ตอนที่ : 04 ลูกสาวคนเดียว
สองปีต่อมา
ขวัญพิชชาเรียนจบแล้วตอนนี้เธอก็กลับมาที่บ้านถาวรและได้เข้าทำงานที่บริษัทของผู้เป็นพ่อ เพราะเธอคือผู้ถือหุ้นของบริษัทด้วยเช่นกัน แต่เพราะไม่ได้มานานหลายปีใครต่อใครจึงจำเธอไม่ได้ บวกกับพนักงานบริษัทก็เข้าออกกันหลายสิบคนต่อปี ก็เลยไม่มีใครรู้จักกับเธอ
เข้ามาวันแรกก็โดนคนมองแบบแปลกๆ เธอเองก็พยายามที่จะไม่สนใจอะไร เพราะคนพวกนี้มันก็ทำได้แค่มองเท่านั้นแหละ
"นี่เธอเป็นเด็กใหม่ใช่ไหม ชื่ออะไร?"
"ทำไมต้องบอก"
"ที่นี่เขาอยู่กันแบบระบบพี่น้อง ใครมาก่อนก็ได้เป็นพี่ ใครมาทีหลังก็ได้เป็นน้อง และรุ่นน้องก็ต้องเคารพรุ่นพี่"
"......" เธอแสยะยิ้มหัวเราะอย่างแผ่วเบา ไม่ได้กลัวเลยสักนิดกลับกันนึกสมเพชเสียมากกว่า ทำไมต้องเคารพอะไรกันขนาดนั้นด้วย ในเมื่อมาทำงานต่างคนก็ต่างทำงานอยู่ดี ทำอย่างกับว่าเคารพรุ่นพี่แล้วจะทำให้หน้าที่การงานมันดีขึ้นอย่างนั้นแหละ มันก็แค่พวกคำพูดหลอกเด็กที่เอาไว้พูดเพื่อยกตัวเองให้ดูเหนือกว่า
"ที่พูดเนี่ยได้ยินไหม เอาบัตรประจำตัวพนักงานมาดูซิ!"
"ไม่มี"
"เอ๊ะ! นี่อย่ามากวนได้ป่ะ ไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ ทำงานที่นี่มันก็ต้องมีบัตรพนักงานอยู่แล้ว อย่ามาตอแหล เอามาให้ดูเดี๋ยวนี้!"
"ป้า! บอกว่าไม่มีก็คือไม่มี ป้าจะรั้นเอาอะไรเนี่ย ไม่มีก็คือไม่มีดิ"
"คิดจะแข็งข้อกับพวกฉันเหรอ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าจะแข็งข้อน่ะอยู่ที่นี่ยาก"
"......" ขวัญพิชชากอดอกพร้อมกับเอนหลังพิงกับพนักพิงของเก้าอี้ มองดูคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว "พิศมัย อรทัย บงกช"
อ่านชื่อของคนสามคนที่เข้ามาทำตัวกร่างใส่เธอ
"ชื่อนี้กันใช่ไหม"
"???" ทั้งสามคนทำหน้างงไปตามๆ กัน
"อืม...จะได้จัดการถูก ไม่รู้ว่าพ่อของฉันเลี้ยงพนักงานกร่างๆ แบบนี้ไว้ได้ยังไง เสียสุขภาพจิตพนักงานคนอื่นๆ หมด!"
"พูดอะไรน่ะ"
"อยากรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร ที่ฉันไม่มีบัตรพนักงานน่ะ เพราะฉันไม่ใช่พนักงาน แต่ฉันเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนี้ และฉันก็เป็นลูกสาวคนเดียวของประธานบริษัทนี้ ขวัญพิชชา!"
"!!!"
ทุกคนรู้จักชื่อนี้เพราะชื่อนั้นติดอยู่บนบอร์ดของผู้ที่ถือหุ้นของบริษัทนี้ แต่ไม่มีรูปของเธอ จึงไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร
"อะ เอ่อคือ..."
"ทำไมล่ะ ถึงกับพูดกันไม่ออกเลยเหรอ อย่าไปกลัวสิ กร่างใส่ฉันอีก ขอโทษนะฉันไปเรียนอยู่ต่างประเทศตั้งนาน ฉันไม่เข้าใจระบบการทำงานของที่นี่สักเท่าไหร่ และฉันก็ไม่รู้ว่าต้องเคารพใคร"
เธอมองทั้งสามคนตั้งแต่หัวจรดเท้า และอ่านป้ายประจำตัวของพนักงานก็เห็นว่าเป็นเพียงพนักงานในแผนกเท่านั้น ไม่ใช่หัวหน้าแผนก หรือผู้จัดการ หรืออะไรที่มันมากกว่านั้น
"พวกเธอเป็นใครเป็นแค่พนักงานไม่ใช่เหรอ ทำไมฉันต้องเคารพแล้วทำไมคนอื่นๆ ต้องเคารพ เป็นแม่พวกเขาเหรอ?"
"!!!"
คำพูดของเธอนั้นตรงไปตรงมาคมกริบชนิดที่เอาซะสามคนนั้นถึงกับยืนเสียวสันหลังวาบเลยทีเดียว และคำพูดของเธอนั้นก็แทนใจพนักงานทุกคนที่โดนทำตัวกร่างใส่ไปหมดแล้วเช่นกัน
"หรือว่ามีใครในนี้ เป็นเมียน้อยพ่อของฉัน ก็เลยกล้าที่จะทำตัวกร่างใส่คนอื่น เพียงเพราะมีสิทธิ์ตรงนี้ หืม??"
"อะ เอ่อคือ..."
"บอกฉันมา ฉันจะได้จัดการทีเดียว ไม่ชอบอะไรที่มันครึ่งๆ กลางๆ จัดการไม่หมด"
"อรทัยค่ะ ฉันเคยเห็นอรทัยขึ้นรถไปกับท่านประธาน!"
"อีบงกช!"
"ใช่ค่ะ ฉันเป็นพยาน ฉันเองก็เห็นด้วย"
"โอ้ว! เริ่ดมาก Beyond expectations ชอบอะไรแบบนี้จัง กลัวความผิดกันจนต้องขายเพื่อนแล้วเหรอ แต่ก็ดี เพราะฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปสืบหาเอง"
"......"
"ครั้งก่อนฉันจับได้ว่าพ่อของฉันแอบกินเด็กในบริษัทตัวเอง ฉันก็จัดการมันจนไม่มีหน้ากลับมาทำงานอีกเลย คนเรานี่ก็แปลกนะ รู้ว่าเขามีครอบครัวแล้วแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังจะเสนอตัวเข้ามา มันอดอยากถึงขั้นต้องกินของคนอื่นแล้วเหรอ หรือเพราะเงิน เห็นพ่อของฉันรวยสินะ ถึงยอมเป็นเมียน้อยโดยไม่สนว่าตัวเองจะอยู่ในสถานะไหน ภูมิใจไหม หืม?"
"......" เงียบ! ยืนเงียบกันหมดเลย ให้มันได้อย่างนี้สิ!
คงต้องรู้อยู่แล้วล่ะว่าพ่อของฉันแต่งงานมีครอบครัวแล้ว คนที่มาทำงานบริษัทจะต้องรู้ทุกคน นอกซะจากว่าจะทำเป็นปิดหูปิดตา ไม่รู้เรื่องอะไรแค่นั้นแหละ
"ภายในบ่ายวันนี้ ฉันให้เวลาพวกเธอเก็บข้าวของออกไปจากบริษัท และอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นแน่!"
"เป็นแค่ผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์อะไร คนที่สามารถไล่พวกเราออกได้ก็คือประธานบริษัทคนเดียวเท่านั้น" ผู้หญิงที่ชื่ออรทัยพูดขึ้นมา
"รู้ไหมว่าที่ฉันไล่พวกเธอออกไม่ใช่ว่าเธอเป็นเมียน้อย เพราะเรื่องนั้นน่ะฉันไม่ทำอะไรหรอกฉันเข้าใจพวกสัตว์เซลล์เดียว แต่ที่ฉันไล่พวกเธอออก เป็นเพราะนิสัยกร่างๆ ของพวกเธอต่างหาก ทีนี้เข้าใจแล้วหรือยัง?"
ทั้งสามคนมองหน้ากันเมื่อฉันพูดออกมาอย่างนั้น การที่พ่อฉันไปมีเมียน้อยมีผู้หญิงคนอื่น มันเป็นเรื่องที่ดูปกติไปแล้วสำหรับฉัน ถึงการมาเจอแบบนี้มันจะเป็นเรื่องน่าตกใจก็เถอะ
ฉันไม่ได้สนใจหรอก ว่าใครจะเป็นเมียน้อยพ่อของฉันบ้าง ฉันไม่ได้อยากยุ่งด้วยขนาดนั้นแล้ว ตราบใดที่ผู้หญิงพวกนั้นไม่มายุ่งกับฉันหรือแม่
"จะให้เรื่องนี้รู้ถึงหูพ่อของฉันก็ได้นะ แต่ฉันก็ไม่รับปาก ว่าทุกอย่างมันจะจบลงแค่นี้ ฉันไม่ใช่คนใจดี ไม่ใช่คนใจเย็น ที่จะรอหรือให้อภัยใครง่ายๆ"
"เออ! ออกก็ได้วะ ก็ไม่ได้อยากอยู่นักหรอก ไอ้บริษัทเฮงซวยนี่น่ะ!"
สามคนนั้นเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ท่าทางดูไม่พอใจเอามากๆ ส่วนฉันก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ มาทำงานวันแรกก็เจอดีซะแล้ว
นี่ถือว่าเป็นการรับน้องเหรอ? แปลกดีนะ ต่างประเทศไม่เห็นมีอะไรแบบนี้เลย
"คุณพิชา.."
"พอๆ หยุด Stop ฉันไม่อยากฟัง ไม่อยากอะไรทั้งนั้น อย่าเพิ่งมากวนใจตอนนี้"
"ขอบคุณมากๆ นะคะ คุณพิชา สุดยอดไปเลยค่ะ"
"ไม่ต้องชมฉันหรอก ฉันไม่ใช่คนใจดี พวกเธอเองก็กลับไปทำงานได้แล้ว ฉันไม่ชอบพวกยืนจับกลุ่มแล้วสอด..เรื่องชาวบ้าน"
"ค่ะๆๆๆ"