมีเหตุการณ์ทำให้ผมได้พบกับเรื่องเสียว ๆ กับคนเพศเดียวกัน จนผมชักจะสับสนว่า แท้จริงแล้วชอบเพศไหนกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ได้หมดถ้าทำให้สดชื่น
เริ่มจากเรื่องที่ทำให้ผมได้กับผู้ชายด้วยกัน คนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน มันชื่อไอ้ไลน์ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน แรก ๆ ที่รู้จักกัน ผมคิดว่าไอ้ไลน์เปลี่ยนชื่อใหม่ตามแอพพลิเคชั่นสุดฮิต ที่แรก ๆ ผมเห่อส่งสติ๊กเกอร์ให้กัน จนเกิดเสียงดังหนวกหูชาวบ้านชาวเมือง
“กูชื่อไลน์จริงๆ นะโว้ย ไอ้กระสัน อย่ามาหาว่ากูเปลี่ยนไปตามแอพไลน์นะ”
ผมสะดุ้งที่ถูกเรียนว่ากระสัน ทั้งที่ชื่อจริงนายวสันต์ ซึ่งมีความหมายว่าฤดูใบไม้ผลิ ไอ้ไลน์นี่มันวอนซะแล้ว
“อ้าว ! ไอ้ห่าจัญไร กูชื่อวสันต์ ไม่ใช่กระสัน”
“เออ อะไรก็ได้มันก็สันเหมือนกัน แต่กูชื่อไลน์ไม่ใช่จัญไร”
ไม่รู้ว่าเราสองคนจะใส่ใจทำไมกับชื่อที่เรียกผิดเพี้ยนกันไป แต่ก็ดีเพราะเป็นหัวข้อในการสนทนาระหว่างดริ๊งเหล้าหลังเลิกงาน ไม่ให้เหงาปากระหว่างดื่มน้ำแห่งความสุข
“เออ มันก็ ลอ สะ ระ ไอ เหมือนกัน แต่ว่ามึงแน่ใจนะไม่ได้เปลี่ยนชื่อใหม่น่ะ กูเห็นว่ามึงก็เกิดมานาน ไม่น่าจะมีชื่อตามสมัยนิยมอย่างนี้”
ผมถามย้ำไอ้ไลน์ที่มีใบหน้าหวาน ผิวขาว รูปร่างดี แต่ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อ ไอ้นี่มันเป็นผู้ชายประเภทโมโนเซ็กช่วล คือชอบแต่งตัว ค่อนไปทางเจ้าสำอางและมันเป็นลูกครึ่งจึงได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ เพราะชวนมอง แม้แต่เพศเดียวกันก็ยังที่จะสนใจต่อความดูดีของมันไม่ได้ ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงต้องมาแอ๊วมันแน่ ๆ
ไอ้ไลน์เป็นผู้ชายก็หล่อ ถ้าเป็นผู้หญิงก็สวย หรือเป็นเกย์ก็น่าฟัดชะมัด แต่ผมคิดว่ามันคงเป็นผู้ชายนี่แหละ เห็นผู้หญิงแล้วมองตาเป็นมัน ทำตัวเป็นเพลย์บอย กิน เที่ยวไม่ยั้ง แต่มีความรับผิดชอบเรื่องการทำงานจนทึ่ง เพราะปกติแล้วคนที่ดื่มเหล้าในวันธรรมจนเกือบตีหนึ่งบ่อย ๆ จะตื่นมาทำงานไม่ไหว
แต่ไอ้ไลน์กลับทำได้ มันเป็นซูเปอร์มนุษย์หรือเปล่าก็ไม่รู้
“เด๊ดกูชอบเล่นกอล์ฟ เขามองไลน์ในสนามกอล์ฟโว้ย กูก็เลยชื่อแบบนี้”
“อ้อ ชื่อมีสตอเบอร์แหล เอ๊ย สตอรี่”
ผมก็แกล้งพูดเพี้ยน ๆ ไปอย่างนั้นเอง ซึ่งก็ทำให้ไอ้ไลน์ขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ
“เออ ไอ้นี่ ปากดีนะ น่าจะจูบสักที”
ไอ้ไลน์ยื่นหน้าเข้ามา แล้วทำปากจู๋ ผมเห็นดังนั้น ผงะหน้าออกมาห่าง ๆ
“ได้สิวะ เฮ้ย ไอ้บ้า ข้าไม่อยากลองของแปลกโว้ย”
ผมดันหน้ามันออกห่าง เพราะกลัวจะจูจุ๊บปากเพราะเห็นปากมันยื่นเข้ามาใกล้ๆ แล้วใจไม่ดี เดี๋ยวอดใจไม่ไหวจ๊วบเข้าให้
เฮ้อ ! ล้อเล่นครับ
จากนั้นเป็นต้นมา ผมกับไอ้ไลน์ก็สนิทกันมากกว่าเดิมเพราะกิน เที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง บางทีเมามาก ๆ ผมก็ไปนอนที่บ้านมัน หรือมันเมาหนักจนต้องประคองปีกก็นอนบ้านผม พ่อแม่ของเราสองคนไม่รู้จักกันหรอกครับ แต่ก็เอ็นดูพวกเราเหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง
“เมื่อไหร่พวกมึงจะมีแฟนเสียที เที่ยวกับผู้ชายด้วยกันมันจะสนุกอะไร ต้องมีหญิงมางุ้งงิ้งข้าง ๆ บ้าง มันจะได้สดชื่น”