บทนำ วิญญาณหลงยุค
เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทั้งตำหนักกว้างขวาง หญิงสาวที่นั่งประคองท้องโย้อยู่บนตั่ง ได้แต่หลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบเชียบ ผิดแผกแตกต่างจากนางกำนัลรอบข้าง
“พระชายา เชิญเสด็จได้แล้ว!”
“ท่านนายกอง ได้โปรดปล่อยพระชายาไปเถิดเจ้าค่ะ พระชายากำลังตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขขององค์รัชทายาท อีกไม่กี่วันจะถึงกำหนดคลอดแล้ว ไม่เห็นแก่พระชายา ก็ควรเห็นแก่องค์ชายน้อยที่กำลังจะประสูติออกมานะเจ้าคะ”
นางกำนัลนางหนึ่งรีบคลานเข่าเข้าไปโขกศีรษะขอร้องบุรุษสวมชุดเกราะเบื้องหน้า ทว่าอีกฝ่ายไม่เพียงไม่สนใจ ยังมองมายังสตรีบนตั่งด้วยสายตาดุดัน มองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังสตรีนางนั้นเพียงใด
จะไม่ให้พวกเขาเกลียดชังสตรีตรงหน้าได้อย่างไร ในเมื่อยามนี้ ทหารแคว้นฉีบุกมาประชิดกำแพงเมือง หากประตูเมืองแตก แคว้นอู๋คงถึงคราวสิ้นแผ่นดิน
“ฮึ! เห็นแก่องค์ชายน้อยที่กำลังจะเกิดมากระนั้นหรือ! คำสั่งนี้ เป็นองค์รัชทายาททรงรับสั่งด้วยองค์เอง ขนาดพระองค์ยังไม่สนพระทัย แล้วพวกข้าต้องสนใจด้วยหรือ หากจะโทษ ต้องโทษแคว้นฉีที่ตระบัดสัตย์! พระชายา ท่านจะเดินไปเองหรือจะให้ข้าลากตัวไป!”
หลิวชิวเยี่ยยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา ค่อยๆ โอบประคองท้องลุกขึ้นยืน ในใจรู้สึกรังเกียจตนเองเหลือทน ที่เกิดมาเป็นคนอ่อนแอ โง่งม
หลังจากศึกที่ ‘หม่าหลิง’ ได้สร้างดุลอำนาจทางตะวันออกระหว่าง ‘แคว้นฉี’ และ ‘แคว้นเว่ย’ ให้มีกำลังทัดเทียมกัน และเพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำจงหยวน ทั้งสองแคว้นจึงทำสัญญากับแคว้นเล็กที่มีอนาเขตติดต่อกับแคว้นของตน
แคว้นฉีส่งองค์หญิง ‘หมินอิ่น’ มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับองค์รัชทายาท ‘แคว้นอู๋’ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ หวังให้แคว้นอู๋เปิดศึกก่อกวนแคว้นเล็กที่เข้าร่วมกับแคว้นเว่ย
ทว่า พอหลังจากแคว้นอู๋มีชัยและตกอยู่ในสภาพอ่อนแอ ‘แคว้นฉี’ กลับฉีกสัญญา ยกทัพเข้าโจมตี ‘แคว้นอู๋’
บนป้อมกำแพงเมือง หลิวชิวเยี่ยถูกควบคุมตัวมาถึง นางมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีด้วยสายตาเจ็บปวดรวดร้าวเกินบรรยาย น้ำตาหลั่งออกมาเป็นสาย หากแต่เขากลับมองมาที่นางด้วยสายตาว่างเปล่า ไร้ร่องรอยความรักใคร่อย่างสิ้นเชิง
‘อู๋เหอจี้’ ผินหน้ากลับไปมองทหารเรือนแสนของกองทัพฉีด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง พลางตะโกนออกไปสุดเสียง “ฉีซื่อหมิ่น หากเจ้าไม่ถอนทัพกลับไป ข้าจะแขวนคอน้องสาวท้องแก่ของเจ้าบนป้อมกำแพงเมืองเดี๋ยวนี้!”
หลิวชิวเยี่ยตระหนกจนร่างกายซวนเซ มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นี่ยังจะใช่บุรุษที่นางมอบใจให้คนนั้นอีกหรือ เขาถึงกับคิดสังหารนางพร้อมลูกในท้อง
“ไม่มีอะไรจะหยุดข้าได้ แคว้นอู๋ต้องถูกทำลายจนสิ้นซาก!” บุรุษชุดเกราะเหล็กบนอาชาสีนิลตะโกนกลับมา
หลิวชิวเยี่ยผินหน้าไปมองเขา ถึงจะมองกันได้จากที่ไกลๆ แต่นางยังคงเห็นแววตาไร้เยื่อใยของเขาชัดเจน
ก่อนเดินทางมาแคว้นอู๋ คนผู้นี้มาส่งนาง ตอนนั้นเขาพูดกับนางว่าอย่างไรนะ อ้อ....
‘ข้าฉีซื่อหมิ่นขอสาบานจะรักและปกป้องเจ้าไปตราบจนชีวิตจะหาไม่ เชื่อใจข้านะเยี่ยเอ๋อ รอข้า ข้าจะมารับเจ้ากลับไปอยู่ด้วยกัน’
หลังจากจบประโยคนั้น เขาก็พรากความบริสุทธิ์ของนางบนรถม้าที่ตกแต่งด้วยผ้าสีแดงราวกับว่าเขาเป็นเจ้าบ่าวเสียเอง
นี่ใช่หรือไม่ คำสาบานของเขา เขามารับนางกลับ?
“หึหึ ฮะๆ ฮ่าๆ” คิดแล้วหลิวชิวเยี่ยพลันหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ เสียงหัวเราะเย้ยหยันของนางดังก้องไปถึงกองทัพแคว้นฉี
ถูกต้อง นางมิใช่องค์หญิงหมินอิ่น นี่คือเหตุผลที่พวกเขาตั้งใจส่งนางปลอมตัวขึ้นเกี้ยวมา นางช่างโง่งมนัก
เสียงหัวเราะของหลิวชิวเยี่ย ค่อยๆ แผ่วเบาลง ก่อนจะหันไปกล่าวกับองค์รัชทายาท “ท่านต้องการสังหารข้า ข้าย่อมไม่ร้องขอชีวิต แต่ช่วยไว้ชีวิตลูกของเราได้หรือไม่ ท่านเคยสัญญาว่าจะรักและทนุถนอมข้า ในเมื่อท่านทำตามคำสัญญากับข้ามิได้ ก็ช่วยทำกับลูกของเราแทนได้หรือไม่”
ฝ่ามือที่กำลังไพร่อยู่ด้านหลังของอู๋เหอจี้กำแน่นจนเห็นข้อกระดูก หากแต่กลับไม่มีวาจาหลุดออกจากปากเขาแม้เพียงครึ่งคำ
เบื้องล่าง ฉีซื่อหมิ่นยกมือเป็นสัญญาณ เตรียมชักธงรบ
“จัดการนางเถิด” นั่นคือประโยคสุดท้าย ที่หลิวชิวเยี่ยได้ยินจากบุรุษที่เคยบอกว่ารักนางสุดหัวใจ ก่อนที่จะถูกจับแขวนคอห้อยบนกำแพงเมือง นางมิได้ดิ้นรนถีบแข้งถีบขา ให้เป็นที่น่าสังเวชต่อสายตาผู้คน เพียงใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเปล่งวาจาออกมาอย่างสงบ
“ฉีซื่อหมิ่น อู๋เหอจี้ สิ่งที่พวกเจ้ากระทำต่อข้า ชาตินี้ข้าจะไม่ขอแค้นเคือง ระหว่างพวกเราจะได้มิต้องมีแค้นตามติดกันข้ามภพข้ามชาติ เพราะข้าไม่ต้องการพบเจอพวกเจ้าอีกแล้ว ไม่ว่าจะชาติภพใดก็ตาม” หลังจบประโยคนั้น หลิวชิวเยี่ยก็สิ้นลม
“แค้นสิ! ทำไมจะไม่แค้น! เจ้าไม่แค้น แต่ข้าแค้น!” ร่างเล็กสบถด่าอย่างหัวเสีย หลังจากที่สะดุ้งตื่นมากลางดึก
ชิวเยี่ยมาอยู่ในร่างนี้ได้หกเดือนแล้ว ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา นางฝันเห็นแต่เรื่องเลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจดจำเรื่องราวได้ขึ้นใจ
ใช่แล้ว นางมิใช่หลิวชิวเยี่ยในฝัน แซ่ของนาง คือแซ่ ‘หวัง’ ชื่อ ‘ชิวเยี่ย’ ก่อนหน้านั้นนางเป็นหมออยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หลังจากที่ตายด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน กลับมาตื่นในร่างนี้ มิหนำซ้ำยังย้อนอดีตมาอีกหลายพันปี นี่มันเรื่องบ้าบอชัดๆ ยัง เท่านั้นยังมิพอ นางต้องมาจมอยู่กับฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นใครบ้างจะไม่แค้น หึ่ม! ชิวเยี่ยได้แต่ยกมือขึ้นยีผมของตนเอง รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด
“พี่ใหญ่?”
คงเป็นเพราะเสียงของนางดังเกินไป เด็กชายที่นอนอยู่ข้างเตียงถึงได้ตื่น
“ไม่มีอะไร เจ้านอนต่อเถิด”
“เกรงว่าจะนอนต่อมิได้แล้ว” หลิวลั่วซูยันกายลุกขึ้นนั่งกล่าวเสียงงัวเงีย มือหนึ่งขยี้ตา มือหนึ่งชี้ออกไปยังผนังกระดาษ
ชิวเยี่ยมองตามนิ้วมือของเขาไป ครั้นเห็นว่าด้านนอกเริ่มสว่าง อารมณ์ขุ่นมัวพลันกลับมาอีกครั้ง
นี่นับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ชิวเยี่ยแค้นเคือง แม่เลี้ยงผู้นั้น ยามอยู่ต่อหน้าบิดาวางตัวใจดีมีเมตตา ทว่าพอลับหลัง กลับกดขี่ข่มเหงใช้งานลูกเลี้ยงเยี่ยงทาส และแม่เลี้ยงผู้นี้นี่เอง คือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมในฝันร้ายของชิวเยี่ย
“ไป พวกเราลุกเถิด” สุดท้าย ชิวเยี่ยได้แต่หันไปบอกน้องชายฝาแฝด จะให้นางทำอย่างไรได้ นางพึ่งจะอายุแปดขวบ ซ้ำยังหลงมาเกิดยุคไหนยังไม่รู้ จะทำการอันใดต้องมั่นใจก่อนว่าปลอดภัย นางเป็นหมอ ความรอบคอบคือสิ่งสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต
ลั่วซูต้องไปหาบน้ำผ่าฟืน ชิวเยี่ยต้องเข้าครัวติดเตาทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน ส่วนแม่เลี้ยงกับน้องสาวต่างมารดาน่ะหรือ ป่านนี้ยังนอนไม่ตื่น
บิดาของหลิวชิวเยี่ยเป็นทหาร สองปีถึงจะกลับบ้านครั้ง ช่วงที่บิดาอยู่ หญิงแซ่ซ่งผู้นี้ย่อมมิได้สั่งให้พวกนางทำงาน หลิวลั่วซูจะได้ย้ายกลับไปนอนที่ห้องนอนของตนเอง ส่วนน้องสาวต่างมารดาอย่างหลิวจิงจิงจะต้องย้ายกลับมานอนห้องเดียวกับชิวเยี่ย
ที่ถูกที่ควรมันสมควรต้องเป็นเช่นนั้น แต่วันหนึ่ง หลิวจิงจิงกลับอยากมีห้องนอนเป็นของตนเอง หญิงแซ่ซ่งจึงสั่งให้ลั่วซูย้ายเข้ามานอนกับพี่สาวฝาแฝดอย่างชิวเยี่ยแทน ความใจร้ายใจดำของหญิงแซ่ซ่งที่มีต่อสองพี่น้องบรรยายอย่างไรคงไม่หมด
หากแต่เรื่องนี้ มิใช่เรื่องที่ชิวเยี่ยเป็นกังวล ในความฝันของนาง อีกไม่นานพี่ชายของหญิงแซ่ซ่งจะมาที่บ้าน เพื่อขอยืมเงินน้องสาวไปรักษาบิดาที่กำลังป่วย หญิงแซ่ซ่งเป็นคนแล้งน้ำใจ จะอ้างกับพี่ชายว่าไม่มีเงิน พี่ชายผู้นั้นถึงได้เอ่ยปากขอลูกเลี้ยงของนางไปขายแทน แม่เลี้ยงผู้ที่มีใจคิดกำจัดลูกเลี้ยงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีหรือจะไม่ยินยอม สุดท้าย สองพี่น้องถูกพาไปขายให้พ่อค้าทาส
หลิวชิวเยี่ยต้องพลัดพรากจากน้องชายตั้งแต่บัดนั้น นางถูกนำตัวไปขายให้จวนขุนนางในเมืองหลวง ครั้นอายุใกล้ครบวัยปักปิ่นก็ถูกพาเข้าวัง ถูกฝึกฝนอบรมกิริยามารยาทราวกับองค์หญิง จากนั้นถูกส่งขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทนองค์หญิงหมินอิ่นไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ และพบกับโศกนาฏกรรมอันโหดร้ายในเวลาต่อมา
หวังชิวเยี่ยไม่มีทางยอมให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นกับตนเองเป็นแน่ นางมิได้โง่งมหัวอ่อนอย่างหลิวชิวเยี่ย
แม่เลี้ยงบังคับให้พวกนางสองพี่น้องกินน้ำต้มข้าว กับหมั่นโถววันละลูก? เฮอะ! นางเป็นคนทำอาหารเองทุกเช้า ใครจะยอมอดอยากกัน ฝันไปเถอะ!
“เอานี่ อาซูเจ้ารีบกินเสีย” ชิวเยี่ยยื่นชามข้าวราดกับข้าวพูนจานพร้อมตะเกียบส่งให้น้องชายที่พึ่งเทน้ำใส่ถังเสร็จ รอให้เขารับไปแล้ว ถึงได้หันมาพุ้ยข้าวใส่ปากตนเอง
สองพี่น้องกินกันรวดเร็วยิ่ง ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบลมหายใจก็กินหมด ลั่วซูรีบส่งชามกับตะเกียบคืนให้พี่สาว ชิวเยี่ยรับมาแล้วตักน้ำล้าง ใช้เสื้อเช็ดจนสะอาดนำกลับไปคว่ำไว้ในครัวดังเดิม ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้สิบวัน หวังชิวเยี่ยเริ่มทำเช่นนี้มาโดยตลอด จากร่างกายผอมแห้ง มาบัดนี้ทั้งสองพอจะดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้าง
นางพึ่งจะคว่ำถ้วยชามกลับเข้าที่ได้ไม่เท่าไหร่ เสียงตะโกนของนางซ่งก็ดังออกมาจากในบ้าน
“ยังไม่ยกน้ำมาให้ข้าล้างหน้าล้างตาอีกหรือ!”
ชิวเยี่ยได้ยิน พลันกรอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้จะสรรหาวาจาใดมากล่าวถึงสตรีนางนี้จริงๆ หญิงแต่งงานแล้วรุ่นราวคราวเดียวกับนางซ่งในหมู่บ้าน ล้วนตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังมิทันสว่าง นอกจากลุกมาหุงหาอาหารให้สามีและลูก พวกนางยังต้องเข้าสวนเข้านาช่วยครอบครัวทำมาหากิน แต่แม่เลี้ยงของนางน่ะหรือ กว่าจะตื่นก็สายจนตะวันโด่ง
อันที่จริง อายุวิญญาณของหวังชิวเยี่ยสามสิบสามปี แก่กว่านางซ่งเสียอีก ก่อนตายนางคือหมอผ่าตัดและยังเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสมุนไพรศาสตร์ ผู้คนที่พบเห็นนางล้วนต้องก้มหัวเรียกนางว่าศาสตราจารย์ แล้วดูตอนนี้สิ มันคืออันใด
ชิวเยี่ยถืออ่างใส่น้ำอุ่นไปวางให้นางซ่งด้วยใบหน้าไม่ยิ้มไม่แย้ม
“เอามาให้ข้าบ้าง”
ความหงุดหงิดของนางยังมิทันจางหาย กลับถูกเด็กหญิงวัยราวหกปีที่พึ่งเปิดประตูออกมาตะโกนสั่ง
ชิวเยี่ยฉีกยิ้ม มิได้เผยโทสะให้สองแม่ลูกได้เห็น เพียงกล่าวกับน้องสาวต่างมารดาอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้อาหนิวปักผ้าเป็นแล้ว ป้าเหมาเอามาคุยเสียทั่วหมู่บ้าน ว่าผ้าเช็ดหน้าที่นางปัก ขายได้ตั้งสองอีแปะ ถ้าน้องสาวมิอยากแพ้อาหนิว ต้องเริ่มจากไปตักน้ำล้างหน้าด้วยตัวเองเสียก่อน หากเด็กคนอื่นรู้เข้าว่าแม้แต่ตักน้ำล้างหน้า เจ้ายังทำเองมิได้ คงโดนเอาไปเปรียบกับอาหนิวแน่”
หลิวจิงจิงได้ยินอย่างนั้น พลันหน้าง้ำขึ้นมาทันที นางกับอาหนิวไม่ค่อยลงลอยกัน หลิวจิงจิงย่อมไม่อยากเห็นอีกฝ่ายมีความสามารถเหนือกว่าตน นอกจากจะออกไปตักน้ำมาล้างหน้าเองแล้ว ยังหันมากล่าวกับมารดา “ท่านแม่ ท่านต้องสอนข้าปักผ้านะเจ้าคะ ข้ายอมแพ้อาหนิวมิได้เด็ดขาด”
“แม่ปักผ้าเป็นที่ไหนกันเล่า!” นางซ่งเอ่ยอย่างจนปัญญา เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนั้น นางไหนเลยจะเคยหยิบจับ ทุกวันนี้ร้อยด้ายใส่เข็มเป็นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย พอมิรู้จะเอาใจบุตรสาวได้อย่างไร นางซ่งรีบหันไปสั่งชิวเยี่ย “ไปยกสำรับเข้ามาได้แล้ว”
วิธีจัดการกับสองแม่ลูกสมองกลวงคู่นี้ ย่อมมิเกินมือของชิวเยี่ย เพียงแต่นางมิอาจรอจนถึงวันที่พี่ชายนางซ่งมาเยือนได้ หากต้องยอมให้ผู้อื่นเอาไปขาย สู้ไปตายเอาดาบหน้ายังดีเสียกว่า