บทที่ 16 มารับตัวไปเผ่าเทพ
“ชะตาของสรรพชีวิตมิได้ขึ้นอยู่กับข้า หากขึ้นอยู่กับการกระทำของทุกคน ข้าเป็นเพียงผู้ดูแลเท่านั้น เทพธิดาได้โปรดตรองดูอีกครั้งเถิด ข้ามิใช่ผู้วิเศษเพียงนั้น” สายตาสั่นไหวของหญิงสาวจับจ้องไปยังเทพแห่งชะตาแล้วกำมือแน่น
“แต่ไหนแต่ไร ท่านพี่ไว้วางใจและคอยถามถึงชะตากรรมของเผ่าเทพเสมอมา ท่านล่วงรู้ทุกอย่าง แต่พอข้าถามบ้าง ท่านกลับบ่ายเบี่ยง คงต้องให้ท่านพี่มาจัดการแล้วกระมัง” หญิงสาวพูดขู่
“สุดแล้วแต่เทพธิดาเถิดขอรับ เรื่องที่ท่านขอให้ข้าช่วย เกินความสามารถของข้าจริง ๆ”
“เจ้า!” หญิงสาวยกมือชี้หน้าใส่เทพแห่งชะตา เพราะรู้ว่าความสามารถเขาเหนือกว่านั้น ก่อนนางจะกลั้นใจหลับตาช้า ๆ เพื่อสงบอารมณ์
“เจ้าไม่ยอมช่วยข้าไม่เป็นไร ข้าไม่ง้อเจ้าก็ได้ ข้าจะหาทางใกล้ชิดกับประมุขตงหยางด้วยตัวเอง แต่นับจากนี้ไป เจ้าก็อย่าได้หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากข้าเช่นกัน” พูดจบ หญิงสาวจึงเบี่ยงตัวเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ พร้อมเทพแห่งชะตาจะส่ายศีรษะไปมากับความเอาแต่ใจของเทพธิดาจางซิน
ศาลากลางยอดเขาสูงเสียดฟ้า หมิงเยว่นั่งเท้าคางมองวิวด้านหน้าพร้อมความคิดสับสน หญิงสาวในชุดเขียวสะอาดตายกชาขึ้นดื่ม ฝืนกลืนได้อึกหนึ่งก่อนสายลมพัดโชยมาให้นางได้หวนระลึกถึงเรื่องราวเก่าก่อน
“ยามข้าเป็นเด็กตัวเล็ก ข้ามักจะถามตัวเองเสมอ ว่าข้าเกิดมาทำไม ข้ามักจะทำให้ท่านพ่ออับอายขายหน้า กว่าจะสำเร็จพลังวิญญาณขั้นหนึ่ง ก็ใช้เวลาไปเกือบเก้าร้อยปี ขณะที่โอรสหรือธิดาของเผ่าอื่น ๆ ล้วนสำเร็จพลังวิญญาณขั้นสองกันตั้งแต่อายุขัยไม่ถึงห้าร้อยปีด้วยซ้ำ ช่างขันนักที่อยู่ ๆ ข้าดันมีดวงจิตสีเพลิงที่จะช่วยให้ทุกสรรพสัตว์รอดพ้นเคราะห์กรรม หึ!” หมิงเยว่นึกหัวเราะในความสามารถตัวเอง
“อย่างข้าจะมีปัญญาอะไรไปต่อสู้กับจอมมารตงฟางได้ แค่เอาชนะลิ่วล้อของเผ่าเทพยังยากแล้วเลย...”
“คิดสิ่งใดหรือเจ้าคะ” เสียงฝีเท้าของซิ่วอิงเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนหมิงเยว่จะเงยหน้าขึ้น แล้วยกชาขึ้นดื่ม เลื่อนสายตามองไปยังวิวกว้าง ที่มีวิหคกางปีกสวย บินไปมาอยู่ไม่ห่าง
“ข้าคิดหลายอย่าง” ฟังจากน้ำเสียง ซิ่วอิงก็รับรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายมีเรื่องครุ่นคิดในใจ ทำให้ซิ่วอิงค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าไปย่อตัวลงนั่งด้านข้าง
“ท่านหนักใจ เรื่องที่จะไปบำเพ็ญเพียรยังเผ่าเทพเหรอเจ้าคะ” สายตาสั่นไหวของซิ่วอิงแสดงความเป็นห่วงด้วยความจริงใจ ก่อนหมิงเยว่จะพยักหน้ารับ
“ที่ผ่านมา ข้ามักทำให้ท่านพ่อท่านแม่เสียหน้า ข้าหวั่นใจว่าครั้งนี้จะทำให้เผ่าวิหคเสียชื่ออีกเช่นเคย”
“เหตุใดธิดาจึงคิดมากเช่นนี้” ซิ่วอิงส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่เห็นด้วย
“เจ้าอย่าได้ปลอบใจข้า ก่อนหน้าเจ้าก็รู้ว่าการบำเพ็ญเพียรของข้าล้มเหลวแค่ไหน กว่าจะสำเร็จพลังวิญญาณขั้นหนึ่งได้ ก็ลำบากยากเย็น ครานี้ข้าไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง ข้าไม่อยากทำให้เผ่าวิหคเป็นตัวตลกในสายตาเผ่าอื่น ๆ”
“จะเป็นตัวตลกได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อท่านมีดวงจิตสีเพลิง ใคร ๆ ต้องล้วนยำเกรง ธิดาอย่าลืมเด็ดขาดในพิภพนี้ผู้มีดวงจิตสีเพลิงมีแค่ท่านเพียงผู้เดียว ยิ่งกว่านั้นทุกสรรพสัตว์ต้องพึ่งบารมีของท่าน ใครหน้าไหนกล้าล่วงเกินก็แค่ฟ้องราชันจางเหว่ย ข้าเชื่อว่าเขามีเมตตามากพอ อีกอย่างจุดมุ่งหมายของธิดาคือการได้ใกล้ชิดกับประมุขตงหยางมิใช่เหรอเจ้าคะ การที่ท่านขึ้นไปบำเพ็ญเพียรยังเผ่าเทพ อย่างไรเสียท่านก็จะได้พบกับประมุขตงหยางบ่อยขึ้น” หมิงเยว่ทบทวนอีกครั้ง
“นั่นก็จริง อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีอยู่บ้าง ต่อให้ลำบากเพียงใด หากมีท่านประมุขตงหยางอยู่ใกล้ ๆ ข้าจะไม่หวั่นเลย” หมิงเยว่พูดเสร็จจึงหันกลับมายังซิ่วอิง ทว่าผู้ที่ยืนอยู่กลับเป็นชายหนุ่มในชุดสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองมาด้วยสายตาแน่นิ่ง หมิงเยว่ชะงักนิ่ง พลันอ้ำอึ้ง
“ข้ามารับเจ้าไปเผ่าเทพ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรีย หาได้ใส่ใจสิ่งที่หมิงเยว่เพ้อฝันเมื่อครู่
ดินแดนอันกว้างใหญ่ปกคลุมด้วยหมอกเมฆจาง ๆ เห็นยอดตำหนักนับร้อย เรียงรายแสดงความยิ่งใหญ่ ไม่แปลกใจเลยที่เผ่าเทพถูกยกย่องให้เป็นผู้นำสูงสุดในสี่เผ่า เพราะความยิ่งใหญ่ในอดีตถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ใบหน้าสวยของหมิงเยว่เลื่อนมองความยิ่งใหญ่นั้นด้วยความอยากรู้ ขณะที่นางเดินตามหลังประมุขตงหยางเข้าไปยังตำหนักใหญ่
“ข้าไม่อยากเชื่อเลย ว่าข้าจะมีโอกาสได้เดินเคียงข้างกับประมุขตงหยางเช่นนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าเฝ้าติดตามเขาจากบันทึกเล่มนั้น เพราะดวงจิตสีเพลิงในกายข้าทำให้ได้อยู่เคียงข้างเขา หาไม่แล้วข้าคงไม่มีโอกาสเช่นนี้เป็นแน่ ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องตั้งใจฝึกฝน ห้ามทำให้เผ่าวิหคเสียหน้าเป็นอันขาด” หมิงเยว่ลอบคิดในใจ ก่อนจะเดินมาถึงตำหนักใหญ่ พบกับราชันเผ่าเทพจึงน้อมกายลงเคารพด้วยกิริยาอ่อนหวาน ทว่านางยังไม่ทันได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ราชันจางเหว่ยก็เอ่ยสวนขึ้นด้วยความดีใจ
“มาแล้วเหรอ ข้าได้เตรียมตำหนักเมฆาไว้ให้เจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” หมิงเยว่ได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจสำหรับการต้อนรับ
“ตำหนักเมฆางั้นเหรอเจ้าคะ” นางถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนประมุขตงหยางจะกล่าวเสริม
“ตำหนักสำหรับการบำเพ็ญบารมี”
